- EURChairman's Club
Elite Urban Royle
ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง
4704
+3,157 M 223 K
PASSPORT
:
(142575/181250)
:
[ Quest 5 ] : สถานการณ์ที่ดีขึ้น
✱✱ เวลาสิ้นสุดการส่งภารกิจหลัก ✱✱
—— TUESDAY : 30 JUN 2020 ( 23.59 TH ) ——
เนื้อเรื่องภารกิจหลัก
หลังจากที่ยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง ทางรัฐบาลได้มีการประกาศ
คลายการ Lockdown ในบางส่วน ทางโรงเรียนเองก็พิจารณาแล้วว่าสามารถ
กลับมาจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนได้ตามปกติ แต่ยังต้องมีการป้องกัน
เช่นการสวมใส่หน้ากากอนามัยและการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์
ในการเรียนการสอนช่วงแรกนี้ คณะอาจารย์ทั้งหลายก็ให้ความร่วมมือโดยที่
ผนวกการเรียนการสอนไปกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ในช่วงวิชาคหกรรมนั้น
อาจารย์มีการสอนให้นักเรียนเย็บหน้ากากผ้าเพื่อใช้ทดแทนหน้ากากอนามัย
ที่กำลังขาดแคลน หรือแม้แต่ไทระที่เป็นอาจารย์ภาษาไทย ได้สั่งการบ้านให้
นักเรียนคิดคำฮิตติดปากเหมือน "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" เป็นต้น
รายละเอียดภารกิจหลัก
[ ภารกิจเขียน ]
เขียนบรรยายความรู้สึกหลังจากที่ได้กลับมาเรียนตามปกติในห้องเรียน โดยจะ
ต้องมีเนื้อเรื่องในส่วนที่กำหนดให้ครบทั้งหมดทุกข้อ ดังนี้
1. ความรู้สึกต่อบรรยากาศที่ได้เจอเพื่อน ๆ ในห้องเรียน และการได้กลับมาเรียน
ภายในห้องเรียนอีกครั้ง
2. การเรียนวิชาคหกรรมที่ต้องเย็บหน้ากากผ้าของตนเอง จงบรรยายสีและลาย
ของหน้ากากผ้าของตนเองให้ชัดเจน
3. การเรียนวิชาภาษาไทยกับอาจารย์ไทระ จงแต่งคำฮิตติดปากหรือคำขวัญที่
เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยต้องเป็นคำที่เชิญชวนหรือรณรงค์ให้ทำ
เพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้น เช่น "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ"
โดยภารกิจนี้ไม่จำกัดความยาวหรือจำนวนคำแต่อย่างใด แต่จะอนุญาตให้มีคำผิด
ไม่เกิน 3 คำเท่านั้น มิเช่นนั้นจะถือว่าไม่ผ่านภารกิจในทันที โดยเมื่อตัดสินใจส่งลง
ในกระทู้ภารกิจแล้ว ผู้ตรวจภารกิจมีสิทธิในการตรวจเช็คคำผิดโดยทันที และเมื่อมี
การตรวจเช็คคำผิดพร้อมมอบรางวัลแล้ว หากมีการแก้ไขในภายหลังจะไม่ช่วยให้
ผ่านภารกิจแต่อย่างใด
*** หมายเหตุ *** กรณีที่ตัวละครหลักเป็นระดับอาจารย์ จะต้องใช้ NPC ตนเอง
ที่เป็นระดับชั้นนักเรียนเท่านั้น
รางวัลสำหรับผู้ทำภารกิจหลักเสร็จสมบูรณ์
- คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดรางวัล:
QUEST COMPLETE STAMP
ตราประทับที่มอบให้สำหรับผู้ที่เคลียร์ภารกิจหลักได้ เพื่อเป็นเกียรติยศแสดงถึงความรับผิดชอบที่สามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จลุล่วง เมื่อถูกประทับแล้วจะทำให้ได้ค่าประสบการณ์ +100 Grade Exp. โดยอัตโนมัติ+10 STAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลพิเศษมากมายกับทางโรงเรียนได้+10 ORIHALCON
หินแร่หายากสำหรับใช้ในการทำพิธีเพิ่มพลังโจมตีกายภาพ (ATK) และ พลังโจมตีเวทมนตร์ (M.ATK) สามารถนำหินไปให้โหรวิเศษทำพิธีได้ที่ "ลานพิธีกรรมโหรผู้วิเศษ" เมื่อใช้งานแล้วจะเพิ่มพลังโจมตีอย่างถาวรVOUCHER (1M)
บัตรกำนัลมูลค่า 1,000,000 CHIPS สำหรับใช้เล่นระบบสันทนาการเท่านั้น บัตรกำนัลหนึ่งใบสามารถเดิมพันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยมูลค่าคงเหลือไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ สามารถใช้บัตรกำนัลทั้งหมดในการเดิมพันได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อวัน+250,000 CHIPS
เหรียญตราที่ใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในโรงเรียนหรือการร่วมกิจกรรมพิเศษที่ทางโรงเรียนและบริษัทสปอนเซอร์จัดขึ้น
- EURChairman's Club
Elite Urban Royle
ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง
4704
+3,157 M 223 K
PASSPORT
:
(142575/181250)
:
Re: [ Quest 5 ] : สถานการณ์ที่ดีขึ้น
รางวัลสำหรับกรณีพิชิต Raid Boss ได้
ไอเทมที่จะได้รับ | เงื่อนไขที่ต้องเคลียร์ |
HP เหลือ 0 [ 0 / 2,390 ] | |
HP ต่ำกว่า 25% [ 597 / 2,390 ] | |
HP ต่ำกว่า 50% [ 1,195 / 2,390 ] | |
HP ต่ำกว่า 75% [ 1,792 / 2,390 ] |
- คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดรางวัล:
RAID BOSS CONQUEROR STAMP
ตราประทับที่มอบให้เป็นรางวัลแสดงถึงความกล้าหาญและความสามัคคีสำหรับผู้ที่สามารถพิชิต Raid Boss ที่ปรากฏออกมาป่วนภารกิจหลักได้ เมื่อถูกประทับแล้วจะทำให้ได้ค่าประสบการณ์ +100 Grade Exp. โดยอัตโนมัติSTAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลพิเศษมากมายกับทางโรงเรียนได้ORIHALCON
หินแร่หายากสำหรับใช้ในการทำพิธีเพิ่มพลังโจมตีกายภาพ (ATK) และ พลังโจมตีเวทมนตร์ (M.ATK) สามารถนำหินไปให้โหรวิเศษทำพิธีได้ที่ "ลานพิธีกรรมโหรผู้วิเศษ" เมื่อใช้งานแล้วจะเพิ่มพลังโจมตีอย่างถาวรBABYMONKEY
ลูกลิงใบ้ที่ถูกทิ้งจากฝูง จากสภาวะจิตใจทำให้ไม่สามารถส่งเสียงร้องได้ มีคนพบเห็นอยู่บนต้นใหม่ของโรงเรียน ว่ากันว่าลูกลิงใบ้นี้เป็นสัตว์จักรราศีของปี "วอก"VOUCHER (1M)
บัตรกำนัลมูลค่า 1,000,000 CHIPS สำหรับใช้เล่นระบบสันทนาการเท่านั้น บัตรกำนัลหนึ่งใบสามารถเดิมพันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยมูลค่าคงเหลือไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ สามารถใช้บัตรกำนัลทั้งหมดในการเดิมพันได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อวันVOUCHER (100K)
บัตรกำนัลมูลค่า 100,000 CHIPS สำหรับใช้เล่นระบบสันทนาการเท่านั้น บัตรกำนัลหนึ่งใบสามารถเดิมพันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยมูลค่าคงเหลือไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ สามารถใช้บัตรกำนัลทั้งหมดในการเดิมพันได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อวันVOUCHER (500K)
บัตรกำนัลมูลค่า 500,000 CHIPS สำหรับใช้เล่นระบบสันทนาการเท่านั้น บัตรกำนัลหนึ่งใบสามารถเดิมพันได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยมูลค่าคงเหลือไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ สามารถใช้บัตรกำนัลทั้งหมดในการเดิมพันได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อวันCHIPS
เหรียญตราที่ใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในโรงเรียนหรือการร่วมกิจกรรมพิเศษที่ทางโรงเรียนและบริษัทสปอนเซอร์จัดขึ้น
- bluebearz
Bonita Blanchett
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
1311
+128 M 935 K 310
PASSPORT
:
(550/2125)
:
Re: [ Quest 5 ] : สถานการณ์ที่ดีขึ้น
- Spoiler:
...อ๊ะ นั่นมันแพนเค้กราดน้ำผึ้งที่พี่ลูกไม้เคยทำให้กินนี่นา
...น่ากินจังเลย
...จะกินแล้วนะคะ---
กริ๊งงงงง!!!!
ตุบ!
โป๊ก!
"โอ๊ยยยย"
เสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงที่จู่ๆก็ดังลั่นขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ฉันสะดุ้งตื่นอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั้นตกจากเตียงและนอนกางแขนขาอยู่บนพื้นซะแล้ว ฉันร้องโอดโอยพลางกุมหัวที่โขกกับพื้น ก่อนที่สักพักจะได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยของ [คุณน้ำขิง] ดังมาจากทางห้องน้ำ
"มีมี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ร้องซะดังเชียว?"
"ล--ลูกหมีแค่ตกเตียงน่ะ ไม่มีอะไรหรอก"
ฉันตอบก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง คว้าโทรศัพท์มาส่องหน้าผากตัวเองว่าเป็นอย่างไรบ้าง ดูเหมือนหัวจะไม่โนนะแต่มีรอยฟกช้ำนิดหน่อย
"เจ็บมากหรือเปล่า!? เดี๋ยวขิงออกไปทายาให้นะ"
"เอ่อ..."
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธแม้สักเล็กน้อย คุณน้ำขิงก็วิ่งปรี่ออกมาจากห้องน้ำทั้งที่แปรงสีฟันยังคาอยู่ที่ปาก มือคว้ากล่องปฐมพยาบาลแล้วทิ้งตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กบนเตียงของฉันอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานเธอก็ทายาให้ฉันเสร็จสรรพ กลิ่นยาหม่องลอยเตะจมูกของฉันทันที
"มีตรงไหนช้ำอีกหรือเปล่า?"
"ไม่มีแล้วค่ะ ข--ขอบคุณนะ"
"ถ้ามีมี่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ ค่อยโล่งอกหน่อย"
"เอ่อ ลูกหมีชื่อลูกหมีต่างหาก"
"อ้าวเหรอ? แล้วขิงไปจำชื่อใครมาล่ะเนี่ย"
คุณน้ำขิงหัวเราะพลางเกาแก้มแก้เขินจนฉันอมยิ้มตาม ดูเหมือนว่าฉันจะเคยชินกับการถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อผิดซะแล้วล่ะ เพราะรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะลืมชื่อฉันหรือลืมอะไรหลายสิ่งหลายอย่างจริงๆหรอก แต่มันเป็นอาการของความหลงลืมหรือ Forgetfulness ซึ่งเป็นความพิการที่เธอไม่สามารถควบคุมได้
"งั้นเราไปแปรงฟันกันเถอะ ขิงเหนียวปากจะแย่แล้ว"
"อื้อ"
พวกเรายืนแปรงฟันที่หน้ากระจกด้วยกันอย่างที่ทำในทุกเช้าพร้อมจัดการธุระส่วนตัวกันต่ออีกสักพัก ก่อนที่จะมานั่งจัดกระเป๋าเรียนด้วยกันบนเตียง
คุณน้ำขิงท่าทางตื่นเต้นมาก เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่พวกเราจะได้กลับไปเรียนในคลาสปกติด้วยกันกับเพื่อนทุกคนอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายกันไปหลายเดือนด้วยเพราะสถานการณ์ไวรัสระบาด
หลังจากที่จัดกระเป๋ากันเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินออกมาจากห้องพักพร้อมกันโดยไม่ลืมที่จะล็อคห้องด้วย (จริงๆคุณน้ำขิงลืมซะสนิทแล้วแต่โชคดีที่ฉันทักก่อน)
ในระหว่างทางที่เดินไปห้องเรียนฉันกับคุณน้ำขิงก็ได้เจอกับ [คุณเอย์จิ] เพื่อนร่วมห้องที่เข้ามาทักจากด้านหลัง พวกเราสามคนเดินไปพูดคุยไปด้วยกัน ไม่สิ ต้องเป็นคุณน้ำขิงกับคุณเอย์จิพูดคุยกันแค่สองคนมากกว่า เพราะฉันแค่ฟังพวกเขาคุยกันอย่างเงียบๆ ด้วยท่าทางกลัวๆ จากด้านหลังของคุณน้ำขิงต่างหาก
เมื่อฉัน คุณน้ำขิงและคุณเอย์จิเดินมาถึงห้องเรียน เพื่อนๆในห้องก็พากันเอ่ยทักทายพวกเราด้วยน้ำเสียงสดใส ซึ่งฉันทำเพียงแค่ยิ้มแห้งและหลุบตามองพื้นอย่างไม่กล้าสบตาด้วย ในขณะที่คุณน้ำขิงทักทายเพื่อนกลับด้วยท่าทางกระดี๊กระด๊า ก่อนที่สักพักคุณเอย์จิจะขอแยกตัวไปหากลุ่มเพื่อนชายของเขา
"เพื่อนคนเมื่อกี้เขาชื่อว่าอะไรนะ?"
จู่ๆคุณน้ำขิงก็เข้ามากระซิบถามฉันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้คนที่ถูกเอ่ยถึงได้ยิน ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจท่าทางของเธอเท่าไรแต่ก็ยอมตอบออกไป
"ชื่อเอย์จิค่ะ"
"อืมมม เอย์จิสินะ"
ว่าแล้วคุณน้ำขิงก็หยิบสมุดพกเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วก้มหน้าก้มตาจดอะไรบางอย่างลงไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ฉันต้องชะโงกหน้าไปมองที่สมุดของเธอ แล้วก็เห็นว่าเธอกำลังวาดหน้าคุณเอย์จิอยู่
"ค--คุณน้ำขิงทำอะไรเหรอ?"
"พอดีขิงอยากจดชื่อเพื่อนทุกคนในห้องไว้กันลืมน่ะ เพราะเมื่อกี้ตอนที่นั่งจัดกระเป๋าขิงลองทวนชื่อเพื่อนในห้องแต่จำใครไม่ได้เลย เลยถือโอกาสหาวิธีจำชื่อเพื่อนในรูปแบบใหม่ที่น่าจะทำให้ขิงจำได้นานขึ้น"
"ถ--ถ้ามีอะไรให้ลูกหมีช่วยก็บอกได้เลยนะ ถ--ถึงลูกหมีจะวาดรูปไม่สวยก็เถอะ"
คุณน้ำขิงได้ฟังก็หัวเราะน้อยๆ "รูปเดี๋ยวขิงจัดการเอง ถ้าขิงสงสัยชื่อเพื่อนคนไหนขิงจะรบกวนมีมี่นะ"
ฉันพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนที่คุณน้ำขิงจะเข้ามาจับมือฉันแล้วพาเดินไปยังโต๊ะที่ติดริมหน้าต่าง ซึ่งเมื่อก่อนเรียกได้ว่าเป็นที่นั่งประจำของพวกเรา ฉันนั่งที่โต๊ะข้างหน้าของคุณน้ำขิง ส่วนคุณน้ำขิงก็นั่งที่โต๊ะตัวข้างหลังฉัน ซึ่งโต๊ะของเธอเป็นโต๊ะตัวท้ายสุดของแถวพอดี
อีกสามสิบนาทีจะได้เวลาเข้าเรียน ฉันนั่งมองคุณน้ำขิงที่กำลังวาดรูปหน้าเพื่อนในสมุดเพื่อเป็นการฆ่าเวลา ในระหว่างนั้นก็แอบกวาดสายตามองไปรอบห้อง ดูเหมือนว่าเพื่อนจะเริ่มทยอยมากันมากขึ้นแล้ว
เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วพร้อมเสียงหัวเราะด้วยความสนุกสนานดังปกคลุมไปทั่วห้องเรียน รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเหล่านี้จัง การนั่งหลังห้องทำให้ฉันสามารถมองเห็นเพื่อนทุกคนได้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังมีความสุขมากขนาดไหน กับการได้เจอเพื่อนของตัวเองและได้พูดคุยด้วยกันอีกครั้ง
ถ้าพูดถึงลักษณะทางกายภาพล่ะก็ ทุกคนดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิมสักเท่าไร ถึงฉันจะจำไม่ค่อยได้แล้วว่ารูปลักษณ์เมื่อก่อนของแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ก็พอจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยได้ว่าคุณเอย์จิผมสั้นลงกว่าเดิม หรือคุณหัวหน้าห้องที่เปลี่ยนทรงผมและกรอบแว่นใหม่
"จะว่าไป มีมี่เห็นทรงผมใหม่ของลีอาห์หรือยัง?"
คุณน้ำขิงเงยหน้าขึ้นมองฉัน ก่อนจะเปิดบทสนทนาใหม่ด้วยชื่อของเพื่อนคนหนึ่งในห้อง [คุณลีอาห์] เป็นคนที่เรียนเก่งมากและเป็นสมาชิกของชมรมการแสดง โดยเอกลักษณ์ของเธอคือผมที่ยาวจนถึงบั้นท้าย
"ยังเลยค่ะ"
"ขิงเห็นมาแล้วล่ะ ลีอาห์ตัดผมสั้นถึงประบ่าแถมมีหน้าม้าด้วยนะ!"
"เอ๋? ต--แต่คุณลีอาห์ชอบผมยาวไม่ใช่เหรอ?"
"เนอะ แต่ได้ยินมาว่าเธอถูกรุ่นพี่หักอกเลยตัดผมย้อมใจน่ะ"
"อ๋อย..." ฉันหน้าเจื่อนลงนิดหน่อย ฉันใฝ่ฝันอยากมีผมยาวๆแบบคุณลีอาห์มาตลอดเลย การที่ผู้หญิงอกหักแล้วตัดผมตัวเองคงไม่ใช่แค่เรื่องแต่งในนิยายสินะ
"เออนี่ ขิงว่าเราทำผมทรงประบ่ากันบ้างดีไหม?"
ฉันได้ฟังก็รีบส่ายหัวปฏิเสธพลางคว้าผมตัวเองมากำไว้อย่างหวงแหน
"ม--ไม่เอาดีกว่าค่ะ พ--พี่ชายไม่อยากให้ลูกหมีตัดผม"
"แต่เปิดเทอมใหม่ทั้งทีได้เปลี่ยนแนวตัวเองบ้างก็น่าสนุกดีไม่ใช่เหรอ?" คุณน้ำขิงเอียงคอทำหน้าสงสัยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นฉีกยิ้มทะเล้น "ขิงแค่พูดเล่นเองน่า โอ๊ะ! อาจารย์มาแล้ว"
สิ้นเสียงของคุณน้ำขิงทุกคนในห้องก็รีบกลับไปนั่งประจำที่โต๊ะของตัวเอง ฉันพลิกตัวกลับไปมองที่หน้าห้องเรียนอีกครั้ง แล้วหยิบอุปกรณ์การเรียนกับสมุดจดขึ้นมาวางบนโต๊ะ
ชั่วโมงเรียนที่แสนปกติธรรมดายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อหมดเวลาเรียนของวิชาแรก วิชาถัดไปก็จะเริ่มต้นขึ้นในเวลาต่อมา
แม้พวกเราจะเอาแต่นั่งเรียนกันในห้องโดยไม่ได้ลุกไปไหนเลยตลอดหลายชั่วโมง แต่ถึงอย่างนั้นฉันกลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด ไม่รู้ทำไมกันนะ แต่การได้นั่งเรียนในห้องด้วยกันกับเพื่อนทุกคนมันทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ มากกว่าการที่ต้องนั่งเรียนเพียงลำพังกับเพื่อนที่ได้แค่เห็นหน้าผ่านระบบออนไลน์
.
.
.
.
...หิวจัง
...อยากกินแพนเค้กราดน้ำผึ้งที่เห็นในฝันเมื่อเช้าจังเลย
"มีมี่ รีบไปที่ห้องคหกรรมกันเถอะ เดี๋ยวจะสายนะ"
"อ๊ะ! เอ่อ...อื้อ"
ทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณน้ำขิงฉันก็สะดุ้งหลุดออกจากห้วงภวังค์ รีบคว้ากระเป๋าเป้แล้ววิ่งตามคุณน้ำขิงไปอย่างทุกลักทุเล คุณน้ำขิงบอกว่าหลังจากคาบเรียนที่สองจบลงฉันก็เอาแต่นั่งเหม่อลอยมาตลอด กว่าจะเรียกให้ฉันรู้สึกตัวได้ก็เล่นเอาเสียงแหบเสียงแห้งเลย
เมื่อมาถึงห้องคหกรรมก็พบว่าโต๊ะทุกตัวถูกเพื่อนจับจองไปจนหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่แต่ละโต๊ะก็จะนั่งจับกลุ่มกับเพื่อนที่สนิทด้วยกัน ฉันกับคุณน้ำขิงที่ปกติไม่ค่อยได้รวมกลุ่มกับใคร(ยกเว้นตอนทำรายงาน)ก็พากันยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง เพราะไม่รู้จะไปนั่งตรงไหนดี
"ลูกหมี! น้ำขิง! มานี่ๆ"
ทันใดนั้นเสียงตะโกนเรียกของ [คุณทับทิม] ก็ดังขึ้นแทรกท่ามกลางเสียงพูดคุยของเพื่อนๆ คุณทับทิมเป็นเหรัญญิกของห้องและเก่งวิชาศิลปะด้วย ซึ่งฉันและคุณน้ำขิงเคยคุยกับเธอหลายครั้งจึงค่อนข้างที่จะรู้จักกันดี
เธอกำลังนั่งฉีกยิ้มอยู่ที่โต๊ะตัวท้ายสุดหลังห้อง พลางกวักมือเรียกให้พวกเราเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกับเธอ ปกติคุณทับทิมจะไม่ค่อยมายุ่งกับฉันและคุณน้ำขิงสักเท่าไร เพราะเธอมักจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนสนิทของเธอเสียมากกว่า แต่แปลกจังเลยที่วันนี้เห็นเธอนั่งอยู่คนเดียว
ฉันมีท่าทีลังเลนิดหน่อย เพราะถึงจะรู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายแต่ฉันก็ยังกลัวเธออยู่บ้าง คุณน้ำขิงหันมายิ้มให้ก่อนจะจับมือฉันแล้วพาเดินไปนั่งที่โต๊ะ
"เพื่อนของนุ่มนิ่มไปเข้าห้องน้ำเหรอ?"
คุณน้ำขิงเอ่ยถาม ซึ่งคุณทับทิมก็ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ "วันนี้วาโยไม่สบายเลยไม่มาเรียนตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ ฉันเลยกะว่าคาบนี้จะเย็บหน้ากากผ้าไปเผื่อเขาด้วย"
"น--หน้ากากผ้า?" ฉันทวนคำด้วยความสงสัย
"ใช่จ้ะ วันนี้อาจารย์คหกรรมจะให้ทุกคนเย็บหน้ากากผ้า" คุณทับทิมตอบ "ว่าแต่ทั้งคู่ไปไหนมาเหรอถึงมาช้ากัน?"
"ก็มีมี่มัวนั่งใจลอยอยู่น่ะ กว่าจะเก็บของเสร็จทุกคนก็มาห้องคหกรรมกันหมดแล้ว นี่ถ้าขิงไม่เรียกก็ไม่รู้จะนั่งใจลอยไปไหนต่อไหนแล้ว"
"จริงเหรอ? ที่ลูกหมีใจลอยเพราะกำลังคิดถึงหนุ่มคนไหนอยู่หรือเปล่า" คุณทับทิมเอ่ยแซว มิวายยังส่งเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอดูมีเลศนัยบางอย่างจนฉันต้องรีบส่ายหัวปฏิเสธ
"ป--เปล่านะคะ"
"หวายๆ ใช่แน่เลย หน้าแดงซะด้วย"
"ม--ไม่ใช่นะ ล--ลูกหมีใจลอยเพราะคิดถึงแพนเค้กราดน้ำผึ้งที่พี่ชายเคยทำให้กินตอนเด็กๆต่างหาก"
"โอ๋ๆ เชื่อก็ได้จ้ะ ฉันแค่หยอกเล่นนิดหน่อยเอง"
พอเห็นฉันทำหน้าจวนเจียนจะร้องไห้ คุณทับทิมก็ว่าพลางหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ แต่แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นร่างของอาจารย์ประจำวิชาคหกรรมก้าวเข้ามาในห้องพอดี สุดท้ายพวกเราจึงต้องหยุดบทสนทนาลงไว้เพียงแค่นั้นแล้วหันไปให้ความสนใจที่หน้าห้องเรียนเช่นเดียวกันกับเพื่อนคนอื่นๆ
อย่างที่คุณทับทิมบอก คาบวิชาคหกรรมครั้งแรกของวันนี้ทุกคนในห้องจะได้เย็บหน้ากากผ้ากันคนละ 1 ชิ้น มีแค่คุณทับทิมเท่านั้นที่อาจารย์อนุญาตให้ทำอีกชิ้นไปฝากเพื่อนสนิทของเธอที่ขาดเรียนได้
ชั่วโมงแห่งการเย็บหน้ากากผ้ากำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายแต่สนุกสนาน อาจารย์ปล่อยให้นักเรียนได้ฝึกทำเองเพื่อเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองไปในตัว มีเสียงพูดคุยดังอยู่เป็นระยะ ซึ่งช่วยส่งเสริมความครึกครื้นภายในห้องให้มากขึ้น
หลังจากใช้เวลาทำหน้ากากผ้ากันอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียนในช่วงเช้า ทันทีที่อาจารย์ประจำวิชาคหกรรมหยิบสมุดแล้วเดินออกไปจากห้อง ฉันก็เห็นเพื่อนบางคนที่เย็บหน้ากากเสร็จแล้วเริ่มเก็บข้าวของและช่วยกันทำความสะอาดพื้นห้อง ซึ่งตอนนี้มีแต่เศษผ้าและด้ายหล่นกระจัดกระจายเต็มไปหมด
ฉันยืดแขนทั้งสองขึ้นฟ้าแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อย จริงๆฉันเย็บหน้ากากผ้าเสร็จตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว ไม่ใช่เพราะฉันชำนาญด้านการเย็บปักถักร้อยหรอกนะ แต่เป็นเพราะฉันไม่ได้ประณีตกับการเย็บลายบนหน้ากากมากเท่าของคุณน้ำขิงกับคุณทับทิมต่างหาก
ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนทั้งคู่จะเพิ่งเย็บเสร็จกันหมาดๆเลย
"นี่ๆ ทั้งสองคน"
จู่ๆ เสียงเรียกของคุณน้ำขิงก็ดังขึ้น ทำให้ฉันกับคุณทับทิมต้องหันไปมองเพื่อรอฟังว่าเธอจะพูดอะไร ก่อนจะได้พบกับหน้ากากผ้าสีครีมที่ถูกยกขึ้นกลางอากาศ ราวกับจะป่าวประกาศถึงความสวยงามและความยูนิคของมัน
"ขิงเย็บลายหน้ากากเป็นรูปขิงล่ะ เป็นไง สวยไหมๆ"
คุณทับทิมได้ฟังก็หรี่ตาเพ่งพินิจหน้ากากผ้าของคุณน้ำขิงอยู่นานสองนาน ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาจนคุณน้ำขิงต้องทำหน้าเจื่อน
ฉันก็แอบสงสัยด้วยเหมือนกันว่าคุณทับทิมหัวเราะอะไร ฉันคิดว่าคุณน้ำขิงก็ไม่ได้ฝีมือแย่นะ กลับกันเธอเย็บออกมาได้ดีด้วยซ้ำ
"ขำอะไรอ่ะนุ่มนิ่ม? ของขิงไม่สวยเหรอ"
"ไม่ใช่จ้ะ คือฉันขำที่เธอบอกว่ามันเป็นรูปขิงน่ะ"
"หืม? หรือว่าขิงเย็บไม่เหมือนเหรอ?"
"ไม่ใช่ว่าไม่เหมือนนะ แต่นี่มันเป็นรูปข่าต่างหาก"
เอ่ยเสร็จคุณทับทิมก็ลงไปนอนหน้าแนบกับโต๊ะแล้วหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งอีกรอบ ฉันเห็นอย่างนั้นก็รีบชะเง้อหน้าไปสำรวจลายบนหน้ากากของคุณน้ำขิงให้ชัดเจนอีกรอบ
"จ--จริงด้วย ลูกหมีว่าเหมือนข่ามากกว่านะ"
"แต่ขิงเสิร์ชในกูเกิ้ลแล้วมันขึ้นรูปนี้นี่นา ขิงเย็บตามแบบในกูเกิ้ลเลยนะ"
ว่าแล้วคุณน้ำขิงก็รีบคว้าโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายซึ่งวางพิงข้างโต๊ะ แล้วโชว์แท็บกูเกิ้ลโครมที่เปิดทิ้งไว้ให้ฉันกับคุณทับทิมดูเพื่อเป็นหลักฐาน
"มันก็แอบคล้ายกันจริงๆนั่นแหละจ้ะ งั้นเราก็มองลายหน้ากากของน้ำขิงเป็นรูปขิงละกันเนอะ ลูกหมี"
คุณทับทิมหันมาถามความเห็นฉัน ฉันจึงพยักหน้าตอบรับกลับไปอย่างเลิ่กลั่ก
"แล้วหน้ากากของนุ่มนิ่มล่ะ? ขิงอยากเห็นจังว่านุ่มนิ่มเย็บลายอะไร"
"ฉันชื่อทับทิมไม่ใช่นุ่มนิ่มจ้ะ แต่เอาเถอะ...ฉันก็ไม่ได้อยากอวดหรอกนะแต่ฉันตั้งใจทำผลงานชิ้นนี้มากเลย แท่นแท๊น"
สิ้นเสียงซาวน์เอฟเฟคที่ทำขึ้นเองแบบสดๆร้อนๆ คุณทับทิมก็ใช้แขนที่มีข้างเดียวของเธอหยิบหน้ากากสีเขียวมิ้นท์กับอีกอันที่เป็นสีฟ้าอ่อขึ้นมาปะทะกับหน้ากากของคุณน้ำขิงทันที ตอนนี้สถานการณ์บนโต๊ะของเราสามคนเหมือนจะกลายเป็นสนามสำหรับดวลความสวยของหน้ากากผ้าไปซะแล้ว
"ของฉันเป็นลายน้องแมว ส่วนนี่ของวาโยเป็นลายน้องหมาชิบะ ฉันเคยได้ยินว่าวาโยอยากเลี้ยงชิบะก็เลยเย็บลายนี้ให้น่ะจ้ะ"
"อิย๊า~ น่ารักเกินไปจนขิงขอยอมแพ้เลย"
"คุณทับทิมเย็บสวยจังเลย"
ฉันปรบมือชื่นชมเบาๆ หลังจากหันไปมองลายหน้ากากสุดน่ารักทั้งสองอันของคุณทับทิม ซึ่งเธอก็ยิ้มรับคำชมนั้น และไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าที่แอบเห็นว่าเธอเลื่อนสายตาลงมามองที่มือของฉัน ซึ่งกำลังกำแน่นเพื่อซุกหน้ากากผ้าของตัวเองไว้ใต้โต๊ะ
ใช่...ฉันไม่ได้คิดไปเอง
"ว่าแต่ยังมีผู้เข้าแข่งขันอีกคนที่ยังไม่ได้โชว์หน้ากากของตัวเองอยู่นะ"
คุณทับทิมมองมาที่ฉันด้วยแววตามีเลศนัยจนฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันคนที่สามตอนไหนแต่ก็พูดออกไปด้วยท่าทีที่ร้อนรน
"ข--ของลูกหมีไม่ได้เย็บบรรจงแบบของคุณน้ำขิงกับคุณทับทิม พ--เพราะงั้นไม่สวยหรอกค่ะ"
"ไม่เป็นไรจ้ะ พวกฉันแค่อยากเห็นว่าลูกหมีเย็บลายอะไรเท่านั้นเอง ก็ลูกหมีเห็นของพวกเราไปแล้วพวกเราก็อยากเห็นของลูกหมีบ้างนี่นา ไม่ได้เหรอ?"
"นั่นสิ ถึงจะรู้ว่ามีมี่ไม่เก่งงานฝีมือ แต่ขิงสัญญานะว่าจะไม่หัวเราะแน่นอน"
เมื่อเจอแววตาที่เปล่งประกายเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ของคุณน้ำขิงกับคุณทับทิม มันก็ทำให้ฉันต้องก้มหน้าหลุบตาลง และช่างโชคร้ายที่หน้ากากดันหลุดจากมือของฉันแล้วตกลงพื้น พอฉันจะเก็บคุณน้ำขิงก็คว้ามันไปได้เสียก่อน
"ว--หวา"
"ไหนดูซิว่าหน้ากากของลูกหมีเป็นยังไงบ้าง"
ว่าจบคุณน้ำขิงกับคุณทับทิมก็ช่วยกันคลี่หน้ากากสีชมพูอ่อนที่ยับยู่ยี่ออก เผยให้เห็นลายเย็บซึ่งเป็นลายเส้นยึกยือ เป็นรูปน้องหมีตัวสีขาวที่กำลังยิ้มบูดเบี้ยวดูไม่น่าพิสมัยสักเท่าไร และบนหัวของมันก็มีโบว์จิ๋วแบบเดียวกันกับบนหัวของฉันด้วย ซึ่งฉันตั้งใจจะให้หมีตัวนี้เป็นตัวแทนของฉันเอง
"อืมมม ฉันว่าก็สวยนะจ๊ะ ดูมีเอกลักษณ์ดี" คุณทับทิมเอ่ย
"จ--จะบอกว่าไม่มีของใครแย่เท่าของลูกหมีแล้วสินะ"
"เปล่านะจ๊ะ ฉันหมายถึงดีเทลของน้องหมีต่างหาก"
ฉันได้ฟังก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้อีกรอบ ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ถนัดงานที่ต้องใช้ฝีมือเอาซะเลย
แต่แล้วในขณะนั้นเองคุณทับทิมก็ครุ่นคิดอะไรอยู่สักพัก ก่อนที่เธอจะขอยืมหน้ากากผ้าของฉันไป เธอเย็บด้ายขึ้นลงบนหน้ากากของฉันอย่างคล่องแคล่วชำนาญ เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิของเธอฉันกับคุณน้ำขิงจึงแอบมองดูกันอย่างเงียบๆ
ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาทีคุณทับทิมก็ยื่นหน้ากากผ้าคืนให้ พอฉันรับมาดูก็ต้องตกตะลึง เพราะเธอแก้ลายบนหน้ากากให้ดูดีขึ้น จากลายหมีที่ยิ้มบูดเบี้ยวน่ากลัวกลายเป็นน้องหมีที่ยิ้มแฉ่งน่ารัก แถมยังเพิ่มรายละเอียดบนโบว์ด้วยชื่อเล่นภาษาอังกฤษของฉันด้วย
"ฉันไม่รู้ว่าลูกหมีจะชอบแบบนี้ไหมนะ..."
คุณทับทิมว่าพลางม้วนผมตัวเองเล่นด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
"อื้อ! ล--ลูกหมีชอบมากเลย ขอบคุณนะคะ"
"นุ่มนิ่มช่วยแก้ลายข่าให้ขิงด้วยได้ไหมอ่า" คุณน้ำขิงแทรกบ้าง
"น้ำขิงเย็บเป็นอยู่แล้วคงไม่ต้องพึ่งฉันหรอกจ้ะ"
"โถ่! นุ่มนิ่มใจร้ายที่สุดเลย"
"ถ้าไม่เรียกชื่อฉันให้ถูกฉันจะงอนเธอแล้วนะ น้ำขิง"
สิ้นเสียงของคุณทับทิมพวกเราก็หัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน ก่อนจะช่วยกันเก็บข้าวของและทำความสะอาดโต๊ะ เพื่อที่จะได้ลงไปกินข้าวด้วยกันก่อนที่จะหมดเวลาพักกลางวันเสียก่อน
.
.
.
.
คาบบ่ายวันนี้เป็นวิชาภาษาไทย อาจารย์ไทระซึ่งเป็นอาจารย์ประจำวิชานี้ได้มอบหมายการบ้านให้นักเรียนแต่งคำเชิญชวนหรือคำยอดฮิตติดปาก ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสระบาดในช่วงนี้ ตอนนี้พวกเรากลับมาเรียนในห้องเรียนปกติแล้ว บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยความเงียบและความสงบต่างจากตอนเช้า
ด้านนอกมีเสียงบรรดานกตัวเล็กร้องประสานกันเบาๆ เสมือนดนตรีขนาดย่อมที่ชวนให้ผ่อนคลาย ฉันนั่งเท้าคางมองใบไม้ด้านนอกที่พลิ้วไหวตามแรงลมอยู่นานสองนาน โดยหวังว่ามันจะช่วยให้การบ้านของตัวเองคืบหน้าบ้าง หลังจากที่ยังคงว่างเปล่าไร้การขีดเขียนมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว
ฉันเบนสายตากลับมามองภายในห้องอีกครั้ง อาจารย์ไทระกำลังเดินวนไปวนมารอบห้องเพื่อสอดส่องดูว่างานของนักเรียนแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง และแล้วไม่นานเขาก็เดินมาถึงโต๊ะของฉัน
"ลูกหมีเขียนเสร็จแล้วเหรอครับ? ถ้าเสร็จแล้วส่งครูได้เลยนะ"
"เอ่อ ย--ย--ยังค่ะ ล--ลูกหมียังคิดไม่ออกอ่ะค่ะ"
ฉันตอบด้วยท่าทางลนลานพลางเบนสายตามองที่พื้นห้อง แอบตกใจที่จู่ๆก็ถูกอาจารย์ไทระเอ่ยทักแบบไม่ทันได้ตั้งตัว อย่างที่คิดการพูดคุยกับใครสักคนแบบตัวต่อตัวเป็นอะไรที่ลำบากสำหรับฉันจริงๆ ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ไทระเลยด้วยซ้ำ กลัวจนมือชื้นเหงื่อไปหมดแล้ว ฮือ
"แต่อีกยี่สิบนาทีจะหมดเวลาแล้วนะ"
พอได้ฟังก็รีบเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาแขวนผนังทันทีแล้วก็พบว่าอาจารย์ไทระพูดถูก ดูเหมือนว่าฉันจะนั่งมองทิวทัศน์ข้างนอกจนเพลินไปหน่อย
ครั้นพอจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคุณน้ำขิงที่นั่งด้านหลัง ก็เห็นว่าเธอเขียนเสร็จและฟุบหลับบนโต๊ะไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ฉันจึงต้องหันกลับมามองกระดาษที่ว่างเปล่าของตัวเองพร้อมด้วยสมองซึ่งขาวโพลนเสียยิ่งกว่ากระดาษแผ่นนี้อีกครั้ง
แง แล้วฉันจะทำยังไงดี...
"การบ้านของครูยากไปเหรอ?"
"ม-ม--ไม่ยากค่ะ ต--แต่ลูกหมีแค่แต่งไม่เป็น"
อาจารย์ไทระได้ฟังก็ถึงกับหลุดขำออกมาเล็กน้อย ตอนนี้ฉันรู้สึกอายในความไม่ได้เรื่องของตัวเองมากจนอยากจะมุดโต๊ะหนีไปจากตรงนี้แล้ว
"เรื่องแค่นี้เองไม่ยากเลย เดี๋ยวครูสอน" อาจารย์ไทระว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ ชวนให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนนี้เขาคงกำลังยิ้มอยู่
"เอาเป็นคำคมไม่ซับซ้อน ฟังแล้วเข้าใจง่ายแล้วกันเนอะ น่าจะง่ายสำหรับลูกหมี"
"ค--ค่ะ"
ฉันรีบพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าที่แอบแฝงด้วยความมุ่งมั่น ลืมความกลัวที่มีต่ออาจารย์ไทระไปชั่วขณะแล้วตั้งใจฟังสิ่งที่เขาสอนในทันที
.
.
.
.
หลังจากที่เขียนคำสุดท้ายลงบนกระดาษเสร็จ ฉันก็ส่งกระดาษให้อาจารย์ไทระช่วยตรวจเช็คให้อีกรอบ ฉันรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเขียนเลย ถึงในตอนแรกอาจารย์ไทระจะช่วยดูให้แล้วก็ตาม
ในระหว่างที่อาจารย์ไทระกำลังกวาดสายตาอ่านข้อความบนกระดาษ ฉันก็แอบลุ้นตัวโก่งอยู่ภายในใจว่าขอให้ครั้งนี้ผ่านทีเถอะ เพราะอีกแค่สิบนาทีก็จะหมดเวลาเรียนแล้ว
"อืม แบบนี้ถือว่าโอเคแล้วล่ะ" อาจารย์ไทระพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเอ่ย ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกขึ้นมา ในที่สุดมันก็ผ่านหลังจากที่ฉันต้องนั่งแก้อยู่เกือบห้ารอบ
"ข--ขอบคุณที่ช่วยลูกหมีนะคะ" ฉันว่าพลางยกมือพนมไหว้
"ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยอีกเรียกครูได้เลยนะครับ ยังเหลือเวลาอยู่จะวาดอะไรตกแต่งเพิ่มก็ได้นะ เดี๋ยวครูจะเอาไปแปะที่บอร์ดหน้าห้อง"
"ค--ค่ะ"
เมื่ออาจารย์ไทระเดินทิ้งระยะห่างไกลออกไปจากโต๊ะของฉัน ฉันก็ก้มหน้าก้มตาวาดรูปตกแต่งบนกระดาษของตัวเองต่อ ถึงฉันจะไม่ค่อยเก่งศิลปะแต่ก็พอจะวาดรูปเบสิกๆได้ บนกระดาษของฉันจึงมีแต่ดอกไม้กับดาว ที่วาดด้วยลายเส้นยึกยือเหมือนรูปวาดของเด็กอนุบาลสาม
หลังชั่วโมงเรียนภาษาไทยหมดลง อาจารย์ไทระก็รวบรวมกระดาษของทุกคนแล้วนำไปแปะไว้ที่บอร์ดหน้าห้อง เพื่อเปิดโอกาสให้เเชร์ผลงาน เมื่อเห็นว่าเพื่อนในห้องเริ่มทยอยกันเดินออกไปดู ฉันกับคุณน้ำขิงก็รีบเก็บข้าวของ สะพายกระเป๋าแล้วเดินตามออกไปบ้าง
หลังจากใช้เวลาเดินดูผลงานของเพื่อนๆอยู่สักพัก ฉันก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าผลงานของตัวเอง ซึ่งประจวบกับที่คุณน้ำขิงเดินเข้ามาหาพอดี
"อันไหนของมีมี่เหรอ?"
"อ--อันนั้นอ่ะค่ะ ฮึ๊บบบ"
ผลงานของฉันอยู่สูงมากก ฉันพยายามเขย่งขาและยืดแขนเพื่อที่จะแตะมันแต่ก็แตะไม่ถึง ไม่รู้ว่าฉันเตี้ยเกินวัยไปหน่อยหรือเปล่านะ เพราะดูคนอื่นก็แตะถึงกระดาษที่อยู่สูงในระดับเดียวกันกับงานของฉันได้สบายๆ โดยไม่ต้องเขย่งเท้าเลยแม้แต่น้อย
"อันบนสุดนู่นน่ะเหรอ? อ่านว่าอะไรน่ะ อืม…"
"อย่าจับหน้าโดยไม่จำเป็น เพราะคุณไม่เห็นสิ่งสกปรกที่อยู่ในมือคุณ น่ะค่ะ" ฉันตอบ
"โอ๊ะ! ขิงก็เขียนเกี่ยวกับการจับหน้าเหมือนกันเลย"
"ข--ของคุณน้ำขิงวาดรูปปิกาจูฉีกขาด้วยนี่นา เมื่อกี้ลูกหมีไปเห็นมา"
"โธ่! ขิงอุตส่าห์ขอให้อาจารย์ไทระช่วยติดไว้สูงๆแท้ๆ ลูกหมีจะได้มองไม่เห็น" คุณน้ำขิงทำหน้ามุ่ย ก่อนจะพูดต่อ "แล้วมันก็ไม่ใช่ปิกาจูฉีกขานะ แต่เป็นปิกาจูเต้นแอโรบิกต่างหาก"
เขียนเกี่ยวกับการจับหน้าแต่วาดปิกาจูเต้นออกกำลังกายเหรอ? ฉันถึงกับนิ่งเงียบไป เพราะกำลังครุ่นคิดหาความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่คุณน้ำขิงเขียนกับสิ่งที่วาดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันยังไง หรือเธอแค่อยากจะวาดปิกาจูกันนะ...
"อืม...เหมือนปิกาจูฉีกขาอย่างที่ลูกหมีพูดนั่นล่ะนะ"
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหวานนุ่มอันแสนคุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อฉันกับคุณน้ำขิงหันไปมองก็พบว่าเป็นคุณทับทิมนั่นเอง เธอกำลังเงยหน้ามองกระดาษของคุณน้ำขิงด้วยท่าทางสงสัยอยู่
"ไม่ใช่ซะหน่อย ปิกาจูเต้นแอโรบิกต่างหาก!" คุณน้ำขิงย้อน "นุ่มนิ่มไม่เข้าใจศิลปะของขิงเอาซะเลย"
"อื้ม ไม่เข้าใจน่ะคงดีแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันต้องวาดอะไรแปลกๆแน่เลย" คุณทับทิมว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย "ละก็บอกแล้วไงว่าฉันชื่อทับทิมไม่ใช่นุ่มนิ่ม แต่เอาเถอะ...ทั้งสองคนจะกลับหอกันหรือยังจ๊ะ?"
"ย--ยังค่ะ" ฉันตอบ "พวกเราว่าจะลงไปข้างล่างกันก่อน"
"พอดีเลย งั้นลงไปหาอะไรกินรองท้องกันดีไหมจ๊ะ?"
"ไปสิๆ ขิงอยากกินไอศกรีมรสมะม่วง"
"อ๊ะ ล--ลูกหมีก็อยากกินไอศกรีม"
"ดีเลย งั้นไปซื้อไอศกรีมกันเถอะ~"
ว่าแล้วคุณทับทิมก็เข้ามาจับมือฉันกับคุณน้ำขิงด้วยท่าทางร่าเริงแล้วพวกเราก็เดินฮัมเพลงไปด้วยกัน ในระหว่างที่เดินไปก็ได้พูดคุยแชร์ประสบการณ์การเรียนวันแรกของกันและกันไปพลางด้วย ซึ่งมันสนุกมากเลย
หวังว่าวันพรุ่งนี้ก็คงจะมีเรื่องที่สนุกๆรออยู่นะ
- U
Saharat Chaiyakul
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6
823
+86 M 22 K 507
PASSPORT
:
(1475/2250)
:
Re: [ Quest 5 ] : สถานการณ์ที่ดีขึ้น
- Q5:
- (1)
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์ครับ"
เวลาเจ็ดโมงเกือบแปดโมง ยูซึ่งสวมหน้ากากอนามัย เดินไปตามทางเดินของตึกเรียนพร้อมกล่าวทักทายเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้อง คุณครู ที่เดินผ่านไปมาแทบทุกคน ด้วยน้ำเสียงเนิบแต่แฝงความสดใส ภายในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ไม่ได้เดินในตึกเรียนนานมากๆ นานกว่าตอนปิดเทอมหน้าร้อนอีก ยูมองไปรอบๆ ทุกอย่างเหมือนเดิมเลยเขาคิด
เมื่อเข้าไปในห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก ยูได้เจอกับเพื่อนร่วมชั้นที่เริ่มทยอยเข้ามาในห้องบ้างแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปทักทายเพื่อนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุด
“อรุณสวัสดิ์ เกี๊ยว”
เด็กหนุ่มสวมแว่นตาเลนส์หนาผมยุ่งเล็กน้อยผู้ไม่มีแขนซ้ายขวา หันไปมองตามเสียงเรียกทักชื่อตนเอง
“เอ.. หวัดดียู ไม่ใช่เมื่อเช้าก่อนพวกเราออกมาจากห้อง นายทักทายเราไปแล้วหรอ?” เกี๊ยวมองเพื่อนรูมเมทของเขาแบบงงๆ เพราะเมื่อเช้าพวกเขาเดินออกจากหอพักเพื่อไปทานข้าวเช้าพร้อมกัน ล่าสุดที่พวกเราเจอกันน่าจะเป็น 15 นาทีที่แล้วได้ แล้วทำไมยูถึงมาทักทายเขาอีกรอบล่ะ?
“เพื่อนร่วมชั้น ต้องทักทายกัน” ยูพูดพลางพยักหน้า แล้วจึงละจากรูมเมทที่ยืนมองแบบงงๆ ไปทักทายเพื่อนในห้องคนอื่นต่อ
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
พอมีใครเดินเข้ามาเพิ่มเขาก็เข้าไปทักทายอีก ยูทักเพื่อนในห้องทุกคนจนครบ กริ่งเริ่มเรียนก็ดังขึ้นพอดี
วันนี้ยูกระตือรือร้นในการเรียนและการตอบคำถามเป็นพิเศษ เขาจ้องมองที่กระดาษเกือบตลอดเวลา มีวอกแวกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับว่ากลัวกระดานและคุณครูตรงหน้าจะหายไป
ถึงเขาจะไม่ชอบที่ตอนนี้กลิ่นห้องเรียนเหมือนอยู่ในโรงพยาบาลเพราะกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ และไม่ชอบใส่หน้ากากอนามัยไว้บนหน้าเท่าไรก็เถอะ แต่ถ้ามันทำให้ได้มานั่งเรียนร่วมกับเพื่อนๆ อีกครั้ง ยูก็ยินดีที่จะยอมอดทน เพราะมันดีกว่าการนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องพัก และมองเห็นเพื่อนๆ คุณครู กระดาน ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นไหนๆ
.
.
.
(2)
"วันนี้เราจะมาเย็บหน้ากากของตัวเองไว้ใช้กันนะ” คุณครูประจำวิชาคหกรรมกล่าว และเริ่มอธิบายอุปกรณ์และวิธีการเย็บพื้นฐาน
“เราเอาสีนี้ดีกว่า เอ๊ะ หรือเอาสีนี้ดีนะ” เกี๊ยวเลือกหยิบผ้าสีเหลืองสองผืนที่แทบจะเป็นสีเดียวกัน เฉดเดียวกันขึ้นมาลองเทียบกับใบหน้าตัวเอง “นายเอาด้วยไหม ม๊าบอกเราว่าใช้สีเหลืองแล้วหน้าผ่องแหละ”
“ไม่เอา” ยูส่ายหัว อันที่จริงเขาไม่รู้ความแตกต่างตอนที่เกี๊ยวเอาผ้าสองสีมาเทียบกันเท่าไร เพราะสีมันดูเหมือนกันมาก แต่เขาไม่ชอบสีเหลือง ยูกวาดตามองไปบนโต๊ะที่มีผ้าหลากสี หลากลายวางไว้อย่างละลานตา
..เอาอันไหนดี
แล้วสายตายูก็ไปสะดุดกับผ้าผืนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกถูกใจเป็นพิเศษ เป็นผ้าที่มีสีพื้นเป็นสีฟ้าสดใสเหมือนสีของท้องฟ้าในวันที่อากาศปลอดโปร่ง และมีลวดลายกลุ่มก้อนสีขาวกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ
“เลือกได้รึยัง ยู” เกี๊ยวชะโงกเข้ามาดูผ้าบนมือของยูอย่างอยากรู้อยากเห็น “เห นายเลือกลายนี้หรอ?”
“คิวมูลัส*”
(ชื่อเรียกก้อนเมฆชนิดหนึ่ง เป็นเมฆชั้นต่ำ ก่อตัวแนวตั้งลักษณะเป็นพุ่ม)
“คืออะไรอ่ะ”
“นี้ไง เมฆคิวมูลัส” ยูชี้ไปที่ลายผ้ากลุ่มก้อนสีขาว
“อันนี้ไม่ใช่แกะหรอ นี้ไงมีขากับตาด้วย” เกี๊ยวมองตามที่ยูชี้อย่างงงๆ ลายผ้านั้นมองยังไงก็เป็นภาพแกะน้อยขนสีขาวหลายสิบตัวกระโดดอยู่บนท้องฟ้า
“ไม่ๆ คิวมูลัส” ยูยืนยัน เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจมาก ลักษณะแบบนี้ ทรงแบบนี้ เป็นเมฆรูปทรงโปรดของเขาแน่นอน
“อืม.. พอมองมันก็เหมือนเมฆอยู่นะ” เมื่อเห็นว่าเพื่อนยืนยันขนาดนั้น เกี๊ยวจึงพยักหน้าและเออออตามจากนั้นก็ชักชวนให้เริ่มทำงานต่อ “ถ้าได้ผ้าแล้ว เรามาลองเย็บหน้ากากกันดีกว่า เริ่มจากตัดตามแพทเทิร์น..”
.
.
.
(3)
“แยกกันเราอยู่ รวมหมู่เราตายค่ะ!”
“ความรักก็คือโควิด ขนาดยังไม่ติดยังคิดไปเองค่า”
“พิเศษให้ใส่ไข่ ใส่ใจต้องใส่แมสก์ ครับ”
เสียงนักเรียนในห้องหัวเราะพร้อมยกแขนยกขาแข่งกันออกไอเดียคำขวัญหรือคำฮิตที่เกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันอย่างสนุกสนานในคาบเรียนวิชาภาษาไทย ตามหัวข้อที่คุณครูไทระยกมาสอนในวันนี้
“โห ทุกคนมีแต่คำขวัญที่น่าสนใจกันทั้งนั้นเลย ถ้าใครคิดออกแล้วก็เขียนลงในใบงานได้เลยนะ อย่าลืมเขียนอธิบายด้วยล่ะ”
“จะแต่งคำฮิตติดปาก หรือคำขวัญก็ได้ ยังไงก็ตามอย่าลืมล่ะว่าต้องเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และต้องเป็นคำเชิญชวนหรือรณรงค์ให้ทำเพื่อให้สถานการณ์ดังกล่าวนี้ดีขึ้นนะครับ” ไทระอธิบายพลางย้ำถึงจุดสำคัญของใบงานอีกครั้ง “ทำเสร็จแล้วรวบรวมส่งท้ายคาบนะครับ"
“ครับ/ค่ะ"
ยูนั่งฟังเพื่อนๆ พูดคุยกันเรื่องคำขวัญอยู่เงียบๆ เพราะถ้าให้เขายกมือแข่งกับเพื่อนๆ คงทำไม่ได้ เขายังคิดอะไรไม่ออกเลย
...คำขวัญอะไรดีนะ?
...สถานการณ์ปัจจุบัน
...ทำให้ดีขึ้น?
“อืออ” ยูคิดจนหัวแทบระเบิดก็ยังคงไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรลงในใบงาน วิชาภาษาไม่ใช่วิชาที่เขาถนัดเลยจริงๆ
...วิธีป้องกันที่ครูสอนมา
...ห่าง 2 เมตร
...ใส่หน้ากาก
...ล้างมือบ่อยๆ
“โอ๊ะ” และก็เหมือนคิดอะไรออก ยูจึงลงมือเขียนคำขวัญที่ตัวเองคิดออกลงบนใบงาน และลงมือตกแต่งใบงานด้วยดินสอสีให้สวยงาม
‘คำขวัญ : ปิดปาก ยืนห่างๆ ล้างมือ’
‘อธิบาย : สถานการณ์จะดีขึ้นต้องปิดปาก ยืนห่างๆ กัน ล้างมือบ่อยๆ’
- pangkawjoaประธานนักเรียน
Taira Payakaroon
อาจารย์ภาษาไทย
3306
+611 M 422 K 265
PASSPORT
:
(2580/21000)
:
Re: [ Quest 5 ] : สถานการณ์ที่ดีขึ้น
- Plerng Part:
ช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน
หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทางโรงเรียนจึงเริ่มให้นักเรียนกลับมาเรียนตามปกติ ตอนนี้ผมกับฮ่องเต้กำลังเดินไปที่ห้องเรียนประจำชั้น
“เฮ้อ~ แอบขี้เกียจไปเรียนเหมือนกันนะ” ฮ่องเต้บ่นอุบอิบพลางทำหน้ามุ่ย
เด็กหนุ่มหน้าหวานปานน้ำผึ้งและผมสีช็อกโกแลตคนนี้คือ ‘ฮ่องเต้’ รูมเมทของผมเอง ทั้งใบหน้า ทั้งสีผม และทั้งส่วนสูงที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบต้นๆ ทำให้เขาดูหวานนุ่มนิ่มไปหมด แต่นั่นมันก็แค่รูปลักษณ์ภายนอก ส่วนภายในของฮ่องเต้นั้นกลับตรงข้าม
ผมไม่ได้หมายความว่าเขาโหดร้ายหรอก เพียงแค่…
“เพลิง กลับไปเรียนออนไลน์เหมือนเดิมไม่ได้เหรอ” ฮ่องเต้เงยหน้ามาออดอ้อนผม แต่ถึงอ้อนไปผมก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก
ผมเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ จนฮ่องเต้ได้แต่ทำแก้มป่องอย่างแง่งอน
พวกเราเดินมาถึงห้องเรียนประจำชั้น เมื่อเข้าไปในห้องก็มีเพื่อนบางส่วนนั่งอยู่ในห้องก่อนแล้ว บางคนก็กำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ บางคนก็นั่งฟังเพลงเงียบๆ บางคนก็หันมาส่งยิ้มให้พวกผม ส่วนบางคน…
“เพลิง!”
ก็พุ่งเข้ามาหา…
คนที่พุ่งเข้ามาหาคือ ‘เหมือนฝัน’ เพื่อนผู้หญิงห้องเดียวกัน
เมื่อก่อนเหมือนฝันไม่ได้ตามติดผมแบบนี้หรอก แต่ตั้งแต่ที่ผมได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน ทำให้ต้องติดต่อและให้ความช่วยเหลือใครหลายคน แล้วก็มีโอกาสได้คุยกับเหมืิอนฝัน ไปๆ มาๆ เหมือนฝันก็มักจะชอบเข้ามาหาผมตลอด
ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าทำไมเธอถึงชอบเข้ามาหา…
“ไม่ได้เจอหน้าเพลิงตรงๆ แบบนี้ตั้งนาน! คิดถึงจัง!”
เอ๊ะ!?
ผมตกใจจนเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะได้ยินเสียงฮ่องเต้ตอบกลับไปแทน
“แต่พวกเราเฉยๆ นะ” ฮ่องเต้บอกเสียงเรียบ แล้วหันมาหาผม “ไปกันเถอะเพลิง”
“อะ...อือ” ผมพยักหน้า แต่ก่อนจะเดินไปผมก็หันไปยิ้มทักทายเหมือนฝันเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
ทั้งๆ ที่ไม่น่ามีอะไรผิดปกติ แต่ทำไมถึงรู้สึกถึงบรรยากาศกดดันระหว่างฮ่องเต้และเหมือนฝันได้นะ…
ช่างเถอะ ผมคงคิดมากไปเอง
เมื่อผมมานั่งที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีเพื่อนสองสามคนเดินเข้ามาทักทาย ผมก็ทักกลับไปตามปกติ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงกลัวการเข้าสังคม แต่เพราะได้มาอยู่ที่ควิ้นท์ ได้เจอแต่สิ่งที่ดี ผมถึงได้มีความกล้าเผชิญหน้ากับผู้คนอีกครั้ง
พอทักทายเพื่อนเสร็จ ผมก็มองสำรวจรอบห้องอีกครั้ง รู้สึกคิดถึงจัง...คิดถึงเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ
ผมยิ้มกับตัวเองและรู้สึกสงบ ผมมีความสุขจริงๆ ราวกับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดร้ายแรงไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ขอให้ชีวิตสุขสงบแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะ
และแล้วก็ถึงคาบเรียนคหกรรม
ในคาบนี้ อาจารย์ให้นักเรียนเย็บหน้ากากอนามัยคนละหนึ่งชิ้น โดยจะเย็บเป็นลายอะไรก็ได้ ผมนั่งมองวัสดุและอุปกรณ์ตรงหน้า แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเย็บเป็นลายอะไรดี พอหันไปมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ข้างขวาก็เห็นว่าเขาเริ่มลงมือแล้ว
“ฮ่องเต้จะเย็บเป็นรูปอะไรเหรอครับ”
ฮ่องเต้หยุดมือแล้วหันมาส่งยิ้มให้ผม “เราจะเย็บเป็น…”
“ฉันจะเย็บเป็นรูปเพลิงนะ!”
ก่อนที่ฮ่องเต้จะทันได้พูดจบประโยค ก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาจากทางที่นั่งด้านซ้ายของผม เจ้าของเสียงคือเหมือนฝันนั่นเอง
“ฉันอยากเย็บเป็นรูปเพลิง อิๆ” เหมือนฝันย้ำอีกรอบ พลางหัวเราะคิกคักกับตัวเอง ก่อนที่เธอจะมองไปทางฮ่องเต้อย่างผู้ชนะ
ผมได้ยินเสียงเดาะลิ้นไม่พอใจของฮ่องเต้ด้วย แต่เขาก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร แล้วเริ่มเย็บหน้ากากของตัวเองต่อ
อะ...อ้าว ผมยังไม่รู้เลยว่าฮ่องเต้จะเย็บรูปอะไร แต่รู้สึกว่าไม่ควรถามต่อชอบกล…
ทั้งฮ่องเต้และเหมือนฝันต่างตั้งอกตั้งใจเย็บหน้ากากของตัวเอง ส่วนผม...ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเย็บรูปอะไรดี
อืม….อืม….อืม….
ระหว่างที่พยายามคิดอยู่ก็มีประโยคหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
‘พี่เพลิงเหมือนกระต่ายเลยค่ะ’
!?
น้ำเสียงและใบหน้าของผู้ที่พูดประโยคนั้นผุดขึ้นมา
ษร...เธอเคยบอกว่าผมเหมือนกระต่ายนี่นา พอนึกถึงตอนที่น้องเขาบอกพร้อมรอยยิ้มละมุนแล้ว ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้มาทันที
“คิกๆ”
“เอ๊ะ? หัวเราะอะไรเหรอ”
ผมคงเผลอส่งเสียงหัวเราะออกไป ฮ่องเต้เลยหันมาถามด้วยสีหน้างุนงง
ผมเลยส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็ยังยิ้มอยู่บางๆ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่คิดออกแล้วว่าจะเย็บหน้ากากเป็นลายอะไรดี”
ผมบอกฮ่องเต้แบบนั้นแล้วเริ่มลงมือเย็บหน้ากากของตัวเองทันที
...ผ่านไปพักหนึ่ง…
เสร็จแล้ว!
ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเอง มันคือหน้ากากอนามัยสีดำทั้งผืน ตรงมุมซ้ายล่างมีลายหน้ากระต่ายสีขาว หูยาว ตาแดง ถูกปักไว้ ใบหน้าของกระต่ายที่กำลังยิ้มแย้มสดใสทำให้ผมนึกถึงรอยยิ้มของษร แล้วก็เผลอหลุดยิ้มออกมา
ช่างเป็นหน้ากากที่ทำให้ผมทั้งภาคภูมิใจและอบอุ่นหัวใจมากเลยครับ~++++++++++++++++++++++++++++++
สองวันต่อมา ในคาบเรียนภาษาไทย
การเรียนการสอนเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทางและดำเนินตามปกติ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจออาจารย์ไทระเป็นการส่วนตัวเท่าไหร่ คาดว่าอาจารย์คงยุ่งกับการเตรียมการสอน
ตอนนี้ได้เรียนคาบของอาจารย์แล้ว ผมก็ตั้งใจว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด แต่ดันคิดงานที่อาจารย์ให้มาไม่ออกสักทีนี่สิ
อาจารย์ไทระสั่งงานไว้ว่า ‘ให้ทุกคนคิดคำฮิตติดปากหรือคำขวัญที่เกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสนะครับ’
จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ผมอยากปรึกษาอาารย์ไทระจัง แต่ดูเหมือนเพื่อนหลายคนก็อยากปรึกษาอาจารย์กันแฮะ
ถ้างั้นผมลองคิดเองดีกว่า…
“เพลิงคิดได้หรือยังเหรอ” ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ชะโงกหน้ามาถาม “เรายังคิดไม่ออกเลย”
“ผมก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันครับ”
แล้วเราสองคนก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ใส่กันก่อนที่จะคอตกกันทั้งคู่ ผมหันมาตั้งใจลองคิดดูอีกครั้ง
อืม...จะเขียนว่าอะไรดีนะ…
ถูเจล...ใส่หน้ากาก…
แล้วอะไรต่อดี...ถู...ต้องถูไปถูมา ถูเสร็จเอามือไปปิดปาก เจลจะเข้าปากไหม…
ไม่ใช่แบบนั้นสิ...นี่ผม...กำลังสับสนความคิดของตัวเองหรือเปล่านะ
อืม...ยากจัง…
เจล...เจลแล้วอะไรดี...
อ๊ะ!
แบบนี้น่าจะได้...มั้ง?
ผมเขียนข้อความที่ตัวเองคิดลงในกระดาษแล้วนำไปส่งให้อาจารย์ไทระ อาจารย์กวาดสายตาอ่านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มสดใสให้ผม
“เก่งมากครับ”
อาจารย์ไทระเอ่ยชม ผมจึงยิ้มดีใจส่งกลับไปบ้างก่อนจะมองไปที่กระดาษของตัวเองที่ตอนนี้อยู่ในมือของอาจารย์
"ปิดปากเอาไว้ มือไปกดเจล ป้องกันไวรัส"
และนั่นคือข้อความที่ผมเขียนลงไปครับ
Signature ------------------------------------------------>
初めまして、どうぞよろしくお願いします。
|
|