Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
+9
U
gotspinner
pangkawjoa
bluebearz
peemung
EUR
dedog
Skai
Nearmoki-2b
13 posters
หน้า 4 จาก 4 • 1, 2, 3, 4
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Fri 21 Oct 2016, 21:07
ย้อนรอยอดีต "น้ำ"....
ชื่อสั้นใช่ไหมละ ถ้ายาวเดียวมันเรียกยาก
ก็เมื่อหลายๆปีก่อน ตอนนั้นฉันกำลังอยู่ในห้องๆหนึ่ง
มีคนหลายๆคนจับตัวฉันไว้ แล้วก็ทำบ้างอย่างกับร่างกายฉัน
พอรู้ตัวอีกที....ก็สูญเสียการมองเห็นไปแล้วล่ะ
แล้วก็ถูกพาตัวมาที่โรงเรียนเเห่งนี้ พร้อมภารกิจบางอย่าง.....
ชื่อสั้นใช่ไหมละ ถ้ายาวเดียวมันเรียกยาก
ก็เมื่อหลายๆปีก่อน ตอนนั้นฉันกำลังอยู่ในห้องๆหนึ่ง
มีคนหลายๆคนจับตัวฉันไว้ แล้วก็ทำบ้างอย่างกับร่างกายฉัน
พอรู้ตัวอีกที....ก็สูญเสียการมองเห็นไปแล้วล่ะ
แล้วก็ถูกพาตัวมาที่โรงเรียนเเห่งนี้ พร้อมภารกิจบางอย่าง.....
GRADE EXP. +50
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Sat 22 Oct 2016, 15:41
ฉันโอลิเซีย...เกิดที่อังกฤษเพราะเป็นลูกครึ่งพ่อเป็นคนอังกฤษแม่เป็นคนไทย แต่เรื่องราวของฉันปกติ....ปกติทุกอย่างเหมือนเด็กธรรมดาได้กินข้าวกับครอบครัว ได้เล่นกับเพื่อนแต่ทุกอย่างจบลงในตอนป.5ฉันบินมาไทยกับพ่อแม่ เพื่อมาเล่นบ้านป้าแล้วเที่ยวอีกหน่อยทันใดนั้น
.
.
.
.
เครื่องบินตกไม่มีใครรอดนอกจากฉันทุกคนประหลาดใจมากฉันไม่สามารถมองเห็น ได้เช่นแต่เก่ามันมัวไปหมดเหมือนเศษแก้ว ที่แตกหัก
ฉันไม่เหลืออะไรโชคดีที่พอพูดภาษาไทยได้แล้วย้ายมาอยู่กับป้าทรัพย์สินของพ่อแม่ก็โดนญาติเอาไปหมดคุณป้าก็รับมาเลี้ยง เพื่อค่าเลี้ยงดู ชีวิตในโรงเรียนก็โดนรังแกถูกแกล้งขัดขาบ้างผลักบ้างด้วยร่างกายตอนนั้นก็ยิ่งทำให้ป่วยง่ายแต่ในระหว่างกลับบ้านในป.6เพื่อหาโรงเรียนต่อก็ได้พบกับโรงเรียนแห่งนี้สังคมที่แปลกแยกจากคนปกติ สังคมที่จะไม่เหยียดกัน
หากมีปัญหาแจ้งที่facebook Praewa Chan-on
.
.
.
.
เครื่องบินตกไม่มีใครรอดนอกจากฉันทุกคนประหลาดใจมากฉันไม่สามารถมองเห็น ได้เช่นแต่เก่ามันมัวไปหมดเหมือนเศษแก้ว ที่แตกหัก
ฉันไม่เหลืออะไรโชคดีที่พอพูดภาษาไทยได้แล้วย้ายมาอยู่กับป้าทรัพย์สินของพ่อแม่ก็โดนญาติเอาไปหมดคุณป้าก็รับมาเลี้ยง เพื่อค่าเลี้ยงดู ชีวิตในโรงเรียนก็โดนรังแกถูกแกล้งขัดขาบ้างผลักบ้างด้วยร่างกายตอนนั้นก็ยิ่งทำให้ป่วยง่ายแต่ในระหว่างกลับบ้านในป.6เพื่อหาโรงเรียนต่อก็ได้พบกับโรงเรียนแห่งนี้สังคมที่แปลกแยกจากคนปกติ สังคมที่จะไม่เหยียดกัน
หากมีปัญหาแจ้งที่facebook Praewa Chan-on
GRADE EXP. +50
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Wed 30 Nov 2016, 20:08
ย้อนรอยอดีต "ราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์"
เอาหละค่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเล่าประวัติของราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์ สินะคะ?
เธอเป็นคนเยอรมัน อายุได้สิบสามปีเหมือนกับฉัน สีผม สีตา ใบหน้าเหมือนกับฉัน....อา ลืมไปนี่ฉันกำลังเล่าประวัติตนเองอยู่..เดี๋ยวจะอ่านสิ่งที่บันทึกลงในไดอารี่ให้ฟังนะคะ
ฉันเกิดที่เยอรมัน อยู่ในตระกูลที่ค่อนข้างมีอำนาจสินะ? โอเค
ฉันเป็นลูกสาวคนกลางของตระกูลนี้ ได้เข้าร.ร.คุณหนู
มีชีวิตสุขสบาย เป็นเด็กอัจฉริยะ ชีวิตเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ
แต่กลับมีคนมาวางหนามลงไป
เมื่อ2-3ปีก่อน ฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนตร์
มันทำให้ฉันหูหนวกเพียงแค่นั้นก็น่าจะให้ตระกูลเสียใจแล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ....
"พวกคุณคือใคร? ฉันคือใครคะ? ที่นี่ที่ไหน?"
อย่างที่พวกคุณทราบกันดี ฉันลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวฉัน คนรอบข้าง ยกเว้นทักษะการใช้ชีวิต
แต่มันทำให้ฉัน ตกลงไปสู่โลกที่ไร้เสียงอย่างไม่มีทางออกมา
ในเมื่อฉันสามารถพูดได้แต่ไม่ได้ยินเสียง แล้วยังไง?
บางทีก็สงสัยว่า ราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์ที่ผู้หญิงที่เรียกตนว่าแม่อาจจะเป็นแฝดฉันก็ได้? ก็ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับเธอ ของที่ชอบ ของที่เกลียด นิสัย งานอดิเรก....มันไม่ใช่ตัวฉันสักอย่างเดียว เพื่อให้ผู้หญิงและผู้ชายคนนั้นสบายใจ ฉันก็เลยตัดสินใจ'สวมหน้ากาก'ของเด็กสาวคนนั้นเข้ามาแทน
ทำให้ฉันตัดสินใจอ่านไดอารี่ที่เด็กคนนั้นและผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาอ่าน และแสดงเป็นตัวของเธอได้ดีเชียวหละ
หืม?... อยากรู้ว่าทำไมถึงเข้าใจผู้ที่กำลังสื่อสารกับฉันอยู่
อ่านปากไง ....มันง่ายที่จะเรียนรู้วิธีอ่านปากอย่างรวดเร็ว
การสังเกตุสีหน้า ท่าทาง มันง่ายถ้าเธอจะเรียนรู้ แน่นอนว่าฉันก็ใช้ภาษามือได้ด้วย...ถ้าไม่สะดวกหนะนะ ที่ฉันพูดได้เพราะฝึกไง บอกไปแล้วว่าทักษะในการดำรงชีวิตของฉันยังไม่หายไปซะหน่อย แต่คงจะพูดแบบฉะฉาน รวดเร็วไม่ได้หรอก
แต่แค่นี้ก็ทำให้ตระกูลของฉันทึ่งกับสิ่งที่ฉันทำอยู่ บ้าชะมัดเลยนะคะ?
ทำทุกๆทางเพื่อให้สวมบทกลายเป็นเด็กสาวคนนั้นอย่างเพอร์เฟ็ค ไม่มีใครจับได้ และฉันก็กำลังจะหายไป....จะคงเหลือแต่เด็กที่ชื่อว่า ราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์ เป็นคนที่น่ารัก
แต่ฉันยังไม่อยากจะหายไป! เพราะการนั้นแล้ว ได้โปรด อย่าลืมตัวตนของฉันเลยนะคะ
และเพราะความพิการของฉัน......จึงได้เข้ามาที่Quiant Schoolแห่งนี้
หวังว่าพวกเราจะได้พบกันนะคะ
......หมายถึงตัวฉันที่แท้จริง ขอจบการย้อนอดีเพียงแค่นี้ค่ะ
ขอบคุณ
เอาหละค่ะ ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเล่าประวัติของราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์ สินะคะ?
เธอเป็นคนเยอรมัน อายุได้สิบสามปีเหมือนกับฉัน สีผม สีตา ใบหน้าเหมือนกับฉัน....อา ลืมไปนี่ฉันกำลังเล่าประวัติตนเองอยู่..เดี๋ยวจะอ่านสิ่งที่บันทึกลงในไดอารี่ให้ฟังนะคะ
ฉันเกิดที่เยอรมัน อยู่ในตระกูลที่ค่อนข้างมีอำนาจสินะ? โอเค
ฉันเป็นลูกสาวคนกลางของตระกูลนี้ ได้เข้าร.ร.คุณหนู
มีชีวิตสุขสบาย เป็นเด็กอัจฉริยะ ชีวิตเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ
แต่กลับมีคนมาวางหนามลงไป
เมื่อ2-3ปีก่อน ฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนตร์
มันทำให้ฉันหูหนวกเพียงแค่นั้นก็น่าจะให้ตระกูลเสียใจแล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ....
"พวกคุณคือใคร? ฉันคือใครคะ? ที่นี่ที่ไหน?"
อย่างที่พวกคุณทราบกันดี ฉันลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวฉัน คนรอบข้าง ยกเว้นทักษะการใช้ชีวิต
แต่มันทำให้ฉัน ตกลงไปสู่โลกที่ไร้เสียงอย่างไม่มีทางออกมา
ในเมื่อฉันสามารถพูดได้แต่ไม่ได้ยินเสียง แล้วยังไง?
บางทีก็สงสัยว่า ราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์ที่ผู้หญิงที่เรียกตนว่าแม่อาจจะเป็นแฝดฉันก็ได้? ก็ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับเธอ ของที่ชอบ ของที่เกลียด นิสัย งานอดิเรก....มันไม่ใช่ตัวฉันสักอย่างเดียว เพื่อให้ผู้หญิงและผู้ชายคนนั้นสบายใจ ฉันก็เลยตัดสินใจ'สวมหน้ากาก'ของเด็กสาวคนนั้นเข้ามาแทน
ทำให้ฉันตัดสินใจอ่านไดอารี่ที่เด็กคนนั้นและผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาอ่าน และแสดงเป็นตัวของเธอได้ดีเชียวหละ
หืม?... อยากรู้ว่าทำไมถึงเข้าใจผู้ที่กำลังสื่อสารกับฉันอยู่
อ่านปากไง ....มันง่ายที่จะเรียนรู้วิธีอ่านปากอย่างรวดเร็ว
การสังเกตุสีหน้า ท่าทาง มันง่ายถ้าเธอจะเรียนรู้ แน่นอนว่าฉันก็ใช้ภาษามือได้ด้วย...ถ้าไม่สะดวกหนะนะ ที่ฉันพูดได้เพราะฝึกไง บอกไปแล้วว่าทักษะในการดำรงชีวิตของฉันยังไม่หายไปซะหน่อย แต่คงจะพูดแบบฉะฉาน รวดเร็วไม่ได้หรอก
แต่แค่นี้ก็ทำให้ตระกูลของฉันทึ่งกับสิ่งที่ฉันทำอยู่ บ้าชะมัดเลยนะคะ?
ทำทุกๆทางเพื่อให้สวมบทกลายเป็นเด็กสาวคนนั้นอย่างเพอร์เฟ็ค ไม่มีใครจับได้ และฉันก็กำลังจะหายไป....จะคงเหลือแต่เด็กที่ชื่อว่า ราฟาเอล เดอ เมอร์อองนัวล์ เป็นคนที่น่ารัก
แต่ฉันยังไม่อยากจะหายไป! เพราะการนั้นแล้ว ได้โปรด อย่าลืมตัวตนของฉันเลยนะคะ
และเพราะความพิการของฉัน......จึงได้เข้ามาที่Quiant Schoolแห่งนี้
หวังว่าพวกเราจะได้พบกันนะคะ
......หมายถึงตัวฉันที่แท้จริง ขอจบการย้อนอดีเพียงแค่นี้ค่ะ
ขอบคุณ
GRADE EXP. +75
- U
Saharat Chaiyakul
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6
822
+86 M 22 K 507
PASSPORT
:
(1475/2250)
:
ยู สหรัฐ ชัยกูล
Mon 12 Dec 2016, 23:56
ย้อนรอยอดีต ยู สหรัฐ ชัยกูล
—————————————————————————————
ถึงคุณย่า
สวัสดีครับคุณย่า นี้ก็ผ่านมายี่สิบสามอาทิตย์แล้วนะครับ
ที่เราไม่ได้เจอกัน ยูส่งจดหมายไปที่บ้านสวนของเราหลายฉบับแล้ว
แต่คุณย่าก็ยังไม่ตอบกลับยูเลย
ไม่รู้ทำไม เดียวนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยคุยกับยูเลยครับ
ยูก็เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ เชื่อฟัง ยูจำได้ว่าทำอะไรแล้วคุณย่าจะชม
ยูก็ทำเหมือนเดิมครับ ยูตื่นแต่เช้าและออกกำลังกายทุกวันเลย
เสร็จแล้วก็ไปกวาดลานหน้าบ้านให้สะอาด เก็บดอกไม้มาไหว้พระ
แต่ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงโกรธและไม่ชอบล่ะครับ ตอนนี้
ทุกครั้งที่ยูออกกำลังคุณแม่จะชอบดุยูเสมอเลย ความแข็งแรง
ไม่ดีหรอครับ? ยูไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิด
คุณย่าครับ วันนี้ยูช่วยคุณแม่ล้างจานมาด้วย คราวนี้คุณแม่
ต้องชมว่ายูเป็นเด็กดีแน่นอนครับ
คุณย่า ยูคิดถึงคุณย่า คิดถึงบ้านสวนของเรา เมื่อวันก่อน
คุณพ่อบอกยูว่า ยูเจอคุณย่าไม่ได้อีกแล้ว ยูไม่เชื่อคุณพ่อได้ไหมครับ
ตอนเราเจอกับครั้งสุดท้าย คุณย่าหลับอยู่เราเลยไม่ได้คุยกัน
แต่ว่ายูพยายามจะปลุกคุณย่าแล้วนะครับ คุณพ่อกลับมาตียูแทน
ตอนนี้คุณย่าสบายดีไหมครับ การตายเป็นยังไงบ้าง?
ถ้าหากว่าคุณย่าเลิกตายแล้ว ช่วยโทรมาหายู หรือไม่ก็เขียน
จดหมายตอบกลับมาบ้างนะครับ ยูอยากเจอคุณย่ามาก ๆ เลยครับ
คิดถึงคุณย่ามาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ครับ
น้องยู
—————————————————————————————
ผมเอาจดหมายใส่ซอง จ่าหน้าเป็นชื่อที่อยู่ของคุณย่าและ
ติดแสตมป์ นี้เป็นฉบับที่สามสิบสองแล้วที่ผมเขียน พรุ่งนี้ผมคิดว่า
จะเอาไปหยอดตู้สีแดง
“ยู!!!”
เสียงคุณแม่ตะโกนเรียกผม สงสัยคุณแม่คงเห็นจานที่ผม
ตั้งใจล้างให้แล้ว ผมรีบเดินไปหาคุณแม่ ด้วยหัวใจพองโต
อยากถูกคุณแม่ชมเร็ว ๆ
“คุณแม่”
“ยู ทำไมลูกเอากับข้าวไปทิ้งหมดเลยล่ะ พวกเรายังไม่ได้กินเลยนะ”
คุณแม่เดินเข้ามาหาผมพร้อมถังขยะ ถือมาทำไมล่ะเนี้ย เหม็นจัง
“เหม็น...” ผมพึมพำ เอามือปิดจมูก และพยายามผลักถังขยะออก
แต่ดูเหมือนว่าจะผลักแรงเกินไปถึงขยะเลยหลุดมือคุณแม่
หกกระจัดกระจายไปทั่วเลย
อา..แย่แล้วผมต้องเก็บกวาด
ผมนั่งลงกวาดขยะพยายามรวมทั้งหมดมาไว้หน้าตัวเอง
ขยะไม่ควรกระจัดกระจายผมจะรวมมันไว้แล้วจะเอาถังขยะมาใส่
ท่าทางของผมเก่ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย
“ว๊าย ยู ทำอะไรของลูกเนี้ย” คุณแม่ดูเหมือนจะตกใจมาก ๆ อะไรกัน
ทำไม่คุณแม่โกรธผมอีกแล้วล่ะ? ผมพยายามคิดคำพูดเพื่ออธิบาย
ไม่ให้คุณแม่โกรธ แต่ในหัวของผมมันยุ่งเหยิงไปหมด
“หยุดเล่นขยะนะ ลุกขึ้นนะมันสกปรกหมดแล้ว” คุณแม่คว้าแขนผม
แล้วดึงขึ้น โอ๊ย...ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่ชอบเลย คุณแม่ดึงแรงไป
นะครับ ผมพยายามสะบัดแขนจากคุณแม่แต่ยิ่งสะบัด คุณแม่ก็ยิ่ง
จับแขนผมแน่ขึ้น ปล่อยนะคุณแม่ ห้องสกปรกนะ ห้องต้องสะอาด
ผมจะช่วย...
“ยูหยุดดิ้นได้แล้ว นี้มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะลูก”
ดูเหมือนว่าคุณแม่ไม่มีท่าทีจะปล่อยผม ผมทนความรู้สึกแย่
ที่แขนไม่ไหวแล้ว ไม่ชอบเลยแถมดันเท่าไรคุณแม่ก็ไม่ยอมปล่อย
ผมก็เลยเอาปากกัดที่แขนคุณแม่ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงกัด แต่ระยะหลัง
มานี้ ผมมักกัดคนอื่นบ่อยขึ้น เพราะผมรู้ว่าทุกครั้งที่กัดใครก็ตาม
ที่มาจับผมคน ๆ นั้นจะปล่อยมือ
“โอ๊ย!!!!” คุณแม่ร้องเสียงดังแล้วปล่อยผม ผมตั้งตัวไม่ทันเลยลงไป
กองกับพื้น
“เกิดอะไรขึ้น! สภาพห้องนี้มันอะไรกัน” คุณพ่อที่พึ่งกลับถึงบ้าน
วิ่งเข้ามาตามเสียงร้องของคุณแม่ คุณพ่อดูจะตกใจกับอะไรบางอย่าง
ผมเดาว่าคงเป็นห้อง ห้องสกปรกใช่ไหมครับคุณพ่อ ผมจะช่วยเก็บนะ
ผมขยับตัวไปกวาดขยะบนพื้นต่อ ผมอยากจะอธิบายนะแต่ไม่มีเวลา
พื้นต้องสะอาด ห้องต้องสะอาด คุณย่าสอนไว้ พอผมเก็บเสร็จ
คราวนี้ผมต้องได้รับคำชมแหง ๆ
“พอแล้ว หยุดเล่นนะยู อย่าทำให้มันแย่ไปมากกว่านี้”
คุณพ่ออุ้มผมขึ้นมาและพาผมไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดอย่าง
ทุลักทุเล ผมดิ้นไปมาอยากให้คุณพ่อปล่อย แต่คุณพ่อมีแรงเยอะ
กว่าคุณแม่ ดังนั้นไม่ว่าผมจะพยายามดิ้นเท่าไร ผมก็ไม่หลุด ผมถูก
พาเข้าห้องนอน
“นั่งเล่น สงบสติอารมณ์อยู่ในห้องก่อนนะยู เดียวพ่อมา"
คุณพ่อปิดประตูลง แต่คุณพ่อครับ ขยะยังไม่ได้เก็บเลยนะครับ
เราต้องทำความสะอาดก่อนนะครับ ผมเอามือทุบประตู
ปัง..ปัง..ปัง.....
.
.
.
“คุณคะ ฉันทำไม่ได้ แกไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย”
“ที่รัก คุณต้องอดทนหน่อยสิ นั้นลูกเราทั้งคนนะ”
“ทน ทน ทน คุณเอาแต่บอกให้ฉันทน ตั้งแต่แม่คุณเสีย ฉันก็ทน
มาตลอดนั้นแหละค่ะ ต้น..ฉันพยายามดูแลแกแล้วค่ะ แต่นี้มันไม่ไหว
แล้วจริง ๆ ยูไม่ดีขึ้นเลย คุณรู้ไหมวันนี้แกทำอะไร แกเอากับข้าว
ที่ฉันพึ่งเตรียมไว้ไปเทลงถังขยะทั้งหมด แล้วพอฉันถามแกก็ล้ม
ถังขยะแล้วลงไปนอนเล่น..และนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่แกกัดฉันนะคะ
เดียวนี้แกเริ่มทำทุกครั้งที่แกไม่พอใจ คุณดูรอยพวกนี้สิ”
เธอดึงแขนเสื้อถลกขึ้นให้สามีดู มีรอยกัดทั้งเก่าและใหม่หลายรอย
“ต้น คุณก็เห็นใช่ไหม ตั้งแต่ยูมาอยู่บ้านเรา อาการแกก็ไม่ดีขึ้นเลย
ฉุนเฉียวง่ายขึ้น ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เข้าใจ คราวก่อนแกลุกขึ้นมา
ตั้งแต่เช้ามืดเปิดเพลงวิทยุเสียงดังลั่น แล้วกระโดดไปมาร้อง
โหวกเหวก เพื่อนข้างห้องของเราเดินมาเคาะประตูแล้วต่อว่าฉัน
ยกใหญ่
บางทีแกก็เดินไปเด็ดดอกไม้ในกระถางของศาลพระภูมิ หรืออยู่ ๆ
ก็เอาไม้กวาดออกไปเล่นตรงถนนหน้าคอนโด เพื่อนบ้านทุกคน
ในคอนโดนี้เอาแต่พูดกันว่าลูกเราสติไม่ดี"
“ผมรู้ว่าคุณเองก็พยายามที่จะดูแลยูให้ดี คุณก็รู้ว่าลูกเราแกพิเศษ
กว่าเด็กคนอื่น...”
“แต่แกพิเศษมากเกินไป เมื่อก่อนตอนอยู่กับแม่คุณ ยูยังเงียบ ๆ
เรียบร้อยบ้าง แต่ตอนนี้คุณก็เห็นว่าแกเป็นยังไงอาการแย่ลงกว่าเก่า
แล้วกี่โรงเรียนที่คุณพยายามพาแกเข้า โรงเรียนม.ต้นที่ไหน ๆ
ก็ปฎิเสธ ไม่มีใครอยากรับเด็กออทิสติกที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
ตอนนี้ยัยเอส ยัยเอ็มก็โตขึ้นทุกวัน ทุกวันนี้ฉันเอาแต่ดูแลยู จนไม่มี
เวลาได้ดูแลลูกคนอื่น ๆ แค่จะไปสอนการบ้านให้ยัยเอสยังทำไม่ได้
ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักยู แต่เราดูแลแกไม่ไหวหรอกนะคะ พวกเราไม่มี
ความสามารถมากพอ ได้โปรดหาทางทำอะไรสักอย่าง”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก มือน้อย ๆ กุมมือสามีไว้แล้วก้ม
ตัวลง ราวกับจะร้องขอความเห็นใจ
“ที่รักคุณไม่ต้องห่วง ที่วันนี้ผมกลับมาเร็วเพราะว่าในที่สุด ผมก็หา
โรงเรียนที่ยอมรับยูเข้าเรียนได้แล้ว คุณหมอที่โรงพยาบาลเป็นคน
แนะนำมาเอง เป็นโรงเรียนประจำชื่อ ‘ควิ้นท์’ ”
“โรงเรียนประจำ? คุณแน่ใจหรอว่าลูกเราจะไม่เป็นไร แกจะดูแลตัวเอง
ได้หรอคะ แกเรียนที่บ้านมาตลอด ไม่ค่อยได้เข้าหาเด็กคนอื่น นี่จู่ ๆ
เข้าโรงเรียนครั้งแรกก็จะให้ไปโรงเรียนประจำจะไม่เป็นปัญหาหรอคะ”
“ผมลองหาข้อมูลมาแล้ว มันเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ
เขาต้องมีความเชี่ยวชาญในการรับมือกับเด็กพิเศษ และสามารถอบรม
สั่งยูได้ดีแน่นอน ที่นี้ลูกเราจะต้องมีความสุข...”
อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่าโรงเรียนแห่งใหม่นี้ ลูกชายจะ
สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขหรือไม่ แต่ในเมื่อนี้เป็นทางเลือกที่ดี
ที่สุดเพื่อลูกชาย และครอบครัวของเขา เขาก็คิดว่าพวกเขาควรลองดู
—————————————————————————————
ถึงคุณย่า
สวัสดีครับคุณย่า นี้ก็ผ่านมายี่สิบสามอาทิตย์แล้วนะครับ
ที่เราไม่ได้เจอกัน ยูส่งจดหมายไปที่บ้านสวนของเราหลายฉบับแล้ว
แต่คุณย่าก็ยังไม่ตอบกลับยูเลย
ไม่รู้ทำไม เดียวนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยคุยกับยูเลยครับ
ยูก็เป็นเด็กดี ไม่ดื้อ เชื่อฟัง ยูจำได้ว่าทำอะไรแล้วคุณย่าจะชม
ยูก็ทำเหมือนเดิมครับ ยูตื่นแต่เช้าและออกกำลังกายทุกวันเลย
เสร็จแล้วก็ไปกวาดลานหน้าบ้านให้สะอาด เก็บดอกไม้มาไหว้พระ
แต่ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงโกรธและไม่ชอบล่ะครับ ตอนนี้
ทุกครั้งที่ยูออกกำลังคุณแม่จะชอบดุยูเสมอเลย ความแข็งแรง
ไม่ดีหรอครับ? ยูไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิด
คุณย่าครับ วันนี้ยูช่วยคุณแม่ล้างจานมาด้วย คราวนี้คุณแม่
ต้องชมว่ายูเป็นเด็กดีแน่นอนครับ
คุณย่า ยูคิดถึงคุณย่า คิดถึงบ้านสวนของเรา เมื่อวันก่อน
คุณพ่อบอกยูว่า ยูเจอคุณย่าไม่ได้อีกแล้ว ยูไม่เชื่อคุณพ่อได้ไหมครับ
ตอนเราเจอกับครั้งสุดท้าย คุณย่าหลับอยู่เราเลยไม่ได้คุยกัน
แต่ว่ายูพยายามจะปลุกคุณย่าแล้วนะครับ คุณพ่อกลับมาตียูแทน
ตอนนี้คุณย่าสบายดีไหมครับ การตายเป็นยังไงบ้าง?
ถ้าหากว่าคุณย่าเลิกตายแล้ว ช่วยโทรมาหายู หรือไม่ก็เขียน
จดหมายตอบกลับมาบ้างนะครับ ยูอยากเจอคุณย่ามาก ๆ เลยครับ
คิดถึงคุณย่ามาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ครับ
น้องยู
—————————————————————————————
ผมเอาจดหมายใส่ซอง จ่าหน้าเป็นชื่อที่อยู่ของคุณย่าและ
ติดแสตมป์ นี้เป็นฉบับที่สามสิบสองแล้วที่ผมเขียน พรุ่งนี้ผมคิดว่า
จะเอาไปหยอดตู้สีแดง
“ยู!!!”
เสียงคุณแม่ตะโกนเรียกผม สงสัยคุณแม่คงเห็นจานที่ผม
ตั้งใจล้างให้แล้ว ผมรีบเดินไปหาคุณแม่ ด้วยหัวใจพองโต
อยากถูกคุณแม่ชมเร็ว ๆ
“คุณแม่”
“ยู ทำไมลูกเอากับข้าวไปทิ้งหมดเลยล่ะ พวกเรายังไม่ได้กินเลยนะ”
คุณแม่เดินเข้ามาหาผมพร้อมถังขยะ ถือมาทำไมล่ะเนี้ย เหม็นจัง
“เหม็น...” ผมพึมพำ เอามือปิดจมูก และพยายามผลักถังขยะออก
แต่ดูเหมือนว่าจะผลักแรงเกินไปถึงขยะเลยหลุดมือคุณแม่
หกกระจัดกระจายไปทั่วเลย
อา..แย่แล้วผมต้องเก็บกวาด
ผมนั่งลงกวาดขยะพยายามรวมทั้งหมดมาไว้หน้าตัวเอง
ขยะไม่ควรกระจัดกระจายผมจะรวมมันไว้แล้วจะเอาถังขยะมาใส่
ท่าทางของผมเก่ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย
“ว๊าย ยู ทำอะไรของลูกเนี้ย” คุณแม่ดูเหมือนจะตกใจมาก ๆ อะไรกัน
ทำไม่คุณแม่โกรธผมอีกแล้วล่ะ? ผมพยายามคิดคำพูดเพื่ออธิบาย
ไม่ให้คุณแม่โกรธ แต่ในหัวของผมมันยุ่งเหยิงไปหมด
“หยุดเล่นขยะนะ ลุกขึ้นนะมันสกปรกหมดแล้ว” คุณแม่คว้าแขนผม
แล้วดึงขึ้น โอ๊ย...ความรู้สึกแบบนี้ผมไม่ชอบเลย คุณแม่ดึงแรงไป
นะครับ ผมพยายามสะบัดแขนจากคุณแม่แต่ยิ่งสะบัด คุณแม่ก็ยิ่ง
จับแขนผมแน่ขึ้น ปล่อยนะคุณแม่ ห้องสกปรกนะ ห้องต้องสะอาด
ผมจะช่วย...
“ยูหยุดดิ้นได้แล้ว นี้มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนะลูก”
ดูเหมือนว่าคุณแม่ไม่มีท่าทีจะปล่อยผม ผมทนความรู้สึกแย่
ที่แขนไม่ไหวแล้ว ไม่ชอบเลยแถมดันเท่าไรคุณแม่ก็ไม่ยอมปล่อย
ผมก็เลยเอาปากกัดที่แขนคุณแม่ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงกัด แต่ระยะหลัง
มานี้ ผมมักกัดคนอื่นบ่อยขึ้น เพราะผมรู้ว่าทุกครั้งที่กัดใครก็ตาม
ที่มาจับผมคน ๆ นั้นจะปล่อยมือ
“โอ๊ย!!!!” คุณแม่ร้องเสียงดังแล้วปล่อยผม ผมตั้งตัวไม่ทันเลยลงไป
กองกับพื้น
“เกิดอะไรขึ้น! สภาพห้องนี้มันอะไรกัน” คุณพ่อที่พึ่งกลับถึงบ้าน
วิ่งเข้ามาตามเสียงร้องของคุณแม่ คุณพ่อดูจะตกใจกับอะไรบางอย่าง
ผมเดาว่าคงเป็นห้อง ห้องสกปรกใช่ไหมครับคุณพ่อ ผมจะช่วยเก็บนะ
ผมขยับตัวไปกวาดขยะบนพื้นต่อ ผมอยากจะอธิบายนะแต่ไม่มีเวลา
พื้นต้องสะอาด ห้องต้องสะอาด คุณย่าสอนไว้ พอผมเก็บเสร็จ
คราวนี้ผมต้องได้รับคำชมแหง ๆ
“พอแล้ว หยุดเล่นนะยู อย่าทำให้มันแย่ไปมากกว่านี้”
คุณพ่ออุ้มผมขึ้นมาและพาผมไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดอย่าง
ทุลักทุเล ผมดิ้นไปมาอยากให้คุณพ่อปล่อย แต่คุณพ่อมีแรงเยอะ
กว่าคุณแม่ ดังนั้นไม่ว่าผมจะพยายามดิ้นเท่าไร ผมก็ไม่หลุด ผมถูก
พาเข้าห้องนอน
“นั่งเล่น สงบสติอารมณ์อยู่ในห้องก่อนนะยู เดียวพ่อมา"
คุณพ่อปิดประตูลง แต่คุณพ่อครับ ขยะยังไม่ได้เก็บเลยนะครับ
เราต้องทำความสะอาดก่อนนะครับ ผมเอามือทุบประตู
ปัง..ปัง..ปัง.....
.
.
.
“คุณคะ ฉันทำไม่ได้ แกไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย”
“ที่รัก คุณต้องอดทนหน่อยสิ นั้นลูกเราทั้งคนนะ”
“ทน ทน ทน คุณเอาแต่บอกให้ฉันทน ตั้งแต่แม่คุณเสีย ฉันก็ทน
มาตลอดนั้นแหละค่ะ ต้น..ฉันพยายามดูแลแกแล้วค่ะ แต่นี้มันไม่ไหว
แล้วจริง ๆ ยูไม่ดีขึ้นเลย คุณรู้ไหมวันนี้แกทำอะไร แกเอากับข้าว
ที่ฉันพึ่งเตรียมไว้ไปเทลงถังขยะทั้งหมด แล้วพอฉันถามแกก็ล้ม
ถังขยะแล้วลงไปนอนเล่น..และนี้ไม่ใช้ครั้งแรกที่แกกัดฉันนะคะ
เดียวนี้แกเริ่มทำทุกครั้งที่แกไม่พอใจ คุณดูรอยพวกนี้สิ”
เธอดึงแขนเสื้อถลกขึ้นให้สามีดู มีรอยกัดทั้งเก่าและใหม่หลายรอย
“ต้น คุณก็เห็นใช่ไหม ตั้งแต่ยูมาอยู่บ้านเรา อาการแกก็ไม่ดีขึ้นเลย
ฉุนเฉียวง่ายขึ้น ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เข้าใจ คราวก่อนแกลุกขึ้นมา
ตั้งแต่เช้ามืดเปิดเพลงวิทยุเสียงดังลั่น แล้วกระโดดไปมาร้อง
โหวกเหวก เพื่อนข้างห้องของเราเดินมาเคาะประตูแล้วต่อว่าฉัน
ยกใหญ่
บางทีแกก็เดินไปเด็ดดอกไม้ในกระถางของศาลพระภูมิ หรืออยู่ ๆ
ก็เอาไม้กวาดออกไปเล่นตรงถนนหน้าคอนโด เพื่อนบ้านทุกคน
ในคอนโดนี้เอาแต่พูดกันว่าลูกเราสติไม่ดี"
“ผมรู้ว่าคุณเองก็พยายามที่จะดูแลยูให้ดี คุณก็รู้ว่าลูกเราแกพิเศษ
กว่าเด็กคนอื่น...”
“แต่แกพิเศษมากเกินไป เมื่อก่อนตอนอยู่กับแม่คุณ ยูยังเงียบ ๆ
เรียบร้อยบ้าง แต่ตอนนี้คุณก็เห็นว่าแกเป็นยังไงอาการแย่ลงกว่าเก่า
แล้วกี่โรงเรียนที่คุณพยายามพาแกเข้า โรงเรียนม.ต้นที่ไหน ๆ
ก็ปฎิเสธ ไม่มีใครอยากรับเด็กออทิสติกที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
ตอนนี้ยัยเอส ยัยเอ็มก็โตขึ้นทุกวัน ทุกวันนี้ฉันเอาแต่ดูแลยู จนไม่มี
เวลาได้ดูแลลูกคนอื่น ๆ แค่จะไปสอนการบ้านให้ยัยเอสยังทำไม่ได้
ไม่ใช่ว่าฉันไม่รักยู แต่เราดูแลแกไม่ไหวหรอกนะคะ พวกเราไม่มี
ความสามารถมากพอ ได้โปรดหาทางทำอะไรสักอย่าง”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก มือน้อย ๆ กุมมือสามีไว้แล้วก้ม
ตัวลง ราวกับจะร้องขอความเห็นใจ
“ที่รักคุณไม่ต้องห่วง ที่วันนี้ผมกลับมาเร็วเพราะว่าในที่สุด ผมก็หา
โรงเรียนที่ยอมรับยูเข้าเรียนได้แล้ว คุณหมอที่โรงพยาบาลเป็นคน
แนะนำมาเอง เป็นโรงเรียนประจำชื่อ ‘ควิ้นท์’ ”
“โรงเรียนประจำ? คุณแน่ใจหรอว่าลูกเราจะไม่เป็นไร แกจะดูแลตัวเอง
ได้หรอคะ แกเรียนที่บ้านมาตลอด ไม่ค่อยได้เข้าหาเด็กคนอื่น นี่จู่ ๆ
เข้าโรงเรียนครั้งแรกก็จะให้ไปโรงเรียนประจำจะไม่เป็นปัญหาหรอคะ”
“ผมลองหาข้อมูลมาแล้ว มันเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษโดยเฉพาะ
เขาต้องมีความเชี่ยวชาญในการรับมือกับเด็กพิเศษ และสามารถอบรม
สั่งยูได้ดีแน่นอน ที่นี้ลูกเราจะต้องมีความสุข...”
อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจนักว่าโรงเรียนแห่งใหม่นี้ ลูกชายจะ
สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขหรือไม่ แต่ในเมื่อนี้เป็นทางเลือกที่ดี
ที่สุดเพื่อลูกชาย และครอบครัวของเขา เขาก็คิดว่าพวกเขาควรลองดู
GRADE EXP. +95
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Sat 31 Dec 2016, 02:03
ย้อนรอยอดีตของแอนนาเบลล์ บัลลาร์ต
--------------------------------------------------------------------------
“Somewhere over the rainbow, bluebirds fly
(บางแห่งเหนือสายรุ้งขึ้นไป นกสีฟ้ากำลังโบยบิน)
Birds fly over the rainbow
(เหล่านกน้อยโบยบินเหนือสายรุ้ง)
Why then, oh why can't I?
(แล้วทำไม .. ทำไมฉันทำไม่ได้กันล่ะ?)”
เสียงเพลงเหล่านั้นยังคงก้องดังอยู่ในหูราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคืนวาน
ทั้งสีสันของเสื้อผ้าที่ผู้คนสวมใส่ ฉากหลังละครเวทีที่แสดงร่วมกัน เสียงหัวเราะของผู้คน
มันยังไม่เลือนหายไป ขณะเดียวกันกลับชัดเจนขึ้นทุกที
และเพลงนั้น.. เพลงที่เธอใช้เวลากว่าอาทิตย์ในการฝึกสีมัน
เพลงนั้นที่เธอได้ร่วมร้องเพลงกับทุกคนในฉากจบของละครเวที
ก็ยังคงดังกังวานอย่างไม่มีทีท่าจะจบลง..
_____________________________________________
เธอชอบมันนะ
แม้กระทั้งขากลับตอนที่นั่งรถกลับบ้านเธอยังคงฮัมเพลงนั้นอยู่
และทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายในตอนนั้นช่างดูปกติและแสนสุข
แต่แล้ว.. แสงไฟก็สว่างจ้าขึ้นมา
แสงสีขาวที่จ้าขึ้นมาอย่างกระทันหันคล้ายกับตอนที่ผ้าม่านเวทีถูกยกขึ้น สว่างเสียจนต้องหรี่ตาลง
จากนั้นสิ่งที่เธอรับรู้มีเพียงเสียงหนวกหูที่ดังขึ้นมา ..
เสียงรถชนกัน. เสียงโหวกแหวกโวยวาย.
เสียงกรีดร้อง. เสียงบางสิ่งครูดไปกับท้องถนน.
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับลง
พร้อมกับความว่างเปล่าที่เข้ามาแทนที่..
และเสียงเพลงนั้น ใช่แล้วล่ะ..
มันยังคงดังซ้ำ ๆ ภายในหัวที่ว่างเปล่านี้
เด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นทั้งที่ผ่านมานานแสนนาน
ดังอยู่แบบนั้นเหมือนกับภาพความทรงจำที่ยังคงฉายซ้ำคล้ายเทปถูกกรอกลับไปกลับมา
วนเวียนเช่นนั้น และไม่เคยเพิ่มขึ้นอีกเลย ..
“If happy little bluebirds fly
(หากเจ้านกสีฟ้าตัวน้อยที่มีความสุขสามารถโบยบิน)
Beyond the rainbow
(ไกลออกไปจากสายรุ้ง)
Why, oh why, can't I?
(แล้วทำไม .. ทำไมฉันถึงทำไม่ได้กันล่ะ?)”
อ่า.. เธอชักจะเกลียดมันขึ้นมาซะแล้วสิ
______________________________________________
เคยคิดเล่น ๆ นะ
“ถ้าได้รับบาดเจ็บ หรือป่วยจนไม่ต้องไปโรงเรียนนาน ๆ ได้ก็คงดีเนอะ”
ความคิดงี่เง่าที่พูดเล่น ๆ กันในกลุ่มเพื่อน
ใครจะไปรู้ล่ะ.. ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
______________________________________________
เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีเฮเซลนัท และดวงตาสีอะความารีนผู้นั้นเคยเป็นคนเช่นนี้..
เด็กสาววัยแรกรุ่นที่มีนิสัยร่าเริง รักสนุก และบางคราก็ดื้อดึง และเอาแต่ใจนิด ๆ อาศัยในครอบครัวที่ค่อนข้างจะธรรมดา ประกอบด้วยพ่อ แม่ พี่สาว น้องชาย และตัวเธอ
“แอนนาเบลล์ บัลลาร์ต? อ่า ฉันรู้จัก”
เธอชอบดูละครเวทีมาก ภาพยนตร์ก็เช่นกัน เธอมักจะชวนเพื่อนสนิทไปดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์บ่อย ๆ ดนตรีก็เป็นอีกสิ่งที่เธอชื่นชอบ เธอเรียนไวโอลินมา 6 ปี แน่นอนเพลงวัยรุ่นทั่วไปเธอก็ฟังเช่นกัน ศิลปินคนโปรดของเธอคือ Sam Smith
“เธอเป็นเด็กที่ดีทีเดียวนะ”
เธอยังชอบขี่ม้า เธอมักจะใช้เวลาช่วงพัก คาบว่างหรือหลังเลิกเรียนไปเยี่ยม ช่วยพวกสตาฟดูแลม้าเสมอ เธอชอบมีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียน เธออยู่ในวงดุริยางค์ และทีมเน็ตบอล เวลาที่มีการแสดงละครเวทีเธอจะเสนอตัวเป็นผู้เล่นดนตรีอยู่ตลอด
“เฮ้อ ช่างน่าสงสารจริง ๆ”
ใช่แล้วล่ะ เธอ “เคย” เป็นคนเช่นนี้
.
.
หากแต่คำว่า “เคย” นั้นหมายความว่าทุกสิ่งเป็นเพียงรูปอดีตเท่านั้น
______________________________________________
ในช่วงระยะเวลาแรกของอาการ ทุกคนในครอบครัวยังคงแสดงท่าทีต่อเธอเช่นเดิม อ่อนโยนและดูแลเธออย่างใกล้ชิด เพื่อน ๆ เองก็มาเยี่ยมเธอ อวยพรให้หายโดยเร็ว เหมือนกับว่าเธอเพียงแค่โชคร้ายประสบอุบัติเหตุ หรือป่วยเป็นโรคธรรมดาเท่านั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการของแอนนาเบลล์ที่แสดงออกอย่างต่อเนื่องนั้น เริ่มทำให้ความเจ็บปวดและความเครียดก่อตัวในหมู่คนรอบข้าง
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูก..
คงเป็นความรำคาญ และอึดอัด
และถ้อยคำนี้คงไม่เกินจริง หรือโหดร้ายเกินไปนัก
หากลองนึกว่าคุณจำเป็นต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำสิ่งเดิม ๆ ซ้ำไปมาหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้คน ๆ หนึ่งเข้าใจ คุณคงจะรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียวใช่ไหมล่ะ? แม้ว่าคุณจะเป็นคนใจเย็นขนาดไหนก็ตาม แต่หากมันเกิดขึ้นตลอดเวลาและราวกับจะไม่มีที่สิ้นสุด
… ก็คงจะอดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้อย่างแน่นอน
______________________________________________
จากที่เคยมาเยี่ยมกันเต็มห้อง ทุก ๆ สัปดาห์ คนก็เริ่มลดน้อยและพากันหายไปอย่างรวดเร็ว
แม้กระทั้งครอบครัวของเธอ พี่สาวและน้องชายก็หลีกเลี่ยงที่จะคุยกับเธอ และพ่อแม่ก็ยังยอมรับว่าพวกตนอดรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากลำบากที่จะเข้าไปคุยกับลูกสาวไม่ได้ในบางครั้ง
“พระเจ้า ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับลูกสาวของเราด้วย”
นั้นเป็นสิ่งที่แอนนาเบลล์ได้ยินในคืนหนึ่ง พร้อมกับเสียงร้องไห้ของแม่เธอ
ดูเหมือนท่านจะเพิ่งทะเลาะกับพ่อของเธอ “อีกครั้ง”
อีกครั้งงั้นหรือ..?
พ่อแม่ของเธออาจทะเลาะกันบ้างตามประสาลิ้นกับฟัน แต่ก็ไม่บ่อยนัก
ที่จริงช่วงนี้พวกท่านแทบจะไม่ทะเลาะกันเลยนี้นา
แถมก่อนที่จะมาชมละครเวที พวกท่านก็ดูสนุกสนานตื่นเต้นกันดีไม่ใช่หรือ..
งั้น "อีกครั้ง" ที่ว่ามันหมายถึงอะไรกันนะ?
______________________________________________
ไม่มีคนเป็นแม่ที่ไหนจะอดทนเห็นลูกสาวตนต้องทนทรมานเช่นนี้ได้.. ต่อให้เจ้าตัวจะไม่รู้เรื่องราวเท่าไหร่นักก็ตาม
มากขึ้น และมากขึ้น.. จำนวนครั้งที่คุณและคุณนายบัลลาร์ตทะเลาะกันนั้นค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมากพอ ๆ กับบรรยากาศอันตึงเครียดภายในบ้าน
แต่เดิมความรักของทั้งสองนั้นก็ไม่ได้หวานชื่นเท่าไหร่นัก
ครั้นพอเกิดเรื่องชีวิตคู่ก็เริ่มระหองระแหง
ยิ่งแทนที่ผู้เป็นสามีจะช่วยกันดูแลลูกสาวที่ป่วย กลับหนีปัญหาไม่ยอมกลับบ้าน
ยิ่งทำให้ฝ่ายภรรยาเริ่มทนไม่ไหว
“เราแยกกันอยู่เถอะนะ”
“ฉันจะดูแลแอนน์เอง”
ไม่นานนัก.. แอนนาเบลล์ก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ในภูมิประเทศอันไม่คุ้นเคยเสียแล้ว
______________________________________________
“ฉันไม่อยากให้แอนน์ไปอยู่ในสถานบำบัด” หล่อนเอ่ยกับผู้เป็นญาติ “แต่จะมีโรงเรียนที่ไหนยอมรับ... เด็กชาวต่างชาติซ้ำยังป่วยแบบนี้กัน”
ใช่.. ตัวเธอนั้นอยากให้ลูกสาวได้เข้าเรียนในโรงเรียนปกติ เพราะแม้ว่าวันหนึ่งความทรงจำนี้อาจจะลืมเลือนไป แต่อย่างน้อย ๆ ลูกของเธอก็จะได้มีชีวิตวัยเรียนที่ธรรมดา ...ธรรมดา และมีความสุขที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะมีได้
หากแต่ขณะเดียวกันเธอกลับรู้สึกกลัว
หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน เพิ่งไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่แอนน์กลับไปเรียนที่โรงเรียนตามเดิม ผู้เป็นแม่ก็ถูกเรียกไปคุยโดยอาจารย์ฝ่ายปกครอง
เขาเล่าว่าคุณครูทุกคนต่างก็บอกว่าแอนน์ไม่มีสมาธิในการเรียน เธอไม่สามารถเรียนหรือเข้าใจเนื้อหาได้รู้เรื่อง และมักจะถามซ้ำแล้วซ้ำอีกในสิ่งที่เพิ่งถามไป ซึ่งส่งผลกระทบให้นักเรียนคนอื่นไม่สามารถตั้งสมาธิในเวลาเรียนไปด้วย
ทางด้านความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ นั้นค่อนข้างเป็นปัญหาเช่นกัน ในทีแรกมีเด็กหลายคนอาสาจะคอยดูแลเธอ และเพื่อน ๆ ทุกคนก็ให้ความร่วมมือดีก็จริง แต่พอนาน ๆ เข้า หลายคนก็แสดงอาการหงุดหงิด และเบื่อหน่าย พวกเพื่อน ๆ ต่างหลีกเลี่ยงที่จะพูดคุย หรือทำกิจกรรมร่วมกัน แม้กระทั้งกลุ่มเพื่อนที่เคยสนิทก็ตีตัวออกไป นอกจากนี้แอนน์ยังต้องออกจากวงดุริยางค์ ทีมเน็ตบอล รวมถึงชมรมทุกชมรมที่อยู่
“ผมค่อนข้างลำบากใจที่จะพูด แต่ว่า...”
“โรงเรียนเราไม่เคยมีกรณีเด็กที่มีอาการพิเศษเช่นนี้มาก่อน”
“และเนื่องจากทางโรงเรียนไม่สามารถให้ความดูแลได้ทั่วถึง”
.
.
.
“จากการประชุมทางเราลงมติว่าคงต้องขอให้แอนน์ออกจากโรงเรียนเราครับ”
ถ้าหากไปโรงเรียนอีก ทุกอย่างจะไม่จบลงเช่นเดิมหรือ..?
______________________________________________
“ฉันคิดว่ามีนะจ้ะ” ใบหน้าที่เปี่ยมริ้วรอยนั้นเอ่ยอย่างนุ่มนวลพลางกุมมืออีกฝ่ายเพื่อให้คลายกังวลลง “ฉันรู้จักโรงเรียนหนึ่งนะ”
“เพื่อนที่เป็นคนไทยของฉันมีลูกที่ป่วยเหมือนกัน เขาเลยส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับคนพิการโรงเรียนหนึ่งน่ะ และดูเหมือนว่าที่นั้นจะรับนักเรียนต่างชาติด้วยนะ”
ดวงตาสีอะความารีนเช่นเดียวกับลูกสาวบัดนี้ได้เปล่งประกายด้วยความหวังอีกครั้ง “โรงเรียนอะไรงั้นหรือ?”
โรงเรียน “ควิ้นท์” เป็นชื่อที่แอนนาเบลล์ได้ยินผู้เป็นแม่เล่าให้ฟังในวันถัดไป แม้จะรู้ดีว่าชื่อนั้นคงจะจางหายไปจากความทรงจำของลูกอย่างรวดเร็ว หากแต่ลึกลงไปในจิตใจของหญิงสาวได้แต่ปรารถนา ..
ความปรารถนาว่าลูกสาวเธอจะได้มีความทรงจำ และชีวิตที่มีความสุข
... เพียงพอที่จะทำให้วันที่สามารถหวนนึกถึงมันได้ยิ้มออกมาได้อีกครา
“Somewhere, over the rainbow, skies are blue
(ที่ไหนสักแห่งบนสายรุ้ง ท้องฟ้าเป็นสีคราม)
And the dreams that you dare to dream
(และความฝันที่เธอกล้าที่จะฝัน)
.
.
.
... really do come true
( ... จะกลายเป็นจริง)”
______________________________________________
เพลงที่พูดถึงด้านบนคือ Somewhere over the rainbow เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Wizard of Oz
ประโยคที่ว่า “Why can’t I” อาจจะแปลได้สองแบบคือ “ทำไมฉันถึงทำไมได้” หรือ “ทำไมฉันจะทำไม่ได้”
ซึ่งเราแปลให้แอนน์เข้าใจความหมายตามแบบแรกเพื่อให้เข้ากับความรู้สึกในขณะนั้นค่ะ
GRADE EXP. +100
- MJ_mini
Pearwa Yanil
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3
1380
+42 M 262 K 181
PASSPORT
:
(850/1500)
:
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Mon 30 Jan 2017, 22:07
[ ย้อนรอยอดีต... อักษร ]
'สิ่งของรอบตัว ทิวทัศน์รอบข้าง ทุกอย่างมันดูเหมือนภาพของกล้องที่ไม่สามารถโฟกัสได้'
.
.
.
.
.
มันเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจำความได้นะ....?
ใบหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่คอยเลี้ยงเราดูมาตลอด
เหมือนกับว่ามันเคยชัด แต่แล้วมันก็...
'เลือนราง'
มาจนถึงทุกวันนี้...
.
.
.
.
.
เราเคยคิดว่ามันแปลก และใครต่อใครคงมองว่ามันประหลาด...
ใช่
มันเป็นแบบนั้น....
มันเป็นเรื่องยากพอสมควรสำหรับการปรับตัว
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เพื่อนๆต่างพากันไม่ชอบ เพียงเพราะว่าเราไม่สามารถจำหน้าของเพื่อนๆได้.....
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เคยโดนแกล้งและถูกล้อว่าตาบอด...
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เกือบจะต้อง 'เสียชีวิต'
.
.
.
.
.
ไม่...เราไม่ได้ตาบอด เรายังมองเห็นนะ เพียงแค่มันไม่ชัดเท่านั้นเอง...
และเพราะว่ายังเด็ก เลยมักเสียใจและร้องไห้งอแงบ่อยๆ
แต่ชายหญิงคู่นั้นมักจะบอกเราเสมอว่า ...
'ไม่เป็นไร'
'ลูกยังมีเรานะ'
'เรารักลูกนะ'
'พยายามเข้า'
'สู้ต่อไปนะ'
'เราเป็นกำลังใจให้เสมอ'
นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ผลักดัน ให้เราได้ไปต่อ ให้เราได้สู้
และไม่ท้อแท้กับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา...
อดีตหรอ......
มันมีทั้งเรื่องราวที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำปนเปกันไป..
ถูกมองว่าแปลก
โดนนินทา
โดนแกล้ง
ถูกประชดว่าร้าย
สังคมบางที่ไม่ยอมรับ
โรงเรียนบางแห่งก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน
มีคนคอยเอาใจใส่
มีคนที่เข้าใจ
มีคนคอยอยู่ข้างๆ
มีคนคอยให้กำลังใจ
เหตุการณ์น่าประทับใจที่คนแปลกหน้าแม้ไม่รู้จักกันก็ยังช่วยเหลือ
อดีตของเรามันไม่มีอะไรหรอก..
เราเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ตาบอด แค่มองเห็นอะไรต่างๆเลือนราง
บางที่ก็ไม่ยอมรับเพียงเพราะว่าแปลกจากคนอื่น บางที่ก็สนับสนุนและคอบช่วยเหลือ
มีเด็กและผู้คนอีกมากมายที่เป็นแบบเรา เราก็เหมือนๆและต้องพบเจออะไรเหมือนพวกเขานั่นแหละ..........
และ...เพราะเรารู้สึกเหมือนว่ามันเป็นแต่กำเนิด มันเลยเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเรา
มันเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพียงแค่ต้องคอยยอมรับปฎิกิริยาของคนรอบข้างเท่านั้นเอง......
เราไม่ได้ตาบอด
.
.
.
แต่มันก็มีโอกาสนะ...
อีกไม่นานตาของเราอาจจะมองไม่เห็นอะไรอีกเลย..
------------------------------------------------------
ย้อนรอยอดีตหรอ...
เมื่อก่อนก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้หรอก..
แต่ตอนนี้ษรเข้าโรงเรียนควิ้นท์มาแล้ว
จะมีเรื่องดีๆใช่มั้ยนะ...
.
.
.
'สิ่งของรอบตัว ทิวทัศน์รอบข้าง ทุกอย่างมันดูเหมือนภาพของกล้องที่ไม่สามารถโฟกัสได้'
.
.
.
.
.
มันเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจำความได้นะ....?
ใบหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่คอยเลี้ยงเราดูมาตลอด
เหมือนกับว่ามันเคยชัด แต่แล้วมันก็...
'เลือนราง'
มาจนถึงทุกวันนี้...
.
.
.
.
.
เราเคยคิดว่ามันแปลก และใครต่อใครคงมองว่ามันประหลาด...
ใช่
มันเป็นแบบนั้น....
มันเป็นเรื่องยากพอสมควรสำหรับการปรับตัว
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เพื่อนๆต่างพากันไม่ชอบ เพียงเพราะว่าเราไม่สามารถจำหน้าของเพื่อนๆได้.....
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เคยโดนแกล้งและถูกล้อว่าตาบอด...
มีช่วงเวลาหนึ่งที่เกือบจะต้อง 'เสียชีวิต'
.
.
.
.
.
ไม่...เราไม่ได้ตาบอด เรายังมองเห็นนะ เพียงแค่มันไม่ชัดเท่านั้นเอง...
และเพราะว่ายังเด็ก เลยมักเสียใจและร้องไห้งอแงบ่อยๆ
แต่ชายหญิงคู่นั้นมักจะบอกเราเสมอว่า ...
'ไม่เป็นไร'
'ลูกยังมีเรานะ'
'เรารักลูกนะ'
'พยายามเข้า'
'สู้ต่อไปนะ'
'เราเป็นกำลังใจให้เสมอ'
นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ผลักดัน ให้เราได้ไปต่อ ให้เราได้สู้
และไม่ท้อแท้กับอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา...
อดีตหรอ......
มันมีทั้งเรื่องราวที่น่าจดจำและไม่น่าจดจำปนเปกันไป..
ถูกมองว่าแปลก
โดนนินทา
โดนแกล้ง
ถูกประชดว่าร้าย
สังคมบางที่ไม่ยอมรับ
โรงเรียนบางแห่งก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน
มีคนคอยเอาใจใส่
มีคนที่เข้าใจ
มีคนคอยอยู่ข้างๆ
มีคนคอยให้กำลังใจ
เหตุการณ์น่าประทับใจที่คนแปลกหน้าแม้ไม่รู้จักกันก็ยังช่วยเหลือ
อดีตของเรามันไม่มีอะไรหรอก..
เราเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้ตาบอด แค่มองเห็นอะไรต่างๆเลือนราง
บางที่ก็ไม่ยอมรับเพียงเพราะว่าแปลกจากคนอื่น บางที่ก็สนับสนุนและคอบช่วยเหลือ
มีเด็กและผู้คนอีกมากมายที่เป็นแบบเรา เราก็เหมือนๆและต้องพบเจออะไรเหมือนพวกเขานั่นแหละ..........
และ...เพราะเรารู้สึกเหมือนว่ามันเป็นแต่กำเนิด มันเลยเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเรา
มันเหมือนเป็นเรื่องปกติ เพียงแค่ต้องคอยยอมรับปฎิกิริยาของคนรอบข้างเท่านั้นเอง......
เราไม่ได้ตาบอด
.
.
.
แต่มันก็มีโอกาสนะ...
อีกไม่นานตาของเราอาจจะมองไม่เห็นอะไรอีกเลย..
------------------------------------------------------
ย้อนรอยอดีตหรอ...
เมื่อก่อนก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้หรอก..
แต่ตอนนี้ษรเข้าโรงเรียนควิ้นท์มาแล้ว
จะมีเรื่องดีๆใช่มั้ยนะ...
.
.
.
GRADE EXP. +65
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Thu 13 Apr 2017, 10:53
ย้อนรอยอดีตของ 'โซเฟีย เดอว์ราวาเรียร์'
แม่เป็นคนฟลังเศษ พ่อเป็นคนไทย
--------------------------------------
สวัสดี ฉันโซเฟีย เดอว์ราวาเรียร์ อายุเพียง10ปี เป็นลูกของนักเปียโนชื่อดัง แม่ของฉันเป็นจเซเลป ที่ทุกคนต่างนับถือและยอมรับในฝีมือการเล่นเปียโน
ซึ่งแน่นอนฉันก็สามารถเล่นได้และเครื่องดนตรีชนิดอื่นก็เล่นได้ด้วย ส่วนคนเป็นพ่อเป็นนักธุระกิจที่ได้รับผลสำเร็จและมาก่อตั้งบริษัทที่ฟลังเศษ และได้มาพบกับแม่...
มีวันหนึ่ง แม่ให้ฉันไปเล่นเฟียโนในงานปาร์ตี้ ที่บริษัทของพ่อจัดขึ้นในวันครบรอบการตั้งบริษัท แต่วันนั้นชั่งโชคร้าย ฉันได้ไปดมเกสรดอกไม้เข้า จึงทำให้อาการหอบกำเริบ
ในขณะเดียวกันแม่ให้คนมาตามฉันกลับไปเล่นเฟียโน แต่ฉันกลับทำไม่ได้ เพราะตอนนั้นมันรู้สึกแน่นน่าอก และหายใจไม่ค้อยออก จึงทำให้บรรเลงผิดเพี้ยนไป
และผู้ฟังซึ่งมีเหล่าคุณนายและเซเลปต่างๆก็พากันวิจารณ์ฉันต่างๆนาๆ และมันก็ส่งผลไปถึงแม่ฉันด้วย
"อะไรกัน นี้เขาเรียกว่ามืออาชีพงั้นหรอ"
"ลูกสาวฉันยังเล่นได้ดีกว่า"
"ใครเป็นผู้สอนกันหะ"
"ฉันว่าข่าวลือที่ว่า คุณนายเดอว์ราวาเรียร์ นั้นคงจะไม่จริง รวยซะขนาดนั้นสร้างข่าวลือแบบนี้ได้คงไม่แปลก"
"นั้นสิ"
หลังจากนั้นชื่อเสียงของแม่ก็ค้อยๆลดลง เหลือเพียงคำดูหมิ่น เหยียดหยาม เท่านั้น ผ่านมา2ปี ตอนนี้ฉันอายุ12 เรื่องมันก็จบลงไปนานแล้ว แต่แม่ยังไม่หยุด
และยังคอนตำหนิฉัน ฉันก้ไม่รู้หรอกนะก็อีคำพูดของพวกนั้น ก็รู้ว่าสังคมชั้นสูงเพียงเพราะคำพูดของคุณนายคนอื่นก็ต้องเชื่อ เพราะพวกนั้นหูเบากันทั้งนั้น จนวันหนึ่ง
"เป็นเพราะแก เป็นเพราะไอ้โรคบ้าบอของแก ฉันถึงไม่มีที่แสดง พอมีก็ไม่มีใครมาฟัง เข้าใจใหมเป็นเพราะแก"
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเหมือนเดิม ตั้งแต่เหตุการนั้นทำให้ฉันเป็นพวกพูดน้อยทันที
"แกเป็นใบ้หรือไง พูดมาสิจะชดใช้ให้ฉันยังไง"
ตุบ
แม่ผลักฉันไปทางประตูห้อง จนให้ให้หัวของฉันโขกกับประตูอย่างแรง
"คุณใจเย็น ถึงคุณไม่ได้แสดง ยังไงพวกเราก็มีเงินนะ ผมทำงานคนเดียวก็ได้ ยังไงคุณก็เป็นเซเลปสาวเหมือนเดิมนะที่รัก"
"คุณจะบ้าหรอ ชื่อเสียงฉันป่นปี้ เพราะยัยเด็กนี้ แบบนี้ฉันจะมีหน้าเข้างานสังคมได้ไงละ!! ออกไปเลยนะออกไปจากบ้านของฉัน!!"
พูดจบชุดและกระเป๋าก็ถูกโยนใส่ฉัน ถึงอย่างนั้นฉันก้ยังคงสีหน้าดังเดิมแม้ข้างในอยากจะร้องไห้ แม่สบัดหน้าและเดินออกไปจากห้องของฉัน พอเดินเข้ามาปลอบฉัน
"ขอโทษนะลูก พ่อทำอะไรไม่ได้จริงๆ นี้เงินจำนวนนี้ลูกเอาไปใช้นะ พอแม่หายโกรธ พ่อจะไปตามหาลูกเอง"
ฉันยิ้มออกมาก่อนจะยื้นนิ้วก่อนออกไปแล้วพูดว่า
"สัญญานะ"
"สัญญาสิ"
เราทั้งสองเกี่ยวนิ้วก้อยกัน จากนั้นฉันก็ก้มลงเ็บเสิ้อผ้าและเดินออกไปจากบ้าน และไปเช้าหอพักอยู่ เวลาผ่านไป3เดือนก้ไม่มีวี้แววว่าจะมารับ ฉันคิดว่าพ่อยังไม่รู้ว่าฉันอยู่ใหน ฉันส่งจดหมายไปหลายฉบับก้ไม่ตอบ
จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี ฉันก็ได้ยินข่าวว่า'ลูกสาวคนแรกของตระกูลเดอว์ราวาเรียร์'แม่ฉันคลอดน้องสาวออกมา ฉันดีใจมากแต่ ลูกสาวคนแรก? ก่อนจะรู้ว่า พ่อกับแม่ลบตัวตนของฉันออกไปจากชีวิตแล้ว
และยังบอกนักข่าวอีกว่าเด็กที่เล่นเฟียโนตอนนั้นไม่ใช่ลูกของแม่ แต่เป้นเด็กที่เก็บมา เก็บมายังไงหน้าเห็นกับหน้าแม่คล้ายกันจนจะเป็นฝาแฝด จากนั้นฉันก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากคุณพ่อ
ในจดหมายเขีนว่าให้ฉันไปอยู่ที่ประเทศไทย มีตั๋วเครื่องบินแนบมาด้วย ก็ดี เพราะถ้าให้ฉันซื่อเองคงไม่ใหว เพราะเงินที่พ่อให้มานั้นมันจะหมดแล้ว ฉันเชื่อในคำสัญญาที่พ่อให้ไว้มากเกินไปจึงไม่คิดที่จะทำงานชั่วคราว
แต่ฉันก็ต้องคิดผิด สังคมชั่นสูง มีแต่พวกหูเบา หลอกลวง ขนาดลูกตัวเองยังไม่เว้นและยังไล่ไปอยู่ที่ประเทศอื่น ก็รู้นั้นมันเป้นบ้านเกิดของพ่อ แต่ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรือที่อยู่พวกเขาซะหน่อย แต่ฉันก็ไม่คิดจะเกลียดพ่อ กับแม่หรอกนะ จากนั้นฉันก็เขียนจดหมายว่าๆ'ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ' พอมาถึงประเทศไทยฉันก็หาที่พัก แต่มันยากนะ ไม่ใช่ฉันพูดภาาาไทยไม่ได้เพราะฉันพูดได้หลายภาษา แต่ฉันไม่ค้อยคุ้นชิน
ฉันจึงหาวิธีปรับตัวให้เข้ากับทุกคน จนกระทั้งได้มาพบโรงเรียน Quaint Schoo ตามคำแนะนำของคุณป้าข้างห้อง ฉันจะพยายามเข้ากับทุกคนให้ได้
ฉันจึงตัดสินใจที่จะมาที่นี้ ขอบคุณ คุณป้าข้างห้อง และขอบคุณ
"Quaint Schoo"
ที่ให้โอกาศกับฉัน
แม่เป็นคนฟลังเศษ พ่อเป็นคนไทย
--------------------------------------
สวัสดี ฉันโซเฟีย เดอว์ราวาเรียร์ อายุเพียง10ปี เป็นลูกของนักเปียโนชื่อดัง แม่ของฉันเป็นจเซเลป ที่ทุกคนต่างนับถือและยอมรับในฝีมือการเล่นเปียโน
ซึ่งแน่นอนฉันก็สามารถเล่นได้และเครื่องดนตรีชนิดอื่นก็เล่นได้ด้วย ส่วนคนเป็นพ่อเป็นนักธุระกิจที่ได้รับผลสำเร็จและมาก่อตั้งบริษัทที่ฟลังเศษ และได้มาพบกับแม่...
มีวันหนึ่ง แม่ให้ฉันไปเล่นเฟียโนในงานปาร์ตี้ ที่บริษัทของพ่อจัดขึ้นในวันครบรอบการตั้งบริษัท แต่วันนั้นชั่งโชคร้าย ฉันได้ไปดมเกสรดอกไม้เข้า จึงทำให้อาการหอบกำเริบ
ในขณะเดียวกันแม่ให้คนมาตามฉันกลับไปเล่นเฟียโน แต่ฉันกลับทำไม่ได้ เพราะตอนนั้นมันรู้สึกแน่นน่าอก และหายใจไม่ค้อยออก จึงทำให้บรรเลงผิดเพี้ยนไป
และผู้ฟังซึ่งมีเหล่าคุณนายและเซเลปต่างๆก็พากันวิจารณ์ฉันต่างๆนาๆ และมันก็ส่งผลไปถึงแม่ฉันด้วย
"อะไรกัน นี้เขาเรียกว่ามืออาชีพงั้นหรอ"
"ลูกสาวฉันยังเล่นได้ดีกว่า"
"ใครเป็นผู้สอนกันหะ"
"ฉันว่าข่าวลือที่ว่า คุณนายเดอว์ราวาเรียร์ นั้นคงจะไม่จริง รวยซะขนาดนั้นสร้างข่าวลือแบบนี้ได้คงไม่แปลก"
"นั้นสิ"
หลังจากนั้นชื่อเสียงของแม่ก็ค้อยๆลดลง เหลือเพียงคำดูหมิ่น เหยียดหยาม เท่านั้น ผ่านมา2ปี ตอนนี้ฉันอายุ12 เรื่องมันก็จบลงไปนานแล้ว แต่แม่ยังไม่หยุด
และยังคอนตำหนิฉัน ฉันก้ไม่รู้หรอกนะก็อีคำพูดของพวกนั้น ก็รู้ว่าสังคมชั้นสูงเพียงเพราะคำพูดของคุณนายคนอื่นก็ต้องเชื่อ เพราะพวกนั้นหูเบากันทั้งนั้น จนวันหนึ่ง
"เป็นเพราะแก เป็นเพราะไอ้โรคบ้าบอของแก ฉันถึงไม่มีที่แสดง พอมีก็ไม่มีใครมาฟัง เข้าใจใหมเป็นเพราะแก"
ฉันไม่ได้ตอบอะไรเหมือนเดิม ตั้งแต่เหตุการนั้นทำให้ฉันเป็นพวกพูดน้อยทันที
"แกเป็นใบ้หรือไง พูดมาสิจะชดใช้ให้ฉันยังไง"
ตุบ
แม่ผลักฉันไปทางประตูห้อง จนให้ให้หัวของฉันโขกกับประตูอย่างแรง
"คุณใจเย็น ถึงคุณไม่ได้แสดง ยังไงพวกเราก็มีเงินนะ ผมทำงานคนเดียวก็ได้ ยังไงคุณก็เป็นเซเลปสาวเหมือนเดิมนะที่รัก"
"คุณจะบ้าหรอ ชื่อเสียงฉันป่นปี้ เพราะยัยเด็กนี้ แบบนี้ฉันจะมีหน้าเข้างานสังคมได้ไงละ!! ออกไปเลยนะออกไปจากบ้านของฉัน!!"
พูดจบชุดและกระเป๋าก็ถูกโยนใส่ฉัน ถึงอย่างนั้นฉันก้ยังคงสีหน้าดังเดิมแม้ข้างในอยากจะร้องไห้ แม่สบัดหน้าและเดินออกไปจากห้องของฉัน พอเดินเข้ามาปลอบฉัน
"ขอโทษนะลูก พ่อทำอะไรไม่ได้จริงๆ นี้เงินจำนวนนี้ลูกเอาไปใช้นะ พอแม่หายโกรธ พ่อจะไปตามหาลูกเอง"
ฉันยิ้มออกมาก่อนจะยื้นนิ้วก่อนออกไปแล้วพูดว่า
"สัญญานะ"
"สัญญาสิ"
เราทั้งสองเกี่ยวนิ้วก้อยกัน จากนั้นฉันก็ก้มลงเ็บเสิ้อผ้าและเดินออกไปจากบ้าน และไปเช้าหอพักอยู่ เวลาผ่านไป3เดือนก้ไม่มีวี้แววว่าจะมารับ ฉันคิดว่าพ่อยังไม่รู้ว่าฉันอยู่ใหน ฉันส่งจดหมายไปหลายฉบับก้ไม่ตอบ
จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี ฉันก็ได้ยินข่าวว่า'ลูกสาวคนแรกของตระกูลเดอว์ราวาเรียร์'แม่ฉันคลอดน้องสาวออกมา ฉันดีใจมากแต่ ลูกสาวคนแรก? ก่อนจะรู้ว่า พ่อกับแม่ลบตัวตนของฉันออกไปจากชีวิตแล้ว
และยังบอกนักข่าวอีกว่าเด็กที่เล่นเฟียโนตอนนั้นไม่ใช่ลูกของแม่ แต่เป้นเด็กที่เก็บมา เก็บมายังไงหน้าเห็นกับหน้าแม่คล้ายกันจนจะเป็นฝาแฝด จากนั้นฉันก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากคุณพ่อ
ในจดหมายเขีนว่าให้ฉันไปอยู่ที่ประเทศไทย มีตั๋วเครื่องบินแนบมาด้วย ก็ดี เพราะถ้าให้ฉันซื่อเองคงไม่ใหว เพราะเงินที่พ่อให้มานั้นมันจะหมดแล้ว ฉันเชื่อในคำสัญญาที่พ่อให้ไว้มากเกินไปจึงไม่คิดที่จะทำงานชั่วคราว
แต่ฉันก็ต้องคิดผิด สังคมชั่นสูง มีแต่พวกหูเบา หลอกลวง ขนาดลูกตัวเองยังไม่เว้นและยังไล่ไปอยู่ที่ประเทศอื่น ก็รู้นั้นมันเป้นบ้านเกิดของพ่อ แต่ฉันไม่รู้จักพวกเขาหรือที่อยู่พวกเขาซะหน่อย แต่ฉันก็ไม่คิดจะเกลียดพ่อ กับแม่หรอกนะ จากนั้นฉันก็เขียนจดหมายว่าๆ'ขอบคุณ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ' พอมาถึงประเทศไทยฉันก็หาที่พัก แต่มันยากนะ ไม่ใช่ฉันพูดภาาาไทยไม่ได้เพราะฉันพูดได้หลายภาษา แต่ฉันไม่ค้อยคุ้นชิน
ฉันจึงหาวิธีปรับตัวให้เข้ากับทุกคน จนกระทั้งได้มาพบโรงเรียน Quaint Schoo ตามคำแนะนำของคุณป้าข้างห้อง ฉันจะพยายามเข้ากับทุกคนให้ได้
ฉันจึงตัดสินใจที่จะมาที่นี้ ขอบคุณ คุณป้าข้างห้อง และขอบคุณ
"Quaint Schoo"
ที่ให้โอกาศกับฉัน
GRADE EXP. +50
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Sun 16 Apr 2017, 23:41
ย้อนรอยอดีตของ 'passes pakinsan'
แม่เป็นคนอังกฤษ พ่อเป็นคนไทย
วันที่ผมเกิดมานั้นผมเกิดมาด้วยโรคบางอย่างที่ไม่สามารถรักษาได้โดยที่ตัวผมเองนั้นไม่รู้เหมือนกันพ่อแม่ของผมนั้นได้ทำการพาผมไปฉีดยาที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
ซึ่งตอนนั้นอาการออทิสติกที่ผมยังไม่รู้นั้นโดยหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในนั้นคือพวกชอบเพศเดียวกันซึ่งผมชอบแค่ผู้หญิง แต่ที่แปลกกว่านี้คือผมชอบผู้ชายด้วย
ผมว่ามันแทม่งๆยังไงไม่รู้น๊า โอ๊ยยยยเอาเถอะเอาเป็นว่าชีวิตผมในตอนเด้กเรียกได้เลยว่าขี้แยและเย็นชามากๆเลยละ เพราะทำไมน่ะหรอก็ตอนนั้น
ก็จะอธิบายยังไงดีละเนี่ย ประมาณว่าตอนอดีตน่ะช่วงอายุประมาณ3-4ขวบเราไม่ได้พูดน่ะดิ แม่เราก็แปลกใจว่าทำไมเราไม่ได้พูดเลยเอาไปฝึกพูด
กับพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงตอนนั้นเขาสอนผมพูดและฝึกพูดจนกระทั่งสมองผมเรียบเรียงไม่ถูกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมดันเผลอตอบพี่เลี้ยงไปว่าผู้หญิง
คะ--คือมันอายอ่ะตอนนั้นน่ะ จะบ้าตายอยู่แล้วละตอนนั้นน่ะดีแล้วละนะ เฮ้อ...เอาเถอะพอผมได้รับการดูแลจนสิบขวบมารับผมแล้ว
ที่แปลกกว่านั้นคือผมก็นะ ตอนนั้นช่วงประมาณวันที่เท่าไหร่นี้แหละมั้งผมจำไม่ค่อยได้แล้วละ ผมจำได้ว่าวันนั้นแม่พาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาลศิริราช
ซึ่งตอนไปนั้นแหละพอถึงคิวผมผมก็ไปตรวจและปรากฏว่าผมก็มีอาการทางสมองจริงๆซึ่งต้องกินยาระงับตั้งแต่ประถมตอนนั้นแบบเงียบมากๆ
เรียกได้ว่าต้องคุมเอาตัวเองให้รอดน่ะไปหาหมอสุดท้ายก็เปลี่ยนไปที่หนึ่งคือโรงพยาบาลอะไรรักษ์ๆนี้แหละจำไม่ได้เช่นกันแหะ จำได้ว่า
ตอนนั้นไปหาหมอหมอบอกว่าให้ไปหาโจทย์เลขเลยเอาโจทย์เลขในชีททำใส่สมุดและส่งให้หมอดูสุดท้ายก็ต้องกินยาครับกินยาเป็นเดือนๆ
จนถึงประมาณประถมหกน่ะ ซึ่งช่วงประถมนั้นทรมานมากๆเวลากินยาเนี่ย เฮ้อ...เอาเถอะพอเลิกกินยาหลังจบประถมปุ๊ป อ๋อลืมเล่าตอนหนึ่งนิน๊า
มีวันหนึ่งวันนั้นจำไม่ค่อยได้ว่าไปโรงพยาบาลที่หนึ่งตอนนั้นจำได้ว่าที่นั้นสว่างตามากๆ เหมาะโรงพยาบาลขนาดกลางได้จำได้ว่าตอนที่แม่ผมพาผมไปรักษาน่ะ
แม่ก็คุยกับหมอจนต้องหมอน่ะไล่ผมออกไปเล่นด้านนอก เลยมาเล่นของเล่นของกินของพวกผู้หญิงทำอาหงอาหารน่ะสรุป..ตอนที่ยังไม่รู้อาการเท่าไหร่ซะพักหนึ่งแม่เรียกเราเข้ามา
และหมอบอกว่า"คงก็ต้องให้กินยาตลอดละนะครับ ตอนนี้น้องคืออาการออทิสติกครับ"ผมได้ยินอาการนั้นซึ่งตอนนั้นตรวจอาการจบแล้วละผมเลยคุยกับแม่และถามว่า
"ผมเป้นออทิสติกจริงใช่มั้ยแม่"ผมถามแม่ก่อนจะกอดแม่แม่บอกว่า"ใช่แล้วละ"จนกระทั่งมีวันหนึ่งวันนั้นโจรขโมยโทรศัพท์แม่ไปดีนะที่โจรไม่รู้ข้อมูลแม่แล้วละ
และแล้วผมก็รู้จนได้ว่าเป็นออทิสติกมาสิบกว่าปีนี้ยังไม่หายหรอ ความจริงก็ยังไม่หายแหละ สุดท้ายมีวันหนึ่งแม่ผมก็ไปรู้จักเกี่ยวกับโรงเรียนบำบัดผู้พิการ
"Quaint high School"แม่เลยพาผมไปสมัครและก็ย้ายมาอยู่ที่นี้
"บางวันบางเวลาผมอาจจะร้องไห้เพราะเรื่องราวต่างๆ"
"ถึงผมจะเป็นปัญหาของสังคมแต่ผมไม่อยากเป็นเพราะผมอยากมีเพื่อน"
"ขอบคุณครับท่านพ่อท่านแม่ที่ให้ผมมาอยู่ที่นี้"
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Wed 09 Aug 2017, 22:51
Dairly :: ย้อนรอยอดีต
____________________________________________________________________________________________________________________
พ่อของฉันเคยเล่าให้ฟังว่า วันที่6 มกราคม วันนั้นเป็นวันการเสด็จเยือนโลกของพระเจ้าของชาวเยอรมัน เหมือนทุกอย่างจะลงตัวโดยบังเอิญ ฉันเกิดในวันนั้นค่ะ เลยได้ชื่อว่าเจนเนตรที่แปลว่า "ของขวัญจากพระเจ้า"
____________________________________________________________________________________________________________________
[7]
หลังจากที่อยู่อังกฤษมา6ปี ชีวิตในตอนที่อยู่เยอรมันน่ะนะ ฉันจำได้ว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด ทุกๆวันจะได้กินข้าวบนโต๊ะที่รายล้อมด้วยครอบครัว ได้ร้องเพลงกับพ่อ ได้ฟังนิทานก่อนนอนจากแม่ ได้เล่นอะไรสนุกๆกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ทุกคนน่ะใจดีมากๆเลยล่ะค่ะ!
____________________________________________________________________________________________________________________
[06.01.20xx]
ปีนี้ฉันมีอายุครบ10ขวบค่ะ! พ่อกับแม่พามาที่ประเทศไทย พร้อมกับบอกฉันว่า จะมาอยู่ที่นี่กัน และไม่มีกำหนดกลับเยอรมัน เพราะทั้งพ่อและแม่มีสัญญา ถึงจะคิดถึงอากาศเย็นๆที่เยอรมันก็เถอะ แต่ว่าตัวฉันเองก็มีสายเลือดไทยนี่นา แค่อยู่ไทยน่ะ ทำได้อยู่แล้ว สู้ๆ!!
[10]
ความหวังและแสงสว่างมันเริ่มจะริบหลี่ลง
ทุกอย่างในโรงเรียนเลวร้ายมากๆ เลวร้ายมากๆ ทุกคนใจร้าย!!..ทั้งๆที่ฉันก็ทำตัวปกติแท้ๆ ....แต่ทำไม.... คนในห้องเรียนถึงต้อง'เกลียด'ฉันล่ะ?
เพราะฉันมาจากเยอรมันเหรอ?
เพราะฉันร้องเพลงได้เหรอ?
เพราะฉันตอบคำถามได้ทุกข้อเหรอ?
ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ คนที่นี่เนี่ย... ความรู้สึกซับซ้อนดีนะคะ เฮะๆ
[10]
ในวิชาแล็ป ตอนนั้นฉันกำลังจะเอาสารเคมีที่กำลังทำปฏิกิริยาไปส่งครู แต่ดันสะดุดขาเพื่อน
เมื่อลืมตาขึ้นมา ทัศนวิสัยกลับมัวผิดปกติไปมาก เนตรไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่ไหน ทุกอย่างดูไม่ชัดเจนไปหมด สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือเสียงโอดครวญของครู...ของญาติ...มันดังระงมไปหมด ตอนนี้ทั้งร่างกายเย็นเฉียบไปหมด หัวสมองขาวโพลน ได้แต่หวังว่าผลการตรวจจะไม่ออกมาในแบบที่คิด... แต่สุดท้าย พระเจ้าก็หักหลังฉันอีกครั้ง
"ดิฉันเสียใจนะคะ ผลการตรวจดวงตาของคุณคือ ....บกพร่องทางการมองเห็นในระดับเลือนลางค่ะ"
อา...เหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว เพื่อนที่ดีที่สุดตอนนี้ก็มีแค่อ้อมกอดของพ่อกับแม่ คุณสัตว์ที่บ้าน แล้วก็มือทั้งสองข้างของตัวเอง :( ความสุขที่มีมา...มัน..หายไปหมดเลย.... เหลือแต่คราบน้ำตา...ร้องไห้ไปวันๆ โดยไม่รู้ตัวว่าไม่มีน้ำตาเหลือแล้ว......
"ไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้วล่ะ ทำไงดีนะ"
____________________________________________________________________________________________________________________
[06.01.20xx]
[11]
และแล้ววันที่เลวร้ายก็ผ่านพ้นไป วันที่6มกราคมที่ฉันรอมานาน ในที่สุดก็มาถึง ของขวัญอายุครบ11ปีคือ'ไปเที่ยวทะเล'ล่ะ!!! ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ดีเลยล่ะ วันนั้นมีความสุขมากๆ ตอนเดินทาง พ่อก็พาแวะที่ๆอยากจะแวะ แม่ก็มานั่งพูดเรื่องทะเลอยู่เบาะหลังเป็นเพื่อนฉันด้วยล่ะ!!
แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่รักฉันเลย พ่อหักหลบรถที่สวนเลน ทำให้รถพุ่งไปชนต้นไม้อย่างแรง
พ่อได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ส่วนแม่ที่ไม่ได้คาดเข็มขัดเพราะเอื้อมไปเอาของตรงเบาะหน้า กระเด็นออกนอกรถ หัวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แถมยังโดนซากรถยนต์ทับ ภาพทุกอย่างตรงหน้ามีแต่สีแดงของเลือด...ก่อนทุกอย่างจะเลือนลางไป
และ...
พ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส แม่ตายคาที่ ส่วนตัวฉัน เสียตาข้างซ้ายไป
[xx.xx.xx]
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่พอตื่นขึ้นมา มีแต่เสียงร้องไห้ เสียงก่นด่าเต็มไปหมด
"มันเพราะแก!! นังเด็กพิการ!! ถ้า่พอแม่แกทิ้งแกไปตั้งนานแล้ว เรื่องแบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก!!"
"ลูกสะใภ้ฉันตายเพราะแก!! ต่อไปนี้ แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าย่า!!"
คำว่า'เป็นอะไรมั้ย'ยังไม่ได้ยินเลย... รู้แบบนี้ไม่ตื่นมาเสียก็ดีหรอก
____________________________________________________________________________________________________________________
[13]
สวัสดีอีกรอบค่ะ ฉันเนตรเอง ที่ผ่านมานี้...ชีวิตฉันแทบไม่มีอะไรดี ถูกครอบครัวทิ้ง เหลือเพียงแค่พ่อคนเดียว ถูกแกล้งที่โรงเรียน ทัศนคติของฉันเริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ จนวันเกิดครบรอบอายุ13ของฉัน ฉันไปเยี่ยมพ่อตามปกติ ปรากฏว่า...ฉันเจอผู้ชายปริศนาคนหนึ่ง กำลังนั่งคุยกับพ่ออย่างสนุกสนาน
คนนั้นก็คือ"คุณนรินทร์"
เท่าที่ฉันรู้ คุณนรินท์รู้จักกับพ่อมาก่อน รู้สึกว่าเขาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสำหรับผู้พิการ(แบบฉัน)ด้วย
อ๊ะๆๆๆๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ! เขาน่ะ เป็นคนที่ทำให้ฉันรู้จักกับความสุขมากขึ้น คอยสอนให้ฉันมีความคิดในแง่บวก สอนบทเรียนชีวิต เขาทำให้ฉันเริ่มที่จะไว้ใจคนรอบข้างได้ กล้าแสดงออกได้ ถึงแม้ว่าฉันจะเลิ่กลั่กหน่อยก็ตาม ฮ่าๆXD วันนี้เขายื่นแบบฟอร์มสีม่วงๆของโรงเรียนQuaint Schoolมาให้ พร้อมพูดกับฉันว่า
"พร้อมเมื่อไหร่ก็มานะ ที่นี่ต้อนรับหนูตลอด"
ฉันอยากจะมีเพื่อนอีกครั้ง... อยากเรียนอีกครั้ง... แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะไป จนกระทั้งพ่อให้กำลังใจ และสนับสนุนกับการที่จะเข้าเรียนที่นี่ ฉันจึงจะขอไม่ลังเล และขอตั้งใจใช้ชีวิตให้เต็มที่แบบที่พ่อกับแม่อยากให้ทำด้วย!
เพราะฉะนั้น..สวัสดีและลาก่อน อดีตของฉัน [xx.xx.20xx]
"Alles zu seiner Zeit.
ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีเวลาของมัน"
ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีเวลาของมัน"
____________________________________________________________________________________________________________________
พ่อของฉันเคยเล่าให้ฟังว่า วันที่6 มกราคม วันนั้นเป็นวันการเสด็จเยือนโลกของพระเจ้าของชาวเยอรมัน เหมือนทุกอย่างจะลงตัวโดยบังเอิญ ฉันเกิดในวันนั้นค่ะ เลยได้ชื่อว่าเจนเนตรที่แปลว่า "ของขวัญจากพระเจ้า"
____________________________________________________________________________________________________________________
[7]
หลังจากที่อยู่อังกฤษมา6ปี ชีวิตในตอนที่อยู่เยอรมันน่ะนะ ฉันจำได้ว่ามันเป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด ทุกๆวันจะได้กินข้าวบนโต๊ะที่รายล้อมด้วยครอบครัว ได้ร้องเพลงกับพ่อ ได้ฟังนิทานก่อนนอนจากแม่ ได้เล่นอะไรสนุกๆกับเพื่อนๆที่โรงเรียน ทุกคนน่ะใจดีมากๆเลยล่ะค่ะ!
____________________________________________________________________________________________________________________
[06.01.20xx]
ปีนี้ฉันมีอายุครบ10ขวบค่ะ! พ่อกับแม่พามาที่ประเทศไทย พร้อมกับบอกฉันว่า จะมาอยู่ที่นี่กัน และไม่มีกำหนดกลับเยอรมัน เพราะทั้งพ่อและแม่มีสัญญา ถึงจะคิดถึงอากาศเย็นๆที่เยอรมันก็เถอะ แต่ว่าตัวฉันเองก็มีสายเลือดไทยนี่นา แค่อยู่ไทยน่ะ ทำได้อยู่แล้ว สู้ๆ!!
[10]
ความหวังและแสงสว่างมันเริ่มจะริบหลี่ลง
ทุกอย่างในโรงเรียนเลวร้ายมากๆ เลวร้ายมากๆ ทุกคนใจร้าย!!..ทั้งๆที่ฉันก็ทำตัวปกติแท้ๆ ....แต่ทำไม.... คนในห้องเรียนถึงต้อง'เกลียด'ฉันล่ะ?
เพราะฉันมาจากเยอรมันเหรอ?
เพราะฉันร้องเพลงได้เหรอ?
เพราะฉันตอบคำถามได้ทุกข้อเหรอ?
ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะ คนที่นี่เนี่ย... ความรู้สึกซับซ้อนดีนะคะ เฮะๆ
[10]
"Ein Unglück kommt selten allein.
ความโชคร้าย มักเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยไม่มีเหตุ"
ความโชคร้าย มักเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยไม่มีเหตุ"
ในวิชาแล็ป ตอนนั้นฉันกำลังจะเอาสารเคมีที่กำลังทำปฏิกิริยาไปส่งครู แต่ดันสะดุดขาเพื่อน
- Spoiler:
- *ที่จงใจยื่นขาออกมาให้สะดุดค่ะ...*
เมื่อลืมตาขึ้นมา ทัศนวิสัยกลับมัวผิดปกติไปมาก เนตรไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่ไหน ทุกอย่างดูไม่ชัดเจนไปหมด สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือเสียงโอดครวญของครู...ของญาติ...มันดังระงมไปหมด ตอนนี้ทั้งร่างกายเย็นเฉียบไปหมด หัวสมองขาวโพลน ได้แต่หวังว่าผลการตรวจจะไม่ออกมาในแบบที่คิด... แต่สุดท้าย พระเจ้าก็หักหลังฉันอีกครั้ง
"ดิฉันเสียใจนะคะ ผลการตรวจดวงตาของคุณคือ ....บกพร่องทางการมองเห็นในระดับเลือนลางค่ะ"
อา...เหนื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว เพื่อนที่ดีที่สุดตอนนี้ก็มีแค่อ้อมกอดของพ่อกับแม่ คุณสัตว์ที่บ้าน แล้วก็มือทั้งสองข้างของตัวเอง :( ความสุขที่มีมา...มัน..หายไปหมดเลย.... เหลือแต่คราบน้ำตา...ร้องไห้ไปวันๆ โดยไม่รู้ตัวว่าไม่มีน้ำตาเหลือแล้ว......
"ไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้วล่ะ ทำไงดีนะ"
____________________________________________________________________________________________________________________
[06.01.20xx]
[11]
"Glück und Glas, wie bald bricht das
โชคนั้นเปรียบเสมือนหมือนดังแก้ว ที่แตกได้เร็ว"
โชคนั้นเปรียบเสมือนหมือนดังแก้ว ที่แตกได้เร็ว"
และแล้ววันที่เลวร้ายก็ผ่านพ้นไป วันที่6มกราคมที่ฉันรอมานาน ในที่สุดก็มาถึง ของขวัญอายุครบ11ปีคือ'ไปเที่ยวทะเล'ล่ะ!!! ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ดีเลยล่ะ วันนั้นมีความสุขมากๆ ตอนเดินทาง พ่อก็พาแวะที่ๆอยากจะแวะ แม่ก็มานั่งพูดเรื่องทะเลอยู่เบาะหลังเป็นเพื่อนฉันด้วยล่ะ!!
แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่รักฉันเลย พ่อหักหลบรถที่สวนเลน ทำให้รถพุ่งไปชนต้นไม้อย่างแรง
พ่อได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ส่วนแม่ที่ไม่ได้คาดเข็มขัดเพราะเอื้อมไปเอาของตรงเบาะหน้า กระเด็นออกนอกรถ หัวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แถมยังโดนซากรถยนต์ทับ ภาพทุกอย่างตรงหน้ามีแต่สีแดงของเลือด...ก่อนทุกอย่างจะเลือนลางไป
และ...
พ่อได้รับบาดเจ็บสาหัส แม่ตายคาที่ ส่วนตัวฉัน เสียตาข้างซ้ายไป
[xx.xx.xx]
ฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน แต่พอตื่นขึ้นมา มีแต่เสียงร้องไห้ เสียงก่นด่าเต็มไปหมด
"มันเพราะแก!! นังเด็กพิการ!! ถ้า่พอแม่แกทิ้งแกไปตั้งนานแล้ว เรื่องแบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก!!"
"ลูกสะใภ้ฉันตายเพราะแก!! ต่อไปนี้ แกไม่ต้องมาเรียกฉันว่าย่า!!"
คำว่า'เป็นอะไรมั้ย'ยังไม่ได้ยินเลย... รู้แบบนี้ไม่ตื่นมาเสียก็ดีหรอก
____________________________________________________________________________________________________________________
[13]
"Jeder ist seines Glückes Schmied.
ทุกคนสามารถกำหนดโชคชะตา ได้ด้วยตัวเอง"
ทุกคนสามารถกำหนดโชคชะตา ได้ด้วยตัวเอง"
สวัสดีอีกรอบค่ะ ฉันเนตรเอง ที่ผ่านมานี้...ชีวิตฉันแทบไม่มีอะไรดี ถูกครอบครัวทิ้ง เหลือเพียงแค่พ่อคนเดียว ถูกแกล้งที่โรงเรียน ทัศนคติของฉันเริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ จนวันเกิดครบรอบอายุ13ของฉัน ฉันไปเยี่ยมพ่อตามปกติ ปรากฏว่า...ฉันเจอผู้ชายปริศนาคนหนึ่ง กำลังนั่งคุยกับพ่ออย่างสนุกสนาน
คนนั้นก็คือ"คุณนรินทร์"
เท่าที่ฉันรู้ คุณนรินท์รู้จักกับพ่อมาก่อน รู้สึกว่าเขาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสำหรับผู้พิการ(แบบฉัน)ด้วย
อ๊ะๆๆๆๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ! เขาน่ะ เป็นคนที่ทำให้ฉันรู้จักกับความสุขมากขึ้น คอยสอนให้ฉันมีความคิดในแง่บวก สอนบทเรียนชีวิต เขาทำให้ฉันเริ่มที่จะไว้ใจคนรอบข้างได้ กล้าแสดงออกได้ ถึงแม้ว่าฉันจะเลิ่กลั่กหน่อยก็ตาม ฮ่าๆXD วันนี้เขายื่นแบบฟอร์มสีม่วงๆของโรงเรียนQuaint Schoolมาให้ พร้อมพูดกับฉันว่า
"พร้อมเมื่อไหร่ก็มานะ ที่นี่ต้อนรับหนูตลอด"
ฉันอยากจะมีเพื่อนอีกครั้ง... อยากเรียนอีกครั้ง... แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะไป จนกระทั้งพ่อให้กำลังใจ และสนับสนุนกับการที่จะเข้าเรียนที่นี่ ฉันจึงจะขอไม่ลังเล และขอตั้งใจใช้ชีวิตให้เต็มที่แบบที่พ่อกับแม่อยากให้ทำด้วย!
เพราะฉะนั้น..สวัสดีและลาก่อน อดีตของฉัน [xx.xx.20xx]
GRADE EXP. +60
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Tue 13 Feb 2018, 21:09
ย้อนรอยอดีตของ ธีรภัทร์ รวินันท์
สวัสดีครับ ผมชื่อธีรภัทร ชื่อเล่นชื่อวีครับ สาเหตุที่ผมพิการคือ ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในขณะที่ผมอายุได้6ขวบ เศษกระจกรถได้เเตกเเละเเทงที่เเขนซ้ายของผม โดนจุดสำคัญจนทำให้ผมต้องเสียเเขนตั้งเเต่ข้อศอกลงมา ส่วนเเม่ผมที่เป็นคนขับกระทบกระเทือนทางสมองเป็นอัมพาตครึ่งตัว มันทำให้ผมคิดว่าอยากอยู่ต่อเพื่อเเม่เเละพ่อของผมเเม้จะสูญเสียเเขนของผมไป
ก่อนที่จะมาเข้าเรียนที่นี่ผมต้องทนกับสายตามากมายที่มองมาที่ผม มากมายความรู้สึก ผมไม่เคยชอบสายตาที่จับจ้องมาเลยสักครั้งมันตอกย้ำสิ่งเเย่ๆที่ผ่านมา ผมเคยถูกล้อต่างๆนานา จนชินชากับมันไปเองเเต่ผม ไม่เคยชอบมันสักครั้งไม่เคย ผนเคยเเย่มากๆจนต้องเรียนที่บ้านพักใหญ่เเต่ผมก็ผ่านมันมาได้ สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนที่นี้ได้พบเจอสังคมใหม่ๆขอบคุณครับ
สวัสดีครับ ผมชื่อธีรภัทร ชื่อเล่นชื่อวีครับ สาเหตุที่ผมพิการคือ ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในขณะที่ผมอายุได้6ขวบ เศษกระจกรถได้เเตกเเละเเทงที่เเขนซ้ายของผม โดนจุดสำคัญจนทำให้ผมต้องเสียเเขนตั้งเเต่ข้อศอกลงมา ส่วนเเม่ผมที่เป็นคนขับกระทบกระเทือนทางสมองเป็นอัมพาตครึ่งตัว มันทำให้ผมคิดว่าอยากอยู่ต่อเพื่อเเม่เเละพ่อของผมเเม้จะสูญเสียเเขนของผมไป
ก่อนที่จะมาเข้าเรียนที่นี่ผมต้องทนกับสายตามากมายที่มองมาที่ผม มากมายความรู้สึก ผมไม่เคยชอบสายตาที่จับจ้องมาเลยสักครั้งมันตอกย้ำสิ่งเเย่ๆที่ผ่านมา ผมเคยถูกล้อต่างๆนานา จนชินชากับมันไปเองเเต่ผม ไม่เคยชอบมันสักครั้งไม่เคย ผนเคยเเย่มากๆจนต้องเรียนที่บ้านพักใหญ่เเต่ผมก็ผ่านมันมาได้ สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณที่ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนที่นี้ได้พบเจอสังคมใหม่ๆขอบคุณครับ
GRADE EXP. +60
- DesmondD
Desmond Henry Ashton
อาจารย์ภาษาอังกฤษ
1018
+30 M 573 K 554
PASSPORT
:
(165/4000)
:
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Mon 26 Feb 2018, 13:43
ย้อนรอยอดีต : เดสมอนด์
ในตอนแรกเริ่มนั้น ไม่มีใครสังเกตุ
เด็กชายคนหนึ่งในช่วงวัยราวหนึ่งขวบ ที่ร้องให้จ้ายามที่ถูกอุ้มตัวขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงปลอบโยนที่คุ้นเคยของแม่ หรือเสียงอันลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกของพ่อ
ทุกคนคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์อันไม่แน่นอนของเด็กเยาว์วัย ปวดท้อง หิวข้าว ไม่พอใจ เบื่อ ง่วง เรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง
----
แม่กลัดเข็มกลัดที่เป็นโบว์สีชมพูอยู่ที่อกเสื้อของเธออยู่เสมอทุกวัน
พ่อสวมสายรัดข้อมือที่มีสีน้ำตาล เหลืองและขาว
โลกเล็กๆของเรา ที่ถึงไม่มีใบหน้าก็ไม่เป็นไร
----
I think of what the world could be
A vision of the one I see
A million dreams is all it's gonna take
----
อ่านแบบเต็มๆ ที่นี่
ในตอนแรกเริ่มนั้น ไม่มีใครสังเกตุ
เด็กชายคนหนึ่งในช่วงวัยราวหนึ่งขวบ ที่ร้องให้จ้ายามที่ถูกอุ้มตัวขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงปลอบโยนที่คุ้นเคยของแม่ หรือเสียงอันลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูกของพ่อ
ทุกคนคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์อันไม่แน่นอนของเด็กเยาว์วัย ปวดท้อง หิวข้าว ไม่พอใจ เบื่อ ง่วง เรียกร้องบางสิ่งบางอย่าง
----
แม่กลัดเข็มกลัดที่เป็นโบว์สีชมพูอยู่ที่อกเสื้อของเธออยู่เสมอทุกวัน
พ่อสวมสายรัดข้อมือที่มีสีน้ำตาล เหลืองและขาว
โลกเล็กๆของเรา ที่ถึงไม่มีใบหน้าก็ไม่เป็นไร
----
I think of what the world could be
A vision of the one I see
A million dreams is all it's gonna take
----
อ่านแบบเต็มๆ ที่นี่
GRADE EXP. +100
- Nearmoki-2b:
- มีมากกว่า 100 คะแนนม๊ายยย ไม่มีอะไรจะให้แว้ววว
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
466
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Thu 07 Jun 2018, 17:20
ย้อนรอยอดีต วาริ อชิรา
ชายวัยกลางคนยืนตากลมลมทะเลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขามองเลยเส้นขอบฟ้าไปที่ไกลแสนไกลและหวังอย่างสุดซึ้งว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับลูกชาย ร่างกายใหญ่โตแต่มือที่ถือแก้วไวน์ใบบางกลับสั่นเทาเพราะความกลัว
“คุณ เขาไปนั่งพักข้างในเถอะ” ภรรยาเดินเข้ามาหาสามีอย่างเป็นห่วง เป็นเวลาหลายวันที่ทุ่มเงินเพื่อตามหา ‘วาริ’ ดวงใจเพียงหนึ่งเดียวที่เฝ้าถนอมแต่เขากลับพลัดตกลงไปในทะเลเพราะคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้ามาระหว่างพายุ และเด็กชายที่อายุเพียงห้าขวบก็ถูกมันโฉบฉวยลงไปแม้แต่ผู้เป็นพ่อที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ไม่อาจคว้าไว้ได้ทัน
“พวกเราไม่น่ามาที่นี่เลย...” เสียงทุ้มไม่อาจแสดงถึงความมั่นคงเลยสักนิด น้ำตาลูกผู้ชายหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาอย่างไม่อายใคร ถ้าหาก… ว่าเขาไม่ต้องมาทำธุระที่ประเทศนี้ ถ้าหาก… เขาไม่คิดว่าคงจะดีถ้าได้มาเที่ยวพร้อมกับครอบครัวที่นี่ ถ้าหาก ถ้าหาก ถ้าหาก…
“วาริจะต้องไม่เป็นไร โชคดีที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อนและจุดที่ลูกพลัดตกก็ใกล้กับป่า” ฉับพลันดวงตาแข็งกร้าวก็ตวัดมองภรรยา เขากัดฟันกรอดและเค้นคำพูด
“โชคดีหรอ คุณพูดได้ยังไงว่าโชคดี เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ!”
“!!”
เขาผินหน้ากลับทางเดิมอีกครั้ง และกระดกไวน์รสดีในแก้วจนหมด
“แล้วคุณ… ไม่คิดว่าฉันจะเสียใจบ้างหรืออย่างไร” ดวงตาแดงก่ำช้อนมองผู้เป็นที่รัก ทำให้คนที่อารมณ์ร้อนเมื่อครู่รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะลืมไปว่าที่ตรงนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่เป็นห่วงลูกไม่แพ้กัน
“ผม.. ขอโทษ”
“เข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะ คุณต้องกินอะไรซะบ้างก่อนจะกลายเป็นกระดูกตอนที่ลูกกลับมา”
เจ็ดปีต่อมา
ในที่สุดผลจากการใช้งบกระจายข่าวคนหายในประเทศแคนาดาไปหลายสิบล้านเป็นระยะเวลาหลายปี วันนี้พวกเขาก็ได้รับข่าวดีจากทางฝั่งโน้นแล้ว
/ผลสรุปว่าเราเจอลูกชายของคุณแล้ว เขาดูต่างไปจากเดิมมากแต่ถ้าเทียบกับปานและลักษณะต่างๆ ก็ตรงมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็น/
ผู้เป็นพ่อยิ้มออกมาอย่างดีใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยหมดหวังเลยที่จะทำงานหนักและทุ่มเงินเพื่อตามหาวาริ
“คะ… คุณเจอเขาที่ไหน เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
/พวกเราเจอเขาในป่าแห่งหนึ่งไกลจากจุดที่ผลัดตกเมื่อเจ็ดปีก่อนไปประมาณสิบไมล์ เขายังมีชีวิตอยู่คร้บ/
“งั้นหรอ งั้นหรอ! นี่มันเยี่ยมไปเลย ผมจะไปรับลูก พรุ่งนี้ ไม่สิเย็นนี้เลย”
/เอ่อ เดี๋ยวก่อนเถอะครับ/
“?”
/ตามที่ได้รับแจ้ง คุณวาริน่าจะถูกเลี้ยงดูโดยหมาป่ามาค่อนข้างนาน ผมเกรงว่าเราน่าจะมีอะไรให้จัดการหลายอย่างก่อนที่จะพาตัวเขาไปส่งได้/
“อะ...อะไรนะ”
/เขาไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้เลย และจากการเฝ้าสังเกตการณ์ก่อนเข้าจับกุมเขาสามารถล่ากวางมูสพร้อมกับฝูงหมาป่าโดยปราศจากอาวุธ แถมยังใช้ฟันกัดและกินเนื้อดิบ/
ใจคนเป็นพ่อหล่นวูบทันที ลูกชายที่น่ารักถูกเลี้ยงโดยหมาป่างั้นเหรอ แถมยังกินเนื้อดิบอีกต่างหาก แบบนี้ยังจะใช่ ‘ลูกชาย’ ของเขาอยู่รึเปล่า?
/พวกคุณมาพบกับคุณวาริได้ แต่ผมคิดว่าเขาคงยังไม่พร้อมที่จะไปกับพวกคุณตอนนี้ อย่างน้อยต้องให้เขาได้เรียนรู้การเป็นมนุษย์เบื้องต้นก่อนเถอะครับ/
“ผม.. เข้าใจแล้วครับ”
สายถูกวางไปแล้ว ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งวูบโหวงและดีใจไปพร้อมๆ กัน ภรรยาของเขาคงจะอยู่ที่บ้าน ‘ราชันย์’ สะบัดสูทที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ขึ้นบนไหล่และตัดสินใจบึ่งรถกลับบ้านทันทีเพื่อให้คู่ชีวิตช่วยคิดวิเคราะห์กับความจริงที่ตีแสกหน้าว่าลูกของเราอาจจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
ชายวัยกลางคนยืนตากลมลมทะเลด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขามองเลยเส้นขอบฟ้าไปที่ไกลแสนไกลและหวังอย่างสุดซึ้งว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับลูกชาย ร่างกายใหญ่โตแต่มือที่ถือแก้วไวน์ใบบางกลับสั่นเทาเพราะความกลัว
“คุณ เขาไปนั่งพักข้างในเถอะ” ภรรยาเดินเข้ามาหาสามีอย่างเป็นห่วง เป็นเวลาหลายวันที่ทุ่มเงินเพื่อตามหา ‘วาริ’ ดวงใจเพียงหนึ่งเดียวที่เฝ้าถนอมแต่เขากลับพลัดตกลงไปในทะเลเพราะคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้ามาระหว่างพายุ และเด็กชายที่อายุเพียงห้าขวบก็ถูกมันโฉบฉวยลงไปแม้แต่ผู้เป็นพ่อที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ไม่อาจคว้าไว้ได้ทัน
“พวกเราไม่น่ามาที่นี่เลย...” เสียงทุ้มไม่อาจแสดงถึงความมั่นคงเลยสักนิด น้ำตาลูกผู้ชายหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาอย่างไม่อายใคร ถ้าหาก… ว่าเขาไม่ต้องมาทำธุระที่ประเทศนี้ ถ้าหาก… เขาไม่คิดว่าคงจะดีถ้าได้มาเที่ยวพร้อมกับครอบครัวที่นี่ ถ้าหาก ถ้าหาก ถ้าหาก…
“วาริจะต้องไม่เป็นไร โชคดีที่ตอนนี้เป็นหน้าร้อนและจุดที่ลูกพลัดตกก็ใกล้กับป่า” ฉับพลันดวงตาแข็งกร้าวก็ตวัดมองภรรยา เขากัดฟันกรอดและเค้นคำพูด
“โชคดีหรอ คุณพูดได้ยังไงว่าโชคดี เรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ!”
“!!”
เขาผินหน้ากลับทางเดิมอีกครั้ง และกระดกไวน์รสดีในแก้วจนหมด
“แล้วคุณ… ไม่คิดว่าฉันจะเสียใจบ้างหรืออย่างไร” ดวงตาแดงก่ำช้อนมองผู้เป็นที่รัก ทำให้คนที่อารมณ์ร้อนเมื่อครู่รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะลืมไปว่าที่ตรงนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งคนที่เป็นห่วงลูกไม่แพ้กัน
“ผม.. ขอโทษ”
“เข้าไปข้างในก่อนเถอะค่ะ คุณต้องกินอะไรซะบ้างก่อนจะกลายเป็นกระดูกตอนที่ลูกกลับมา”
เจ็ดปีต่อมา
ในที่สุดผลจากการใช้งบกระจายข่าวคนหายในประเทศแคนาดาไปหลายสิบล้านเป็นระยะเวลาหลายปี วันนี้พวกเขาก็ได้รับข่าวดีจากทางฝั่งโน้นแล้ว
/ผลสรุปว่าเราเจอลูกชายของคุณแล้ว เขาดูต่างไปจากเดิมมากแต่ถ้าเทียบกับปานและลักษณะต่างๆ ก็ตรงมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็น/
ผู้เป็นพ่อยิ้มออกมาอย่างดีใจ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยหมดหวังเลยที่จะทำงานหนักและทุ่มเงินเพื่อตามหาวาริ
“คะ… คุณเจอเขาที่ไหน เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
/พวกเราเจอเขาในป่าแห่งหนึ่งไกลจากจุดที่ผลัดตกเมื่อเจ็ดปีก่อนไปประมาณสิบไมล์ เขายังมีชีวิตอยู่คร้บ/
“งั้นหรอ งั้นหรอ! นี่มันเยี่ยมไปเลย ผมจะไปรับลูก พรุ่งนี้ ไม่สิเย็นนี้เลย”
/เอ่อ เดี๋ยวก่อนเถอะครับ/
“?”
/ตามที่ได้รับแจ้ง คุณวาริน่าจะถูกเลี้ยงดูโดยหมาป่ามาค่อนข้างนาน ผมเกรงว่าเราน่าจะมีอะไรให้จัดการหลายอย่างก่อนที่จะพาตัวเขาไปส่งได้/
“อะ...อะไรนะ”
/เขาไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้เลย และจากการเฝ้าสังเกตการณ์ก่อนเข้าจับกุมเขาสามารถล่ากวางมูสพร้อมกับฝูงหมาป่าโดยปราศจากอาวุธ แถมยังใช้ฟันกัดและกินเนื้อดิบ/
ใจคนเป็นพ่อหล่นวูบทันที ลูกชายที่น่ารักถูกเลี้ยงโดยหมาป่างั้นเหรอ แถมยังกินเนื้อดิบอีกต่างหาก แบบนี้ยังจะใช่ ‘ลูกชาย’ ของเขาอยู่รึเปล่า?
/พวกคุณมาพบกับคุณวาริได้ แต่ผมคิดว่าเขาคงยังไม่พร้อมที่จะไปกับพวกคุณตอนนี้ อย่างน้อยต้องให้เขาได้เรียนรู้การเป็นมนุษย์เบื้องต้นก่อนเถอะครับ/
“ผม.. เข้าใจแล้วครับ”
สายถูกวางไปแล้ว ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งวูบโหวงและดีใจไปพร้อมๆ กัน ภรรยาของเขาคงจะอยู่ที่บ้าน ‘ราชันย์’ สะบัดสูทที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ขึ้นบนไหล่และตัดสินใจบึ่งรถกลับบ้านทันทีเพื่อให้คู่ชีวิตช่วยคิดวิเคราะห์กับความจริงที่ตีแสกหน้าว่าลูกของเราอาจจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
+70 GRADE EXP.
ไอเทมเพิ่มหลอด Grade Exp. ตามปริมาณที่กำหนด เมื่อหลอด Grade Exp. เต็ม จะได้รับการเลื่อนระดับชั้นทันที
- wixritx
Wila Krung
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2
444
+25 M 47 K 668
PASSPORT
:
(650/750)
:
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Thu 14 Jun 2018, 18:35
- chapter 1:
- จันทร์เกิดในครอบครัวที่มีพ่อเป็นคนใต้ และแม่เป็นคนกลาง ครอบครัวของเธอถูกเหยียดหยามโดยครอบครัวทางฝั่งแม่มาตลอดตั้งแต่เธอจำความได้
" พ่อของแกน่ะ อาชีพก็ไม่แน่นอน เป็นคนใต้มาจากไหนก็ไม่รู้ ฉันละไม่เข้าใจจริงๆว่าแม่ของแกแต่งกับเขาไปได้ยังไง "
" พวกแกอ่ะนะ สักหน่อยก็คงล่มจม การงานก็ไม่แน่นอน ไม่มีถิ่นฐานปักหลัก คอยดูเถอะ "
" ไปให้ห่างๆเลยนะ ฉันไม่อยากได้น้องเขยเป็นคนใต้หน้าโจร และก็ไม่ได้อยากมีน้องสาวโง่แบบนี้ ออกไปเลย เอาลูกพวกแกไปด้วย "
จริงๆไม่ได้เป็นแบบนั้น ครอบครัวของจันทร์ ทำอาชีพประมงที่มั่นคง มีบ้านตั้งอยู่ติดทะเล รายได้แต่ละวันค่อนข้างดี และพ่อของเธอเป็นคนใต้ที่พูดภาษากลางชัดเจน และมีนิสัยที่ดี
พ่อ และแม่ของจันทร์ได้ยินคำพูดเชิงลบของญาติๆมาตลอด ตั้งแต่คบหา จนถึงมีจันทร์ พวกเขาไม่ได้แค่พูดหรอก ขัดขวางทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ต่างหาก
แต่ไม่ได้ผล พ่อแม่ของจันทร์ ไม่ได้สะทกสะท้านในสิ่งที่คนพวกนั้นพูดสักนิด เพราะมันไม่ใช่ความจริง จึงไม่คิดที่จะไปเยี่ยมญาติพวกนั้น ตั้งแต่จันทร์จบ ป.3 เพราะแค่ไม่อยากให้ลูกจดจำสิ่งที่ไม่ดีจากญาติพี่น้องของตัวเอง
ถึงอย่างนั้น เธอก็รู้ดีว่าครอบครัวตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน แต่ด้วยความที่เป็นเด็กที่ถูกสอนมาอย่างดี ทำให้จันทร์มีความคิดในเชิงบวกเกินคาด จันทร์ไม่รู้สึกเกลียดครอบครัวของแม่เธอ เธอขอแค่อยู่กับพ่อ และแม่ก็พอแล้ว
เรื่องราวข้างต้นก็แค่นี้ จนกระทั่ง2ปีที่แล้ว
ครอบครัวของจันทร์ไปเที่ยวกัน พวกเขาไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ที่ต้องเดินทางบนภูเขา มันจะดีมากที่การไปเที่ยวครั้งนี้มันดำเนินไปได้ด้วยดี แต่มันก็เกิดขึ้น
ด้วยความชันและแคบของถนน ทำให้รถของจันทร์ สวนผ่านสิบล้อไม่ได้อย่างที่คิด และแน่นอน ทำให้รถยนต์ตกลงเหวไป
ส่วนสิบล้อเจ้าปัญหาที่ขับพุ่งมาก็เหมือนจะหนีความผิดไป
เหตุการณ์นี้ทำให้รถที่ตกลงมา 14เมตร พังละเอียด กระจกแตกร้าว จุดที่พุ่งลงกับพื้นคือส่วนหน้า ซึ่งพังจนไม่เห็นโครงสร้างเดิม มีควันลอยออกมาจากอะไหล่ในรถเป็นจำนวนมาก
โชคดีที่คนในรถไม่เป็นอะไร เพราะพวกเขาใส่เข็มขัดตลอดเวลา หากแต่กำลังหมดสติจนไม่รู้ว่าอีกไม่นานรถกำลังจะระเบิด
" เฮ้! พวกคุณไหวกันมั้ยครับ "
" ออกมาเร็วเข้า อยู่นานรถอาจจะระเบิดได้นะ "
" ลงไปช่วยเขากัน จะลงไปยังไงเนี่ย "
คนที่ขับรถผ่านมาหลายคน ซึ่งอยู่บนถนนตะโกนถามอย่าเป็นห่วง และกำลังลงจากเหวเพื่อมาช่วย
พ่อของจันทร์เมื่อได้สติ ก็รีบหอบเอาภรรยา และลูก ออกจากรถโดยเร็ว สักพักรถก็ระเบิดตัวมันเองอย่างแรงจนเครื่องจักรรถกลายเป็นแค่เศษเล็กๆ พ่อของจันทร์ตกใจมาก ยังคงช็อคไม่หายว่าทำไมเรื่องต้องมาเกิดกับครอบครัวของเขา จนแม่ของจันทร์ที่เหมือนจะได้สติกรี๊ดออกมา
" ลูก!!! "
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ครอบครัวเล็กๆนี้ หวาดผวาเป็นอย่างมาก พวกเขาหวังแค่จะไปเที่ยวด้วยกันสาม พ่อ แม่ ลูก ก็เท่านั้น แต่ทำไม เรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับพวกเขาด้วย
จนปัจจุบัน รถสิบล้อคันนั่นยังคงไม่มีแม้แต่เงา คนพวกนั้นจะรู้มั้ย ว่าพวกเขาต้องทำให้ครอบครัวนี้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
" ลูกตาหลุดสินะครับ รู้หรือเปล่าครับว่าหลุดไปตอนไหน "
" ... "
" เอ่อ ขอโทษนะครับ ได้ยินมั้ยครับ "
" ครับๆ เอ่อ ไม่สังเกตเลยครับ "
พ่อของจันทร์พูดด้วยเสียงอ้ำๆอึงๆ ก่อนจะคุยธุระกับหมอ แล้วเดินออกมาหยุดที่ห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง
" อ้าวคุณ.. มาแล้วหรอ "
" ... "
แปลกดีที่อุบัติเหตุรุนแรงขนาดนี้ แต่กับไม่ทำให้สามี และภรรยาคู่นี้บาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่น้อย แต่มันกับส่งผลแค่คนเดียว
นั่นคือ จันทร์
ร่างของเด็กสาวนอนแน่นิ่ง มีสายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มแขนเธอไปหมด ตาข้างซ้ายถูกผ้าพันแผลเอาไว้อย่างหนา
หมอบอกกับพ่อก็เธอว่า เธอถูกแรงกระแทก แรงเกินไปสำหลับ เด็กร่างบาง และถูกเหวี่ยงแรงจนหมอสันนิษฐานว่า ลูกตาของเธอหลุดไปอีกข้างก็ตอนนั้น
เส้นประสาทตรงไขสันหลังของเธอมีปัญหาอย่างรุนแรง จนไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก ทำให้หมอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น
' คือ..เธออาจเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่ขานะครับ ซึ่งแทบไม่มีโอกาสหายเลย ส่วนตา ผมคืดว่าเธอควรจะใส่ตาเทียมครับ ถ้าคุณพ่อคิดอย่างไรก็ปรึกษากันได้ ผมต้องของตัว... '
ผู้เป็นพ่อ มองดูร่างบางที่นอนนิ่งเหมือนไม่มีชีวิต ด้วยสายตาอาลัย อาวร โดยมีแม่ที่ยืนกอด ปลอบประโลม น้ำตาของทั้งสองไหลอาบแก้ม
" คนที่ควรจะโดนต้องเป็นผม... "
" ฮึก ลูกแม่.. สงสารเหลือเกิน "
หลายวันต่อมาเด็กสาวเริ่มรู้สึกตัว เธอตื่นขึ้นมาโดยเธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้เป็นพ่อและ แม่รีบเข้าไปกอดลูกของพวกเขา เด็กสาวเริ่มเรียบเรียงเหตุการณ์ได้ เธอปล่อยโฮออกมา พวกเขากอดกันร้องไห้ ท่ามกลางหมอ และพยาบาลที่เข้ามา
เด็กสาวกลายเป็นคนพิการ
ชีวิตเธอไม่รู้จะไปต่อยังไง
จากที่ปัญหาต่างๆ ไม่สามารถทำให้รอยยิ้มของเธอหายไป
แต่ครั้งนี้มันเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
เธอจะทำยังไงกับชีวิตนี้ดี...
- Chapter 2:
- จนปัจจุบัน
เธอไม่ได้เรียนต่อชั้นประถมปลาย ได้แต่นอนทรมานอยู่ที่บ้าน
จากที่เธอไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว ยิ่งแล้วใหญ่
เพื่อนที่สนิท ก็ไม่แม้จะมาเยี่ยม หรือไม่ก็แยกย้ายกันหมดแล้ว
ดวงตาสีอำพัน มองบอกไปนอกหน้าต่าง ตาปลอมอีกข้างที่เป็นสีดำสนิทถูกพันปิดไว้มิดชิด สายตาที่เหล่มองไปทั่วทุกที่ด้วยความรู้สึกเดิมๆ
ชีวิตช่างน่าเบื่อ
เธออยากจะไปโรงเรียน ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป
หนังสือเรียนที่ซื้อมา ทุกๆอย่าง เธอก็อ่านมันอยู่ที่บ้าน ทำแบบเดิม เหมือนเดิมซ้ำๆ
จะว่าไป เธอยังไม่ได้ต่อโรงเรียนมัธยมที่ไหนเลยนี้นา
เรียนก็ไม่จบ ป.4 จะได้เรียนต่อหรอ
" แม่ขา หนูยังไม่ได้ไปต่อโรงเรียนที่ไหนเลยนะ " เธอหันไปพูดกับแม่ ที่กำลังนั่งถักไหมพรมอยู่ข้างๆ
" หนูไม่สบายนี้นายังคงไปไม่.. "
" หนูรู้ว่าหนูพิการ รักษาไม่หายด้วย "
" .... "
" แต่หนูอยากเรียนหนังสือต่อนะคะ "
" แต่หนูจะไปเรียนยังไงละ "
" .... "
ในหัวของเธอกำลังใช้ความคิด
เธอไม่เคยยอมแพ้ หรือกลัวกับอุปสรรค์ต่างๆเลย ขนาดเหตุการณ์ปางตายเธอก็ผ่านมาแล้ว
จะทำยังไงดี ถึงจะได้ไปเรียน
เรื่องหอบสังขารที่ไม่สมบูรณ์นี้ไปเรียน มันไม่มีปัญหาสำหลับเธอ
แต่หากเธอเป็นตัวประหลาด ที่ถูกคนร่างกายปกติมอง ก็จะดูไม่สบายใจนัก
เธอคิดไปมาหลายรอบ
ถ้าอยู่ในที่ๆเหมือนกัน ก็จะไม่ถูกมองสินะ เธอคิดแบบนั้น
" คุณๆ พี่มะลิมาเยี่ยมน่ะ "
ผู้เป็นพ่อ เปิดม่านออกมา พร้อมกับร่างหญิงสาววัยกลาง และเด็กชายร่างสูงเดินเข้ามา
" อ้าว สวัสดีค่ะ พี่มะลิ หนูแม็ซ อยู่ไกลกันไม่เห็นต้องมาเยี่ยมเลย "
" ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่หนูจันทร์เป็นยังไงบ้าง เหตุการณ์ตอนนั้นน่ากลัวมากเลย "
" สวัสดีค่ะ ไม่เป็นไรมากแล้วค่ะ ใจก็ยังหวิวๆหน่อย "
" แล้วนี้การงานเป็นยังไงกันบ้าง "
" ก็ยังพักอยู่ค่ะ เดินออกมาข้างนอกก็ยังกลัวกันอยู่เลย "
" โชคดีกันมากเลยที่ไม่เป็นอะไรกัน ป้าเห็นในข่าวละหัวใจวายเลย เนี่ยหาเวลาหยุดร้านเลยพาแม็ซมาเยี่ยมด้วย "
" หนูแม็ซโตขึ้นเยอะเลย สบายดีนะจ้ะ "
' ยิ้ม '
" เอ จะว่าไป มันก็นะเปิดเทอมแล้วนิ หนูจันทร์ไปเรียนต่อที่ไหนหรอ " ผู้เป็นป้าเริ่มถามขึ้น
" ยังไม่มีที่เรียนเลยจ้ะพี่ ยิ่งจันทร์มาเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้จะให้ไปเรียนที่ไหน กลัวลำบาก "
" โรงเรียนพิการหนูว่าก็ดีนะคะ " อยู่ๆเด็กสาวก็พูดแทรกขึ้นมา แววตาเธอเป็นประกาย เธอคิดว่าโรงเรียนพิการ เป็นสิ่งที่แปลก สังคมที่นั้นจะเป็นยังไง อย่างน้อยก็คงไม่มีคำดูถูกใดๆละนะ
" ไม่เอาน่าลูก โรงเรียนพิการน่ากลัวนะ คนป่วย คนบ้ารุนแรงก็มีเยอะ "
' ปัดมือไปมา ' เด็กชายตัวสูงที่นั่งอยู่เงียบๆ เริ่มแสดงท่าทางออกมา สองแม่ลูกไม่ค่อยเข้าใจที่เขาสื่อเท่าไหร่ จนมะลิอธิบายออกมา
" ถ้าโรงเรียนพิการหรอ มีที่หนึ่งที่ป้ารู้จักนะ แต่ไม่รู้ว่าหนูจันทร์จะสนใจหรือเปล่า "
" คะ? " เด็กสาวตาเป็นประกายอีกรอบ
.
.
.
.
.
จากวันนั้นจนถึงตอนนี้ จันทร์ก็มายืนอยู่โรงเรียนที่ว่านี้ พร้อมกับชุดเครื่องแบบซะแล้ว
+90 GRADE EXP.
ไอเทมเพิ่มหลอด Grade Exp. ตามปริมาณที่กำหนด เมื่อหลอด Grade Exp. เต็ม จะได้รับการเลื่อนระดับชั้นทันที
- mu_oiy
Arpakorn Singhasun
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2
790
+36 M 977 K 955
PASSPORT
:
(800/1000)
:
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Thu 14 Jun 2018, 18:45
- Chapter 1:
- "แกมันไม่น่าเกิดมาเลย! แกมันตัวปัญหา! ถ้าไม่มีแกชีวิตฉันคงสบายกว่านี้แล้ว!!!"
เสียงตะเบ็งจากชายร่างสูงทำให้เด็กชายตัวเล็กที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นถึงกันสั่นสะท้านขึ้นมาด้วยความกลัวจากส่วนลึกของหัวใจ
เขาพยายามปัดป้องการโจมตีจากผู้เป็นบิดาของเขาเองโดยสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ โดยที่ไม่เคยได้รู้เลยว่าเขาทำอะไรผิด เขาทำได้เพียงแต่พยายามหลบเลี่ยงการเจอหน้าผู้เป็นพ่อแท้ๆของเขาเอง
“ค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าของใช้ ทำไมไม่หาเองวะ!ไปบอกแม่แกด้วยนะว่าอย่ามาขอเงินฉัน ฉันไม่เคยยอมรับแกเป็นลูกเลย!! แม่แกน่ะแค่อยากได้เงินจนถึงกับต้องเอาแกมาผูกมัดฉันไว้ ทำไมชีวิตฉันต้องมาจบสิ้นเพราะเด็กโง่ๆแบบแกด้วยวะ”
ผั๊วะ
“พ่อครับ ผมขอโทษ อึก!ขอโทษครับ มันเจ็บ ยอมแล้ว ผมยอมแล้ว ฮึก..ฮึก”
สองมือเล็กๆพนมมือขึ้นไหว้เพื่อขอความเห็นใจพร้อมกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าเด็กคนหนึ่งจะรับไหว แต่ก็ไม่อาจทำให้ผู้เป็นพ่อเห็นใจหรือสงสารได้เลย มีเพียงความเกลียดชังที่เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณในทุกๆวัน
‘หึ..น้ำตาจอมปลอม’
น้ำตามากมายหลั่งไหลลงมาเหมือนความรู้สึกที่ไม่อาจเอ่ยถามออกไปได้ว่าเหตุใดชีวิตจึงเป็นเช่นนี้ เขาก็เกิดมาเหมือนเด็กคนอื่น ตั้งใจเรียนเพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจที่มีลูกอย่างเขา แต่มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยชื่นชมให้กำลังใจเสมอมา
‘ทำไมครับพ่อ ผมทำอะไรผิด?’
‘แม่ครับ ผมเจ็บ..ผมกลัวเหลือเกิน ช่วยผมที’
สายตาเจ็บปวดของเด็กชายช่างไร้ค่าเมื่ออยู่ตรงหน้าผู้เป็นพ่อ แต่สำหรับแม่ที่เลี้ยงดูเองมากับมือจนเติบใหญ่นั้นมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน
“คุณ!! หยุดนะ อย่าตีลูก ฮือออ ฉันขอละ อย่าทำเขาเลย”
“แกมาก็ดี อยากโดนแทนมันนักใช่ไหม ได้!!”
เพี๊ยะ ตุบ ตับ
หญิงผู้เป็นแม่ถลาเข้ามาปกป้องลูกตนเองจากการถูกทำร้าย กายเจ็บ แต่ใจเจ็บยิ่งกว่าเมื่อภาพเด็กชายตัวน้อยกำลังตัวสั่นหวาดกลัวและแววตาอ้อนวอนขอความเห็นใจมันติดตรึงอยู่ในใจของของเธอ ทั้งๆที่เธอคอยประคบประหงมหัวใจน้อยๆของเด็กชายมาอย่างดีตลอด แต่กลับต้องมาแตกละเอียดเพราะพ่อผู้ไม่เคยใยดีเลยแม้แต่วินาทีเดียว ความรักของเขานั้นไม่เคยแบ่งปันมาให้คนในครอบครัวแม้แต่นิด เขาทุ่มเทให้กับการพนัน สุรา และสิ่งเสพติดเท่านั้น
“ฮือออ..ฉันยอมแล้ว อย่าทำอะไรฉันกับลูกเลยนะ ให้ฉันทำ..อึก..อะไรก็ได้ แต่อย่าทำลูกเลย”
“ออกไปจากที่นี่ซะ! แล้วก็เอามันออกไปด้วย อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าแกหรือมันอีก! ไม่งั้นฉันไม่ไว้แกแน่!!”
“แล้วฉันกับลูกจะไปอยู่ที่ไหน ฉันไม่มีอะไรเหลือเลย ฮึก ฉันให้คุณไปหมดทุกอย่างแล้ว ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้วว ฮือออ”
“นั้นมันเรื่องของแก!! ฉันลำบากกับพวกแกมาเกินพอแล้ว ออกไปจากชีวิตฉันสักที”
"คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!! ฮึก คุณไม่เคยเห็นความรักของฉันเลยหรือ"
"ความรักบ้าบออะไรของแก แกก็แค่อยากตัดอนาคตฉันเท่านั้นแหละ ถ้าแกรักฉันจริง แกคงเอามันออก
ตั้งแต่รู้ว่ามันอยู่ในท้องแกแล้ว!!"
ความคิดภายในหัวเธอตื้อไปหมด ก้อนเนื้อในอกเต้นเบาจนเจ็บ จังหวะการหายใจขาดห้วง สมองประมวณผลความเจ็บปวดแทบไม่ได้
นี่น่ะหรือ...คือความรู้สึกจริงๆของผู้ชายที่เธอรักมาตลอด?
นี่น่ะหรือ...ชายที่เธอเลือกให้เป็นคู่ชีวิต?
ชายคนนี้...จริงๆน่ะหรือ?
ความรู้สึกมากมายไหลเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่งาม ไม่มีอีกแล้วแววตาที่เว้าวอนขอความรักจากเขา
ไม่มีอีกแล้วความรู้สึกดีๆที่เคยมีมาตลอด อดทนเพื่อลูกมาตลอด
พอกันที
ฆ่ากันให้ตายเลยยังจะดีกว่า ถ้าได้มารู้ความรู้สึกแย่ๆของเขาที่มีให้เราขนาดนี้ ทั้งๆที่ให้ได้ทุกอย่าง..ทำให้ทุกอย่าง เพียงแค่หวังให้เขาเห็นความรักอันจริงใจของผู่หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งบ้างก็แค่นั้น เพียงแค่นั้นเอง...
"คุณคิดแบบนี้มาตลอดเลย..จริงเหรอ?"
"ใครบ้างไม่คิดวะ ชีวิตฉันกำลังดี แต่แกก็กลับมาทำมันพังเพราะไอ้เด็กนั้นคนเดียว!"
ชีวิตกำลังดี? เสเพลกับผู้หญิงคนอื่นทั้งๆที่มีเธออยู่แล้วน่ะหรือ?
เธอคงผิดเองที่คิดว่าความรักของเธอจะทำให้เขาหยุดที่เธอ หันมาใส่ใจลูกที่เกิดจากความรักของเขาและเธอบ้าง
พอแล้ว เธอเหนื่อยกับเขามามากพอ เธอจะไม่ยอมเสียความรู้สึกให้เขาอีกแล้ว เธอจะพาลูกเธอออกไปจากนรกดีๆนี่ เธอจะพาเด็กชาย ‘อาภากร’ ออกไป..
3 เดือนผ่านไป..
ชีวิตของเด็กชายอาภากรกลับมาสงบสุขแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้ไปเรียนหนังสือทุกวัน.. พอมีเพื่อนอยู่บ้าง แต่ก็โดนแกล้งมาบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กน้อยในสมัยนี้
ช่างเป็นชีวิตที่เรียบง่าย ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่ได้ถึงกับแย่ เพราะยังมีแม่อยู่ทั้งคน อะไรจะดีได้เท่าการได้อยู่กับคนที่รักเรา
แต่เพียงพริบตาความสุขก็พังทลายลง เมื่อภากรกำลังเดินเข้าบ้านหลังจากโรงเรียนเลิก ได้เห็นชายที่ไม่ได้เจอหน้ามาตลอด3เดือนได้กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
ชายคนนั้นทุบตีแม่ของเขาอย่างทารุณ
ท่ามกลางเสียงโหยหวนของแม่ที่ถูกทุบตีทำให้เขาได้สติรีบไปกระชากพ่อออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทั้งโกรธ ทั้งหวาดกลัว
‘จะกลับมาทำร้ายกันอีกทำไม’
“แกไอ้เด็กเมื่อวานซืน! บอกให้แม่แกเอาเงินมาเดี๋ยวนี้!จะเอาเงินไปเรียนทำไมวะ โง่ๆอย่างแกเรียนไปก็เปล่าประโยชน์!”
“พ่อจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ มันเป็นเงินที่แม่หามา ฮืออ อย่าทำแม่!”
“ฉันไม่ใช่พ่อแก!!”
“ปล่อยภากรนะ อย่าทำลูกฉัน!”
“อย่ามาแตะ!!”
ผลั่ก
ร่างของหญิงสาวโดนผลักไปตามแรงของชายที่เคยเป็นคนรัก ทำให้เธอไม่ทันได้ตั้งตัวเซถลาไปทางเหลี่ยมชั้นวางของทำมาจากแก้วใส
เพล้ง
เศษแก้วแตกระเนระนาดไปตามพื้นพร้อมกับเลือดที่ค่อยๆไหลซึมเปรอะเปื้อนออกมา
แทบจะทุกส่วนของร่างกายโดนแก้วบาดลึกเข้าไปในผิวหนัง แม้กระทั่งจุดที่มีหลอดอาหารและหลอดลมอยู่..
เสียงแก้วยังคงสะท้อนอยู่ในสมองของภากร ภาพทุกอย่างเดินช้าราวกับต้องการตอกย้ำความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
‘เมื่อไหร่จะเลิกพรากความสุขไปจากเขาเสียที’
วี๊ หว่อ วี๊ หว่อ
สัญญาญของรถตำรวจดังขึ้นพร้อมกับตำรวจจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาจับกุมตัวชายที่เพิ่งก่ออาชญากรรม เขาโวยวายดังลั่น โบ้ยความผิดให้หญิงสาวที่นอนจมกองเลือดของตนเองอยู่บนพื้นพร้อมกับเศษแก้วมากมายที่ปักตามตัว
เธอถูกยกขึ้นรถเข็นอย่างเบามือและพาขึ้นรถฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาพร้อมกับลูกชายที่นั่งนิ่งเหมือนยังคงช็อกจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา
ภากรนั่งรออยู่หน้าห้องรอผลตรวจจากหมอด้วยใจที่สั่นระรัว อีกทั้งยังหวาดระแวงว่าพ่อจะตามมาทำร้ายเขาและแม่ที่นี่ต่อหรือไม่ เขาสอดส่ายสายตาไปทั่วทุกทางที่มีผู้คนเดินไปมา ไม่สามารถบังคับอาการตื่นตระหนกได้เลย
“หนูใช่ภากรหรือป่าว?”
- Chapter 2:
- “หนูใช่ภากรหรือป่าว?”
เฮือก!
หญิงวัยกลางคนถามเขาขึ้นมาทำให้เขาสะดุ้งออกจากห้วงพวังของตนเอง
“ใช่ครับ…?”
หมับ
หญิงวัยกลางคนโผลเข้ากอดภากร และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“โถ่...หลานตัวน้อยของป้า ต้องมาเจออะไรบ้างนี่ ป้าเห็นใจหนูเหลือเกินลูก”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหญิงที่กำลังกอดเธอนั้นเป็นใคร แต่รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยจากเธอแล้วก็ทำให้เขาน้ำตารื้นขึ้นมา รู้สึกชื้นใจขึ้นมาเมื่อได้รับอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
‘ปลอดภัย...อบอุ่นเหลือเกิน’
“หนูไปอยู่กับป้านะ ทุกคนเป็นห่วงเธอกับแม่มาก แต่แม่เธอไม่อยากรบกวนที่บ้าน พวกเราเลยไม่ได้ยุ่งอะไรด้วยเลย เพิ่งจะมารู้ข่าวว่าโดนทำร้าย”
ภากรอ้ำอึ้งกับคำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกมา เขาไม่เคยรู้เลยว่ายังมีคนอื่นอีกที่รู้จักเขานอกจากแม่ นึกว่าชีวิตนี้จะไม่เหลือใครแล้วเสียอีก
แกร๊ก
“ใครคือญาติคนไข้ครับ”
“ฉันเองค่ะคุณหมอ”
“ตอนนี้คนไข้ยังไม่ได้สตินะครับ คงต้องรอดูไปอีกซักพัก เพราะคนไข้เสียเลือดมาก ร่ายกายบอบช้ำและสภาพจิตใจอยู่ในขั้นย่ำแย่”
“แล้วอีกนานมากแค่ไหนคะกว่าที่เธอจะฟื้น?”
“ต้องเผื่อใจไว้บ้างนะครับ หมอก็ไม่ทราบได้ หมอขอตัวก่อนนะครับ”
เมื่อได้ฟังความจากหมอแล้ว โลกทั้งใบของภากรก็พังครืดลงไม่เป็นท่า เหลือแต่เพียงความมืดมิดที่ไม่มีทางออก
‘พ่อเอาทุกอย่างไปจากผมแล้วจริงๆ’
รู้สึกไม่มีความหมายในการใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไป พยายามเท่าไหร่ก็ไร้ความหมาย พยายามรักษาไว้ทุกอย่างแล้วจริงๆ..
‘ฉันจะฆ่ามัน ฮ่าๆๆๆ แกก็ด้วย อย่าคิดว่าแกจะรอดไปจากฉัน!!’
หัวใจของภากรกระตุกวูบเมื่อเห็นพ่อยืนอยู่ตรงประตูห้องพักคนป่วยของแม่ พร้อมกับประกาศกร้าวหมายจะเอาชีวิตแม่ของเขาอีกคราแล้วเดินเข้าไปข้างในห้องพร้อมกับรอยยิ้มชวนสยอง
“พ่อ! อย่านะ ไม่!!”
ภากรรีบวิ่งตรงไปยังห้องพัก ผลักประตูเข้าไปอย่างแรงด้วยความกลัวทั้งหมดที่มี
แต่แล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า…
‘อะไร..?’
ภากรรู้สึกสับสนอย่างมาก สมองตีกันรวนไปหมดว่าสิ่งที่เขาเห็นคืออะไร
‘ไอ้เด็กโง่….ฮ่าๆๆๆ!’
ภากรสะดุ้งโหยง และมองไปทั่วทุกมุมห้องแต่ก็ไม่พบใครนอกจากแม่ที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
หมอเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้องพร้อมกับคุณป้าของภากร
“ผมเห็นพ่อ..หมายถึงคนที่ทำร้ายแม่ของผมเข้ามาในนี้..”
“...”
หมอและป้าของเขานิ่งเงียบไปจนทำให้ภากรร้อนรนใจว่าพ่อเขาอาจจะอยู่ในนี้จริง แต่หมอก็พูดขึ้น
“ช่วยมากับหมอหน่อยนะครับ”
ภากรเดินออกมากับหมออย่างหวาดระแวง มองไปยังทุกที่อย่างไร้จุดหมาย ไม่สามารถหยุดความหวาดกลัวในใจได้
หมอพาเขามาดูกล้องวงจรปิดในห้องพักของแม่
ภากรเห็นภาพทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้อง ทุกการกระทำของเขาจนหมอเข้ามา...แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาพ่อของเขาเอง
“คุณอาจจะอยู่ในอาการตื่นกลัวอยู่จนเห็นภาพหลอนนะครับ แต่สักพักก็อาจจะหาย หลังจากนี้ก็ช่วยมาพบตามที่หมอนัดด้วยนะครับ เผื่อเป็นอะไรจะได้รักษาได้ทันนะครับ หมอของตัวก่อน”
“อ่า...ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
เขาได้แต่เก็บความกังวลไว้ในใจแล้วเดินกลับมาที่ห้องพักของแม่
‘เราคงกังวลเกินไปสินะ..’
ครืดดด
ภากรเปิดประตูเข้าไปก็พบป้าของเขากำลังนั่งมองแม่ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาเป็นกังวล
“ป้าครับ”
“อ้ะ..ภากร เป็นอย่างไรบ้าง ต่อจากนี้หนูไปอยู่กัป้านะ ป้าจะดูแลหนูแทนแม่จนกว่าแม่จะฟื้นเอง”
คุณป้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสดงความจริงใจและความรัก ทำไมเขาไม่เจอกับป้าที่ใจดีให้ไวกว่านี้กันนะ
ผ่านไปเป็นเดือนหลังจากภากรย้ายมาอยู่กับป้า เขาก็คอยมาเยี่ยมแม่ทุกๆวัน มาอ่านหนังสือให้ฟัง เล่าเรื่องในแต่ละวันว่าเป็นอย่างไร ป้าของเขาใจดีมากเหลือเกิน เขาจะตอบแทนได้อย่างไรดี
เขากุมมือแม่ขึ้นมาแนบกับแก้ม มันไม่อุ่นเหมือนเดิมแล้ว.. ความเศร้าเข้าเกาะกุมจิตใจ
‘ผมจะทำอย่างไรดีกับพรุ้งนี้ที่ไม่มีแม่?’
ภากรปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาแทนคำพูดที่ยากเกินกว่าจะเอ่ยออกมา
มันหนักไปหมดทั้งหัวใจเมื่อคิดถึงวันที่โลกนี้ไม่มีแม่แล้ว..
‘ฮ่าๆๆแกมันเด็กไร้ยางอาย!!แม่แกเป็นแบบนี้เพราะแก ยังจะกล้ามาที่นี่อีกงั้นเหรอ?!’
เสียงดังเข้ามาในโสตประสาท
ใช่..เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่พ่อโดนจับกุมตัว เขามาหาหมอตามที่นัดเสมอ มันเกิดขึ้นกับเขาแล้ว..สิ่งที่เขาไม่คิดว่าเขากำลังเป็น..
โรคกลัวเสียงดัง(Acousticophobia)
และที่เลวร้ายกว่านั้น
โรคประสาทหลอน (Hallucination)
มันแย่กว่าที่เขาคิด เขาทนทุกข์ทรมาณจากเสียงและภาพหลอนของพ่อที่เขาเห็นมาตลอดตั้งแต่ได้รู้เรื่องอาการของเขา มันรุนแรงมากจนเขาควบคุมตัวเองไม่ได้
แทบบ้า
จนไม่นานมานี้ป้าซื้อกีต้าร์ให้เขา เพราะป้าต้องออกไปทำงานจึงไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเขา เขาฝึกเล่นกีต้าร์บ่อยๆจนทำให้รู้ว่าตลอดเวลาที่เล่นกีต้าร์เขาจะไม่เห็นภาพหลอนเลย และเขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาชอบเสียงเพลง..นุ่มนวล
ภากรนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะตั้งสติได้ใช้มืออันสั่นเทาหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ แล้วหลับตาลง
‘อย่ามายุ่งกับผม..’
ไม่กี่วันมานี้ เขาเริ่มหาโรงเรียนที่ทำให้เขาสามารถเรียนได้อย่างปกติสุขเหมือนกับคนอื่น เพื่อที่เรียนจบมาแล้วเขาจะได้หาเงินมาเลี้ยงดูแม่
Quaint School
‘แม่รอผมก่อนนะ..’
เขาจับมือแม่ที่เริ่มผอมลงมาแนบแก้ม มองใบหน้าซีดเซียวด้วยแววตามุ่งมั่น
‘..รอวันที่ผมจะทำให้มือแม่กลับมาอบอุ่นอีกครั้ง’
+80 GRADE EXP.
ไอเทมเพิ่มหลอด Grade Exp. ตามปริมาณที่กำหนด เมื่อหลอด Grade Exp. เต็ม จะได้รับการเลื่อนระดับชั้นทันที
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Thu 05 Jul 2018, 13:14
ย้อนรอยไออุ่น
ไออุ่นเป็นเด็กที่ร่าเริงตามปกติของเด็กชายวัยซุกซนทั่วๆ ไป ที่บ้านมีฐานะปานกลาง มีบ้านเดี่ยวหลังเล็กอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรค์แห่งหนึ่ง ด้วยความที่เป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นในวัย 4 ขวบ เด็กชายไออุ่นก็ออกไปวิ่งเล่นที่หน้าบ้านโดยไร้สายตาของผู้ใหญ่คอยมอง แม้จะเพียงชั่วไม่กี่สิบวินาทีที่แม่ของเขาได้ละสายตาไป แต่ก็เหมือนจะเป็นชั่ววินาทีที่เกือบจะพรากชีวิตของเขา
ด้วยความประมาทของผู้ใช้รถที่ขับเร็วในเขตหมู่บ้าน ทั้งการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของเด็กชายตัวน้อย ทำให้ไออุ่นถูกรถชนจนร่างกระเด็นและตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เด็กชายไม่ได้ตายในทันที แต่หากทีมแพทย์ไม่ได้ช่วยยื้อชีวิตไว้ ก็คงไม่มีไออุ่นอย่างวันนี้
ทางครอบครัวได้พยายามฟ้องร้องเอาค่าเสียหายชดเชยและพยายามเอาผิดกับผู้ที่ขับรถชน แม้เงินที่ได้มาจะมากกว่า 1 ล้านบาท แต่เงินที่ได้มาก็ไม่ได้ช่วยให้ไออุ่นกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เด็กชายมีภาวะตาบอดเหตุจากสมอง
เขาไม่สามารถมองเห็นเฉกเช่นคนทั่วไปได้อีกแล้ว แต่เพราะยังเดียงสาเกินกว่าจะร้องไห้เสียใจที่สูญเสียการมองเห็น เขาจึงเข้าใจมาตลอดแค่ว่า...พระอาทิตย์ดับแล้ว ไออุ่นไม่สามารถไปโรงเรียนประถมได้อย่างเด็กปกติทั่วไป ต้องได้รับการดูแลพิเศษในทุกๆ ทาง ครอบครัวสูญเงินไปมากเพื่อการรักษา แต่ก็ไม่อาจดึงเอาการมองเห็นกลับมาได้ บาดแผลขนาดใหญ่ที่ขมับยังคงหลงเหลือมาจนทุกวันนี้ แต่ถึงจะสูญเงินไปมากเท่าไหร่ พ่อและแม่ของไออุ่นก็หาได้ยีหระ พวกเขาเข้าใจและช่วยเหลือให้ไออุ่นได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คงเพราะอยู่ด้วยสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่อบอุ่น แม้พระอาทิตย์จะดับ แต่ไออุ่นก็ยังคงเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส ยังคงอยากรู้อยากเห็นเช่นเดิม แม้การเดินเหินจะไม่สะดวกเท่าไหร่นักก็ตาม
พ่อและแม่พยายามเฟ้นหาโรงเรียนสำหรับผู้พิการที่ 'ดีที่สุด' เพื่อให้เด็กชายได้เติบโตอย่างมีคุณภาพและมั่นใจว่าจะไม่ถูกใครก็ตามกลั่นแกล้ง จึงค้นพบโรงเรียนที่อยู่เพชรบุรีที่ชื่อว่า 'ควิ้นท์' และได้ส่งเขาเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
ไออุ่นเป็นเด็กที่ร่าเริงตามปกติของเด็กชายวัยซุกซนทั่วๆ ไป ที่บ้านมีฐานะปานกลาง มีบ้านเดี่ยวหลังเล็กอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรค์แห่งหนึ่ง ด้วยความที่เป็นเด็กอยากรู้อยากเห็นในวัย 4 ขวบ เด็กชายไออุ่นก็ออกไปวิ่งเล่นที่หน้าบ้านโดยไร้สายตาของผู้ใหญ่คอยมอง แม้จะเพียงชั่วไม่กี่สิบวินาทีที่แม่ของเขาได้ละสายตาไป แต่ก็เหมือนจะเป็นชั่ววินาทีที่เกือบจะพรากชีวิตของเขา
ด้วยความประมาทของผู้ใช้รถที่ขับเร็วในเขตหมู่บ้าน ทั้งการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของเด็กชายตัวน้อย ทำให้ไออุ่นถูกรถชนจนร่างกระเด็นและตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เด็กชายไม่ได้ตายในทันที แต่หากทีมแพทย์ไม่ได้ช่วยยื้อชีวิตไว้ ก็คงไม่มีไออุ่นอย่างวันนี้
ทางครอบครัวได้พยายามฟ้องร้องเอาค่าเสียหายชดเชยและพยายามเอาผิดกับผู้ที่ขับรถชน แม้เงินที่ได้มาจะมากกว่า 1 ล้านบาท แต่เงินที่ได้มาก็ไม่ได้ช่วยให้ไออุ่นกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เด็กชายมีภาวะตาบอดเหตุจากสมอง
เขาไม่สามารถมองเห็นเฉกเช่นคนทั่วไปได้อีกแล้ว แต่เพราะยังเดียงสาเกินกว่าจะร้องไห้เสียใจที่สูญเสียการมองเห็น เขาจึงเข้าใจมาตลอดแค่ว่า...พระอาทิตย์ดับแล้ว ไออุ่นไม่สามารถไปโรงเรียนประถมได้อย่างเด็กปกติทั่วไป ต้องได้รับการดูแลพิเศษในทุกๆ ทาง ครอบครัวสูญเงินไปมากเพื่อการรักษา แต่ก็ไม่อาจดึงเอาการมองเห็นกลับมาได้ บาดแผลขนาดใหญ่ที่ขมับยังคงหลงเหลือมาจนทุกวันนี้ แต่ถึงจะสูญเงินไปมากเท่าไหร่ พ่อและแม่ของไออุ่นก็หาได้ยีหระ พวกเขาเข้าใจและช่วยเหลือให้ไออุ่นได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข คงเพราะอยู่ด้วยสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่อบอุ่น แม้พระอาทิตย์จะดับ แต่ไออุ่นก็ยังคงเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส ยังคงอยากรู้อยากเห็นเช่นเดิม แม้การเดินเหินจะไม่สะดวกเท่าไหร่นักก็ตาม
พ่อและแม่พยายามเฟ้นหาโรงเรียนสำหรับผู้พิการที่ 'ดีที่สุด' เพื่อให้เด็กชายได้เติบโตอย่างมีคุณภาพและมั่นใจว่าจะไม่ถูกใครก็ตามกลั่นแกล้ง จึงค้นพบโรงเรียนที่อยู่เพชรบุรีที่ชื่อว่า 'ควิ้นท์' และได้ส่งเขาเข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้
+85 GRADE EXP.
ไอเทมเพิ่มหลอด Grade Exp. ตามปริมาณที่กำหนด เมื่อหลอด Grade Exp. เต็ม จะได้รับการเลื่อนระดับชั้นทันที
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Mon 22 Apr 2019, 19:57
ในความทรงจำของฉันครั้งนึง
ครั้งนึงฉันมีครอบครัว......ครั้งนึงฉันมีพ่อแม่
ครั้งนึงฉันมีทุกอย่าง......ครั้งนึงฉันเคยเป็นเด็กร่าเริง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างได้พังทลายลง พ่อแม่ของฉันถูกฆ่า ต่อหน้าต่อตา เลือด สีแดงฉานของพ่อแม่ได้กระเด็นใส่หน้าฉัน ภาพที่เต็มไปด้วยเลือดของพ่อแม่ ฉันเสียใจฉันสูญเสียทุกสิ่งอย่าง จากที่ฉันเคยเป็นเด็กร่าเริงฉันไม่รู้ว่าทำไมตัวของเราถึงได้นิ่งเฉย ฉันโดดเดียว ฉันไม่มีพ่อแม่ และเพื่อน ฉันเป็นโรคซึมเศร้า ฉันเคยคิดว่าจะอยู่ไปทำไม ฉันคิดว่าฉันสูญเสียทุกอย่าง ฉันคิดว่าฉันไม่เหลือใครแล้ว แต่มีผู้ชายคนนึงรับฉันไปดูแลเป็นผู้ชาย อายุห่างกับฉัน4ปี เขาเป็นพี่บุญธรรมของฉัน พี่จะพาฉันไปโรงเรียนแห่งนึง โรงเรียนแห่งนี้สำหรับคนที่พิการ ได้เรียน ในเมื่อโรงเรียนธรรมดาฉันไม่มีเพื่อน ฉันหวังว่าเมื่อฉันเข้ามาแล้วฉันน่ามีเพื่อนกับเขาบ้าง..........
ครั้งนึงฉันมีครอบครัว......ครั้งนึงฉันมีพ่อแม่
ครั้งนึงฉันมีทุกอย่าง......ครั้งนึงฉันเคยเป็นเด็กร่าเริง
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างได้พังทลายลง พ่อแม่ของฉันถูกฆ่า ต่อหน้าต่อตา เลือด สีแดงฉานของพ่อแม่ได้กระเด็นใส่หน้าฉัน ภาพที่เต็มไปด้วยเลือดของพ่อแม่ ฉันเสียใจฉันสูญเสียทุกสิ่งอย่าง จากที่ฉันเคยเป็นเด็กร่าเริงฉันไม่รู้ว่าทำไมตัวของเราถึงได้นิ่งเฉย ฉันโดดเดียว ฉันไม่มีพ่อแม่ และเพื่อน ฉันเป็นโรคซึมเศร้า ฉันเคยคิดว่าจะอยู่ไปทำไม ฉันคิดว่าฉันสูญเสียทุกอย่าง ฉันคิดว่าฉันไม่เหลือใครแล้ว แต่มีผู้ชายคนนึงรับฉันไปดูแลเป็นผู้ชาย อายุห่างกับฉัน4ปี เขาเป็นพี่บุญธรรมของฉัน พี่จะพาฉันไปโรงเรียนแห่งนึง โรงเรียนแห่งนี้สำหรับคนที่พิการ ได้เรียน ในเมื่อโรงเรียนธรรมดาฉันไม่มีเพื่อน ฉันหวังว่าเมื่อฉันเข้ามาแล้วฉันน่ามีเพื่อนกับเขาบ้าง..........
+45 GRADE EXP.
ไอเทมเพิ่มหลอด Grade Exp. ตามปริมาณที่กำหนด เมื่อหลอด Grade Exp. เต็ม จะได้รับการเลื่อนระดับชั้นทันที
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 1 : ย้อนรอยอดีต [เควสบังคับ]
Wed 04 Dec 2019, 21:35
อารมณ์ฉันเเปลกหรอคะ ? เห ? ทำไมถึงต้องร้องไห้เวลาโดนขัดใจหรอ ? มันรู้สึกขัดใจค่ะ!!
ไม่ชอบเลยน้าา ทำไมถึงเป็นเเบบนี้หรอ?
ก็ตอนเด็ก เซฟโดนเลี้ยงมาเเบบตามใจ พ่อเเม่ตามใจหมดทุกอย่าง เเล้วทำไม! ทำไม!!! เขาต้องทิ้งหนูไปด้วยละ
ทำไมเขาต้องทิ้งหนูไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าด้วยล่ะคะ?!!!
เพราะความเเปลกของอารมณ์หนูหรอ หนูเกลียดมันนะ!! ที่เป็นเเบบนี้
จะมีใครที่เป็นเพื่อนกับหนูหรอ? ที่โรงเรียนใหม่นี้......
ไม่ชอบเลยน้าา ทำไมถึงเป็นเเบบนี้หรอ?
ก็ตอนเด็ก เซฟโดนเลี้ยงมาเเบบตามใจ พ่อเเม่ตามใจหมดทุกอย่าง เเล้วทำไม! ทำไม!!! เขาต้องทิ้งหนูไปด้วยละ
ทำไมเขาต้องทิ้งหนูไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าด้วยล่ะคะ?!!!
เพราะความเเปลกของอารมณ์หนูหรอ หนูเกลียดมันนะ!! ที่เป็นเเบบนี้
จะมีใครที่เป็นเพื่อนกับหนูหรอ? ที่โรงเรียนใหม่นี้......
+5 GRADE EXP.
ไอเทมเพิ่มหลอด Grade Exp. ตามปริมาณที่กำหนด เมื่อหลอด Grade Exp. เต็ม จะได้รับการเลื่อนระดับชั้นทันที
หน้า 4 จาก 4 • 1, 2, 3, 4
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|