Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
- EURChairman's Club
Elite Urban Royle
ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง
4693
+3,156 M 923 K
PASSPORT
:
(142575/181250)
:
Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
ที่จะลุกขึ้นมาแอบช่วยทำงานตอนเรากำลังหลับอยู่ ถ้าเปรียบ
ภูติเป็นเสมือนจิตใจของเราเองนั้น จิตใจของเราจะมี "รูปร่าง"
เป็นยังไงกันนะ..?
ภาจกิจนี้อยากให้จินตนาการถึงจิตใจของตัวละครและปั้นเป็น
รูปร่าง เช่น ถ้าหากชอบดูแลคนอื่น จึงมีรูปร่างคล้ายกับผู้หญิง
ที่มีเครื่องปฐมพยาบาลประจำกาย เป็นต้น แต่ไม่จำเป็นว่าจะ
ต้องมีรูปร่างเหมือนมนุษย์เสมอไป อาจมีรูปร่างเป็น สัตว์ ภูติ
ปิศาจ หรือ สิ่งของมีชีวิต เป็นต้น ตามแต่จินตนาการของคุณ
เพียงแต่ในภารกิจนี้คุณจะไม่สามารอธิบายรูปร่างของจิตใจด้วย
ภาพวาดได้ แต่ต้อง "เขียนบรรยาย" ถึงรูปร่างและลักษณะจิตใจ
ด้วยความสามารถที่มีอยู่ล้วนๆ
ไอเดียภารกิจโดย : @Randel
ระยะเวลาภารกิจ พิมพ์ว่า:SAT 16 JUN 2018 ( 12.00 TH ) - SAT 30 JUN 2018 ( 23.59 TH )
รายละเอียดภารกิจ พิมพ์ว่า:
เขียนบรรยายเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้คุณสามารถดึงหรือมองเห็น
จิตใจของตัวเองออกมาได้เป็นครั้งแรก และอธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างตัวเองกับจิตใจ ยกตัวอย่างเช่น...
คุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่มีความกดดันหรือมีผลต่อจิตใจมากๆ
จึงทำให้มองเห็นภูติในจิตใจของตัวเองได้ เช่น ทำการบ้านไม่ได้
ส่งผลให้เกิดความเครียดมาก เลยหยุดทำการบ้านและไปนอนพัก
สักพักภูติก็ออกมาช่วยทำการบ้านแทน ทำให้คุณได้เห็นว่าจิตใจ
ของคุณมีลักษณะคล้ายภูติ และบรรยายลักษณะของภูติออกมาให้
เพื่อนๆสามารถจินตนาการตามได้ เป็นต้น
** ภารกิจนี้มีความเป็นแฟนตาซีเต็มที่ ดังนั้นรายละเอียดในการ
เขียนบรรยายจึงไม่จำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงใดๆ **
กฏการให้สแตมป์ พิมพ์ว่า:เขียนบรรยาย 100%
วัดจากคุณภาพผลงานด้านการเขียนตาม Standard ส่วนบุคคล และ
ความเหมาะสมระหว่าง รูปร่างจิตใจ กับ คาแรกเตอร์และนิสัยโดยรวม
ของตัวละครคุณ โดยตรวจภารกิจบนพื้นฐานดังนี้ "คลิ๊กที่นี่"
รางวัลคุณภาพผลงาน
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คสูงกว่ามาตรฐานมาก (100%)
S - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีนิลสุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
+10 STAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลกับทางโรงเรียนได้
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐาน (80%+)
A - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้โดดเด่นกว่ามาตรฐาน (75%+)
B - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีไพลิน สื่อถึงความลึกล้ำ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ดีมากเป็นที่น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
✎ C. ผู้ที่ทำภารกิจได้ตามมาตรฐานทั่วไป (50%+)
C - CLASS STAMP
ตราประทับระดับกลางในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีมรกต สื่อถึงความมั่นคง มีมูลค่า +50 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ปานกลางเป็นที่น่าพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
✎ D. ผู้ที่ทำภารกิจได้ต่ำกว่ามาตรฐานควรแก่การพัฒนา (35%+)
D - CLASS STAMP
ตราประทับระดับต่ำในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีแอเมทิสต์ สื่อถึงความเรียบง่าย มีมูลค่า +35 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจผ่านเกณฑ์ตามที่ได้รับมอบหมายไว้
รางวัลแห่งความขยัน
รางวัลสำหรับแจกให้กับผู้ที่ส่งภารกิจเป็นคนแรกเท่านั้น เพื่อให้กำลังใจผู้ที่มี
ความขยันในการทำภารกิจส่งผู้อำนวยการโรงเรียน
กล่องแห่งความขยัน
กล่องของขวัญที่ทางโรงเรียนมอบให้กับผู้ส่งภารกิจหลักเป็นคนแรก เมื่อเปิดกล่องแล้วสามารถเลือกรับสกิลบัฟจำนวน 1 สกิลได้ดังนี้...
หรือสามารถใช้ STAR PIECE จำนวน 20 ชิ้นแลกการใช้งานสกิลบัฟ 1 สกิลจาก...
อ่านข้อมูลสกิลบัฟได้ที่ "คลิ๊กที่นี่"
รางวัลเกียรติยศแห่งความสร้างสรรค์
ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์
เกินขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้น
อยู่กับผลโหวตจากสมาชิกคอมมูสูงสุดในภารกิจนั้นๆ โดยการกดปุ่ม VOTE ขวาบน
ของความคิดเห็นที่มีผลงานที่คุณชื่นชอบ "อ่านเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่"
GOLDEN HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองคำแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก
SILVER HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศเงินแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการ
BRONZE HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองแดง มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าดึงดูดใจผู้อำนวยการ
Spectacular Award
รางวัล Spectacular จะถูกมอบให้สำหรับผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานได้ประทับใจสปอนเซอร์
จากบริษัท CHAIRMANS ® เป็นอย่างมาก โดยผลงานนั้นจะต้องมีเสน่ห์ในรูปแบบต่างๆ
ที่ดึงดูดสายตาและจิตใจของสปอนเซอร์ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณภาพผลงานแต่อย่างใด
แต่จะขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ เสน่ห์ของผลงาน ความกลมกล่อมของ
ภาพรวม เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลนี้จะได้รับการประกาศเกียรติคุณ ณ ความคิดเห็นที่
ลงผลงาน และใต้ชื่อกระทู้ภารกิจในหน้ากระดานภารกิจ พร้อมทั้งของรางวัล ดังนี้
** อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัลนี้ได้โดย "คลิ๊กที่นี่" **
เหรียญตราที่ใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในโรงเรียนหรือการร่วมกิจกรรมพิเศษที่ทางบริษัทสปอนเซอร์จัดขึ้น โดยสามารถใช้แต้มสะสมจาก Spirit Point ในการแลกได้
+20 STAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลกับทางโรงเรียนได้
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
466
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Re: Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
- จิตใจของวาริ:
จิตใจของวาริ
.
.
.
หนึ่ง
สอง
สาม
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลอกไปมาตามสิ่งมีชีวิตที่บินโฉบไปเมื่อครู่ ลำคอของเขาแห้งผากเพราะไม่ได้กินหรือดื่มอะไรมาตั้งแต่เย็นเมื่อวาน
ร่างกายพาดไปตามกิ่งไม้ใหญ่พลางซบหน้าลงบนหลังมืออย่างเหม่อลอย ไหล่ยกขึ้นเล็กน้อยตามการหายใจก่อนจะเบนสายตากลับไปมองรังนกที่อยู่เยื้องไปไม่ไกลอีกครั้ง
หิว…
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ตัดสินใจใช้ความแข็งแรงของร่างกายค่อยๆ ปีนไปยังอีกกิ่งอย่างเงียบเชียบ
นกน้อยยังคงอยู่ในรัง ลูกของมันขนยังไม่ขึ้นดีและกำลังร้องขออาหารจากแม่ที่เพิ่งบินออกไปเมื่อกี้
วาริใช้มือค้ำกิ่งไม้และยืดตัวขึ้นหวังจะคว้าลูกนกพวกนั้นมาแก้กระหายสักตัวสองตัว
อีกแค่นิดเดียว
“หยุดนะ!”
เสียงเล็กๆ ดังขึ้นพร้อมกับร่างของลูกหมาป่าที่กระโดดมาขว้างหน้า วาริสะดุ้งตกใจก่อนจะแยกเขี้ยวขู่ เป็นเด็กเป็นเล็ก
จะมาปีนเกลียวรุ่นพี่ได้อย่างไร เขาคิดและคำรามในลำคอ จ้องมองลูกหมาป่าและกดสายตาลงต่ำเพื่อให้รู้ว่าใครที่มีอำนาจ
แต่ถึงกระนั้นลูกหมาป่าที่มีขนสีขาวก็ไม่ยอมแพ้ พยายามส่งเสียงขู่กลับมาเช่นกัน อาจจะเพราะความหิวตาลายหรืออะไรก็ตาม
ยิ่งทำให้วาริรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม หรือเขาควรจะกินลูกหมาป่านี่ดี? ไม่สิ ไม่ดีแน่ พ่อแม่ของเจ้านี่คงได้มาขย้ำคอเขาแหง
วาริมองข้ามเจ้าก้อนขนและเบนความสนใจไปยังลูกนกอีกครั้ง ให้ตาย ตอนนี้เขาหิวแทบบ้า
จะจำศีลตอนนี้ก็ไม่ได้เพราะที่ที่เขาอยู่ตอนนี้มันโคตรอภิมหาร้อน เมื่อปีก่อนอยู่ๆ ก็ถูกจับออกมาจากป่า
โดนฝึกให้ยืนสองขาแถมต้องใส่สิ่งปกคลุมร่างกายที่เรียกว่าเสื้อผ้า น่ารำคาญจริงๆ แถมเนื้อที่พวกมนุษย์เอามาให้ก็รสชาติแปลกสิ้นดี
‘ค่อยๆ ทำเนื้อให้สุกนะครับ เขาจะได้ชิน’
คิดถึงป่าชะมัด ถึงที่นี่จะมีต้นไม้ แต่มันไม่เหมือนกัน
เขาถูกฝึกการเป็นมนุษย์เบื้องต้นมาแล้ว และก็ค่อนข้างฉลาดเสียด้วย วาริจำตัวอักษรภาษาอังกฤษได้ภายในหนึ่งเดือนครึ่ง
เดินสองขาและเข้าห้องน้ำได้เองโดนที่ไม่ฉี่รดพรมอีก เข้าใจด้วยว่าแท้จริงแล้วตัวเองก็คือ “มนุษย์” เหมือนกัน
เขาถูกส่งมาที่นี่เพื่อเรียนรู้การเป็นมนุษย์ต่อไป แต่ถามเขาหรือยัง ว่าอยากเป็นมนุษย์หรือเปล่า?
วาริหายใจฟึดฟัดและบดกรามอย่างอารมณ์เสีย
‘ห้ามกินนกอีก เข้าใจไหมวาริ’
ร่างสมส่วนที่แข็งแรงเกินวัยกระโดดลงจากต้นไม้ เขาควรจะกลับไปกินเนื้อทำสุกรสชาติปะแล่มนั่นเพื่อไม่ให้มีปัญหา เกิดโดนยิงยาสลบอีกนี่ไม่สนุกเลยนะ
“กรรรร!”
วาริกระโดดสี่ขาถอยหลังทันทีเพราะสิ่งที่กระโดดตามมาคือเจ้าลูกหมาป่าเมื่อกี้ ตาของมันมีสีเหลืองแต่ขนสีขาวเหมือนหิมะ
เจ้าลูกหมาป่าเดินนวยนาดเข้ามาหาพร้อมกับเชิดหน้าอย่างเหนือกว่า และนั่นยิ่งทำให้วาริอารมณ์เสียมากขึ้น
“อยู่ที่นี่นายไม่ควรกินของดิบนะ พวกมนุษย์จะตกใจได้” เจ้าลูกหมาพูด วาริหัวเราะในลำคอ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น
ตอนที่เขากระโจนเข้าไปกินกระต่ายในบ้านครั้งแรกนี่โดนอบรมไปนานสองนานเชียว วาริข่มความหิวของตัวเองไว้
ก่อนจะลุกยืนสองขาและเดินกลับไปยังหอพัก เขายังไม่ชินกับที่นี่เท่าไรนัก กลิ่นที่แตกต่างทำให้เขารู้สึกคัดจมูก
เจ้าลูกหมาป่าเดินดุ๊กดิ๊กตามมา ถึงจะสงสัยก็เถอะว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่เขาจะไม่ถามหรอก
วาริเปิดประตูห้องอย่างเงียบเชียบ มองไปที่เตียงก็ยังเห็นสิ่งที่เรียกว่ารูมเมทนอนหลับอยู่ แหงสิ ตอนนี้มันเพิ่งจะหกโมงครึ่ง
มนุษย์นี่เป็นสัตว์ที่นอนเยอะจริงๆ ดวงตาสิเข้มในความมืดสลัวมองสอดส่องไปทั่วห้องหวังว่าจะมีก้อนเนื้อสักก้อนหรืออะไรสักอย่าง
ให้เขายัดใส่ปากได้ กลิ่นเหงื่อและเนื้อที่ลอยมาจากเตียงทำให้เขาน้ำลายสอ บ้าจริง เมื่อวานเขาไม่น่าหนีออกไปนอนข้างนอกเลย
ไม่งั้นเจ้ามนุษย์ที่นอนอยู่บนเตียงนั่นคงจะพอช่วยหาอาหารให้ได้
วาริสาวเท้าเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น โน้มใบหน้าลงสูดกลิ่น ‘เหยื่อ’ ที่กำลังนอนหลับสบายใจ ดวงตาภายใต้ความมืดแวววาววิบวับ
อ้าปากหวังกัดก้อนเนื้อนิ่มๆ เข้าปากสักคำก็ยังดี แต่ยังไม่ได้ทำตามที่คิด สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นเจ้าก้อนขนสีขาวอีกครั้ง
มันทำหน้าขู่เหมือนว่าถ้าเขาฝังเขี้ยวลงบนคอคนตรงหน้าเมื่อไรมันจะวิ่งมากระชากเขาทันที
กลัวตายแหละ
แต่ก็ยอมกลับไปยืนตัวตรงตามเดิม
อดทนไว้ อดทนไว้
กินไม่ได้ กินไม่ได้ กินไม่ได้
วาริโยนตัวเองลงบนเตียงที่ตั้งอยู่อีกฝั่ง ใช้ผ้าห่มพันตัวและมุดหน้าลงในนั้น นอนซะ เดี๋ยวก็หายหิวเองล่ะน่า
เจ้าลูกหมาป่ากระโดดขึ้นเตียงและเดินมานอนขดตัวอยู่ตรงหน้า
เหอะ ถ้าไม่กลัวว่าพ่อแม่ของเจ้านี่ที่ตัวใหญ่กว่ามาขย้ำคอ เขาจะจับมันฉีกเป็นชิ้นๆ ยัดลงท้องซะเลย
ไอ้หมาอวดดีเอ๊ย
มาส่งภารกิจแล้วครับบบ ผมไม่ได้บรรยายเยอะเสียเท่าไรเลยขอมาอธิบายเพิ่มเติมตรงนี้ด้วยแล้วกันนะครับ
ทำไมถึงเป็นลูกหมาป่าสืขาว? เพราะตั้งแต่เด็กหลังจากตกเรือวาริก็ถูกเลี้ยงดูโดยหมาป่ามาตลอดทำให้มีความสัมพันธ์
กับเผ่าพันธ์นี้เป็นพิเศษ แล้วก็เป็นจิตใต้สำนึกในฐานะมนุษย์ด้วย ประมาณจริยธรรมกับศีลธรรมอะไรแบบนั้น
เพราะถ้าเป็นสัตว์จริงๆ ก็คงไม่ทนหิวขนาดนี้หรอกเนอะผมว่า ฮ่าๆๆ
B - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีไพลิน สื่อถึงความลึกล้ำ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ดีมากเป็นที่น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
กล่องแห่งความขยัน
กล่องของขวัญที่ทางโรงเรียนมอบให้กับผู้ส่งภารกิจหลักเป็นคนแรก เมื่อเปิดกล่องแล้วสามารถเลือกรับสกิลบัฟจำนวน 1 สกิลได้ดังนี้...
หรือสามารถใช้ STAR PIECE จำนวน 20 ชิ้นแลกการใช้งานสกิลบัฟ 1 สกิลจาก...
อ่านข้อมูลสกิลบัฟได้ที่ "คลิ๊กที่นี่"
คำวิจารณ์จากกรรมการตัดสิน พิมพ์ว่า:ตัดสินโดย : @pangkawjoa @peemung @dedog
การเดินเรื่องอาจจะห้วนสั้นและเร็วเกินไปทำให้อ่านแล้วงงนิดหน่อย ในช่วงเริ่มแรก
ไม่ได้เกริ่นเลยว่าลูกหมาป่าตัวนี้คือภูติภายในจิตใจ หากไม่รู้ว่านี่คือภารกิจที่เขียนถึง
ภูติของตัวเอง ก็จะนึกว่าลูกหมาป่าตัวนี้คือสัตว์เลี้ยงจริงๆ เป็นสัตว์เลี้ยงมหัศจรรย์ที่
สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ประมาณนั้น แต่โดยรวมนั้นถือว่าโอเค
ส่วนการเลือกภูติเป็นหมาป่าแล้วสื่อถึงพ่อแม่ครอบครัวที่วาเชื่อฟังจึงเลือกหมาป่า
ให้มาสอนว่าควรทำอะไร ไม่ได้แทนหมาป่าแบบตรงตัว ชอบแนวคิดนี้พอสมควรครับ
ลักษณะรูปร่างของลูกหมาป่าบรรยายได้ดี ทำให้สามารถจินตนาการออกได้ว่าภูติมี
รูปร่างเป็นอย่างไร
ปกติวาริจะเขียนเรื่องค่อนข้างไปทางสีเทา แต่คราวนี้ออกมาทางสีขาวทำให้รู้สึกว่า
แปลกใหม่ดีครับ วาริวางพล็อตเก่ง แต่ยังเขียนบางประโยคได้ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
นับว่ายังสามารถพัฒนาได้อีกไกลแน่นอนครับ
- wixritx
Wila Krung
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2
444
+25 M 47 K 668
PASSPORT
:
(650/750)
:
Re: Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
- 1:
- ตู้ม!!
'อะะ อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น'
เสียงทุบบางอย่างดังสนั่น พร้อมกับเสียงหอก และเครื่องโลหะขนาดใหญ่ ดังกระทบกัน พร้อมกับควันสีทองที่กระจายไปทั่วทุกที่
ร่างของหญิงงาม เจ้าของเสียง และเครื่องโลหะดังกล่าว โผล่พ้นออกมาจะควันสีทอง พร้อมสีหน้าของเธอที่เป็นกังวล
เหมือนเธอกำลังหาอะไรบางอย่าง
จันทร์มองร่างนั้นด้วยอาการตกตะลึงจนหญิงงามผู้นั่นสังเกตเห็น และหันมามองจันทร์
ดวงตาสีส้มประกายจ้องมองเธอ พร้อมกับเอ่ยภาษาบางอย่างที่ไม่เข้าใจ และไม่ได้ยิน
όπου
เฮือก!
จันทร์ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมายามดึก เธอกวาดตาไปทั่วบริเวณในห้องนอน มองตรงที่นาฬิกาหัวเตียง
ประกดว่าเข็มสั้นของนาฬิกากำลังชี้ไปที่เลขสาม...
'ตีสาม? เวลานี้อีกแล้ว...'
'นี้มันวันที่สามแล้วนะ...'
เธอคิดในใจพลางเกิดอาการสั่นกลัว
ดวงตาส้มสีทองคู่นั้น
เธอผู้นั่นต้องการอะไรกันแน่...
กุกกักๆ
เสียงบางอย่างดังขึ้นในของโถง ทำให้จันทร์สะดุ้งอีกรอบ
"อะไรน่ะ"
เธอคลานลงมาจากเตียงพร้อมกับควานหาไม้ค้ำอย่างลุกลี้ลุกลน เพื่อที่จะไปดูเสียงประหลาด
ผี ขโมย สัตว์ ?
ในหัวของเธอคิด ถึงเธอจะกลัวจนตัวสั่น แต่ก็ต้องรู้ให้ได้ ถ้าเป็นขโมย หรือสัตว์อันตราย เธอก็คงจะโดนทำร้าย
แต่ถ้ามันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ มันก็น่าจะเกี่ยวข้องกับความฝันของเธอ
จันทร์ค่อยๆเลื่อนมือไปเปิดไฟห้องโถง
สิ่งที่ประกดคือ...
ไม่มี
"..."
'คงหูแว่วละมั้ง ให้ตายเถอะเรา นี่ก็ขึ้นมัธยมแล้ว ทำไมถึงเป็นเด็กปอดแหกแบบนี้นะ'
จันทร์คิดในใจก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
"ช่วยด้วย..."
"!!?!?"
เสียงบางอย่างดังขึ้นจนอีกครั้ง คราวนี้เป็นคำพูดที่ได้ยินชัดเจน จันทร์สะดุ้งตกใจมากจนเกือบปล่อยมือจากไม้ค้ำ เธอรีบเอามือปิดปากตัวเองทันทีเพื่อไม่ให้สงเสียงร้องจนทำให้คนข้างห้องตื่น ตัวเธอกลับมาสั่นอีกครั้ง บวกกับอาการที่หวาดกลัวกว่าเดิม
"อะไร ใครน่ะ ออกมานะคะ"
"งึ ช่วยเราด้วย"
ร่างสีดำฟูๆประกดตัวออกมาจากหลังตู้เย็น พร้อมกับบ่นโอดโอยอย่างน่าสงสาร
แต่มันทำให้จันทร์ช็อคหนักกว่าเดิม
'ลูกแกะ?!'เธอคิดในใจ
'ขนสีดำด้วย พูดได้ด้วย?! ฝัน มันต้องเป็นฝันแน่ๆ เอ๊ะ ถ้าไม่ใช่ฝัน แล้วทำไม.. เอ๊ะ ฟรฟบไบฟขำนดาแบลฟ'
"เรา..."
"เอ๊ะ ?!"
"เราหิว"
"..."
"ต้องการอาหาร..."
"..."
ในหัวของจันทร์มันเวิ้งว้างไปหมด เธอไม่รู้ว่าสิ่งตรงหน้าที่พูดกับเธอนั่นคืออะไร แต่เธอค่อยๆเดินไปที่ข้างตู้เย็น และเปิดมัน
ในตู้เย็นมีสลัด อาหารกระป๋อง น้ำ นม ไข่ ผลไม้บางส่วน
เธอหยิบ สลัด และผลไม้ ก่อนที่จะเดินไปหยิบถ้วยจานมาเทอาหาร
"นี่ กินซะ"
เธอวางจานอาหารลงที่พื้น พร้อมกับเรียกสัตว์ประหลาด (?)ให้มากิน
แกะขนสีดำตัวนั่นเดินเตาะแตะมาที่จานข้าวอย่างไว พร้อมกับกินมันอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่มันกิน จันทร์ก็ยังคงมองมันแบบเหลือเชื่อ
นี่ฉันคุยกับลูกแกะพูดได้เหรอเนี่ย
ในหัวเธอมีทำถามมากมาย ที่จะถามมัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ควรจะรอให้ก้อนกลมๆนี่กินให้เสร็จก่อน
พอเจ้าลูกแกะกินเสร็จ มันก็นอนโชว์พุงอย่างสบายใจ จันทร์เก็บจานไปไว้ที่อ่างก่อนจะมานั่งเปิดประเด็นสำคัญ
"เธอเป็นใคร"
"ตัวท่านที่อยู่ข้างใน..."
จันทร์เค้นถามเจ้าแกะดำสารพัด โดยสรุปแล้วเหมือนแกะวิเศษตัวนี้จะเป็นจิตใจของจันทร์ตอนนี้
"เราเคยมีขนสีขาว แต่เมื่อท่านพิการ ทำให้ขนของข้าเปลี่ยนสี ซึ่งเป็นชีวิตที่หม่นหมองของท่าน"
"ฉันขอโทษนะ"
"อึ้ม"
"แล้วเธอมาหาฉัน เธอต้องการอะไร" เด็กสาวยังคงถามอีกรอบ
"ท่านหญิงฝากพรมาให้ท่านน่ะ"
"พร ? ท่านหญิง ?"
"เทพีอาธีน่า เทพีแห่งปัญญา สงคราม และหัตกรรม"
"ทำไมเธอต้องให้พรฉันละ"
"ท่านหญิงเป็นเทพีที่ปกปักรักษาตัวท่าน ไม่แปลกใจเลยหรอที่ท่านเกิดมามีสติปัญญาหลักแหลม และมีความอดทน ไม่ย่อท้อ เป็นเพราะท่านหญิงอาธีน่าผู้นี้แล ที่ทำให้ท่านเป็นท่าน"
"งั้นหรอ" จันทร์ก้มหน้าคิดบางสิ่งบางอย่าง ถ้าหากเป็นจริงๆ ผู้หญิงที่เธอเห็นในฝันก็คงจะเป็นเทพี ที่เจ้าแกะดำพูด
แต่ก็แปลกใจ ทำไมนางถึงต้องมาหาจันทร์ด้วยสีหน้าเป็นกังวล แถมมาหาสามวันติดกันขนาดนี้ละ
เธอสลัดความคิด แล้วหันไปคุยกับเจ้าแกะดำต่อ
"เรื่องพรช่างมันเถอะ ชีวิตฉันตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่เธอน่ะจะกลับไปยังไง"
ในขณะที่จันทร์กำลังถาม อยู่ๆก็เกิดแสงแวววาวทั่วห้องของเธอ
ร่างหญิงงามในฝันก็ประกดขึ้น แต่ไม่ชัดเท่าในฝัน นางยื่นมือมาหา ก่อนที่เจ้าแกะดำตัวนั้นจะวิ่งขึ้นไปหาหญิงงาม
"ท่านหญิงอาธีน่ามารับเรายังไงละ" ลูกแกะดำพูด
"Σας ευχαριστώ για τη φροντίδα της κόμης μου"
"..."
"καλή τύχη"
หญิงงามผู้นั่นกล่าวกับจันทร์ พร้อมรอยยิ้มที่สดใส ภายใต้หมอกและควันสีทอง มันเป็นภาษาที่เธอไม่เข้าใจ แต่เหมือนนางจะหาสิ่งที่หาอยู่เจอแล้ว
เมื่อหญิงงามพูดจบ ร่างของเธอ และเจ้าแกะก็รอยหายไปออกนอกหน้าต่าง เสียงหอก และโลหะยังคงดังสนั่นอยู่ในโสตประสาท
จันทร์วิ่งไปเกาะขอบหน้าต่างประกดว่า สิ่งที่เธอเห็นได้ลอยขึ้นท้องฟ้าหายไปแล้ว
เหลือแต่เสียงของเจ้าแกะน้อยดังแว่วแต่ไกลๆ
"ขอบคุณสำหรับอาหารของท่าน ข้าจะไม่ลืมบุณคุณนี้เลย"
เสียงร่าเริงของเจ้าแกะดำตัวน้อย ทำให้จันทร์ยิ้มออกมา
"ขอบคุณเธอเหมือนกัน.. ขอให้ขนของเธอกลับมาเป็นสีขาวอีกครั้งนะ"
เธอบ่นพึมพำอยู่อย่างนั้น พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นออกมา
ในเวลา หกโมงเช้า
อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ไม่ใช่ความฝัน....
- Spoiler:
จริงๆอยากแต่ให้เรื่องมันซับซ้อนน่ะค่ะ ประกดว่าซับซ้อนจนไม่รู้เรื่องเลย lololololol- Spoiler:
- ที่เลือกเทพีอาธีน่า เพราะว่า คาแรคเตอร์ของจันทร์เป็นคนชอบเรียนหนังสือ เป็นคนเข้มแข็ง ค่ะ
ส่วนเจ้าแกะ ที่เลือกเพราะว่าแกะดูเป็นสัตว์เด๋อๆก็จริง แต่มันสามารถตัดสินในสัญชาตญาณ ก็เหมือนจันทร์ ที่มีนิสัยซื่อๆบ้าง แต่จะให้จริงจังก็เป็นคนค่อนข้างซีเรียสค่ะ
C - CLASS STAMP
ตราประทับระดับกลางในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีมรกต สื่อถึงความมั่นคง มีมูลค่า +50 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ปานกลางเป็นที่น่าพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
คำวิจารณ์จากกรรมการตัดสิน พิมพ์ว่า:ตัดสินโดย : @pangkawjoa @peemung @dedog @Randel
การบรรยายทำได้ค่อนข้างสับสนพอสมควรอ่านแล้วงงอยู่หลายจุด เช่น ภูติออกมา
ทำอะไร พูดเหมือนจะมาให้พรแต่ก็ไม่ได้ให้ เหตุผลที่ทำให้ภูติต้องออกมาก็ไม่ได้
กล่าวถึง สรุปแล้วใครเป็นภูติของจันทร์กันแน่ แกะ หรือ เทพ เห็นจันทร์เขียนบอก
ไว้ว่าอยากให้มีปมซับซ้อน แต่การจะเล่นปมที่ซับซ้อนไปมา จำเป็นต้องมีการเฉลย
ปมบ้าง เพื่อให้คนอ่านสามารถเข้าใจได้ครับ ซึ่งทำให้เรื่องนี้ยังไม่ตอบโจทย์ของ
ภารกิจนี้ครับ การสะกดคำก็จะมีบางคำที่สะกดผิดอยู่บ้างพอสมควรเช่น "ประกด"
หากเขียนให้ถูกต้องคือ "ปรากฏ" แต่โดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีครับ การใช้ภาษากรีก
ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจในการนำเสนอให้เหมาะสมกับตัวละคร แต่ถ้าหากมีการ
แปลเป็นวงเล็บให้ผู้อ่านเข้าใจด้วยจะยิ่งดีกว่านี้ครับ
- pangkawjoaประธานนักเรียน
Taira Payakaroon
อาจารย์ภาษาไทย
3258
+601 M 722 K 265
PASSPORT
:
(2380/21000)
:
Re: Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
มาส่งภารกิจครับ
ตอนแรกก็ลังเลว่าจะใช้ไทระหรือเพลิงส่งภารกิจดี
จนแล้วจนรอดเลยเน้นไปที่ภูติของไทระมากกว่าครับ
ตรงคำพูดของภูติ ไทระจะทำเป็นตัวเอียง เพื่อให้รู้สึกเหมือนคุยกันผ่านจิตใต้สำนึก แม้ว่าจะออกเสียงพูดกันก็ตามครับ
ปล 1. รู้สึกรักภูติตนนี้เสียแล้วสิครับ ฮ่า!
ปล 2. ตอนแรกว่าจะวาดรูปภูติแถม ( สอบถามวาแล้ว วาบอกว่าสามารถวาดแถมได้โดยไม่นับว่าเป็นส่วนของการส่งภารกิจครับ ) แต่กลัวไม่ทันเลยมาส่งก่อนครับ
- ไทระ & ไทริว:
“จะดีเหรอครับอาจารย์…”
“ดีแล้วน่า”
“แต่ว่า…”
“ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไปเถอะน่า”
‘ศุภเพลิง’ หรือ ‘เพลิง’ ยังปั้นหน้าลำบากใจอีกชั่วครู่ก่อนจะรับของจากมือผมไปอย่างช่วยไม่ได้ คืนนี้ผมมาหาเพลิงที่ห้องเพราะอยากจัดงานฉลองวันเกิดย้อนหลังให้เขา
ถึงจะบอกว่าจัดงานแต่ก็แค่มานั่งกินขนมแล้วก็ให้ของขวัญเท่านั้นเอง เพลิงค่อนข้างติดผมเหมือนที่ผมติดป๊าแม็กเวลกับม๊าจิณณ์นั่นแหละ ก็เลยอยากจัดงานให้สักหน่อย
“อาจารย์ไทระครับ” เพลิงขยับริมฝีปากช้าๆ เพื่อให้ผมอ่านปากได้ง่าย อันที่จริงสกิลอ่านปากของผมมันอยู่ระดับโปรแล้ว จะขยับช้าหรือเร็วก็ได้ทั้งนั้น
เพลิงนี่ใส่ใจผมดีจังเลยน้า∼
“อาจารย์ให้นี่กับผมจริงๆ เหรอ?”
“อืม ชอบไม่ใช่เหรอ”
“ครับ! ชอบมากเลยครับ!”
สิ่งที่ผมให้เพลิงไปคือ Drama CD แผ่นลิมิเต็ดที่รวมเสียงนักพากย์อนิเมะญี่ปุ่นระดับท็อปไว้มากมาย แถมแผ่นนี้ยังมีลายเซ็นต์ของนักพากย์ที่เพลิงชอบมากด้วย กว่าจะได้ CD นี่มา ทำเอาผมหืดขึ้นคออยู่เหมือนกัน
ไหนๆ ก็วันเกิดศิษย์คนสนิททั้งที เลยอยากให้ของขวัญที่หายากสักหน่อย
เพลิงมอง CD ในมือด้วยสายตาเป็นประกาย ท่าทางคงอยากเปิดฟังเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็พยายามหักห้ามใจไว้ เขาคงกลัวว่าถ้าเปิดตอนนี้แล้วจะทำให้ผมรู้สึกไม่ดีแน่ๆ
หากมองเพียงภายนอก หลายคนคงคิดว่าเพลิงน่ากลัวแต่ที่จริงเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมาก ทั้งใจดีและใส่ใจคนอื่น แต่ด้วยสภาพร่างกายเลยทำให้ดูน่ากลัว ผมลอบมองเพลิงอย่างเอ็นดูก่อนจะเข้าไปล็อคคอแล้วขยี้หัวเขาเล่น
เพลิงชะงักไปแต่ผมยังไม่ยอมปล่อยหรอกนะ
“ถูกใจมากเลยล่ะสิ” ผมยิ่งแกล้งขยี้หัวเขา “ถ้าชอบก็ตอบแทนมาด้วยขนมฝีมือเธอเลยนะ”
ผมแกล้งแหย่แต่เพลิงดันผละออกแล้วทำหน้าจริงจังพลางขยับปากไปด้วย “ได้ครับ อาจารย์อยากกินอะไรครับ”
“เอ่อ…”
ปิ๊งงงง∼
เดี๋ยวนะ ไอ้แววตาปิ๊งปั๊งมีออร่าวิบวับนั่นมันอะไรกัน นี่อยากทำขนมให้ผมกินขนาดนั้นเชียว?
นอกจากขนมฝีมือม๊าจิณณ์แล้ว ขนมฝีมือเพลิงก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบมาก
“ล้อเล่นน่า…”
“บอกมาได้เลยครับ” เพลิงรีบพูดแทรกก่อนที่ผมจะพูดจบ “ถ้าเป็นอาจารย์ไทระ ผมจะทำให้กินทุกอย่างเลยครับ”
ปิ๊งงงงงงง∼
เขายิ่งทำสายตาปิ๊งปั๊งกว่าเดิมอีก…
พอเห็นเพลิงในตอนนี้แล้ว แทบจะนึกภาพของเพลิงตอนเจอกันครั้งแรกแทบไม่ได้เลย ตอนนั้นอย่างกับโลกทั้งใบกำลังจะสลายไม่มีผิด...เฮ้อ ช่างเถอะ อย่าเพิ่งนึกถึงเรื่องนั้นดีกว่า
เพลิงยังมองผมอย่างคาดหวังและไม่มีท่าทีจะเลิกจ้องด้วย งั้นผมลองคิดชื่อขนมที่อยากกินดีกว่า อะไรดีนะ...อืม...อ๊ะ!
“งั้นขอเป็นแพนเค้กแล้วกัน ไม่ได้กินนานแล้ว”
“ได้ครับ! ไว้ผมจะทำให้นะ” เพลิงยิ้มกว้างจนตาหยี เป็นภาพที่ไม่ค่อยได้เห็นนักจากเด็กคนนี้ เพลิงรีบหยิบกระดาษมาจดสิ่งที่ผมอยากกินพร้อมรายละเอียดวัตถุดิบที่ต้องใช้ไว้คร่าวๆ
ผมอมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางของเพลิงแล้วพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มก้อนแสงสีชมพูผสมสีฟ้าขนาดเท่ากำปั้น ลอยอยู่เหนือบ่าข้างขวาของลูกศิษย์ พริบตาต่อมา แสงนั่นก็มลายไปเหลือไว้เพียงเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ทั้งคู่มีขนาดตัวที่เล็กจิ๋ว น่าจะสูงประมาณสิบเซ็นติเมตรล่ะมั้ง
เด็กหญิงตัวจิ๋วสวมชุดเดรสฟู่ฟองสีชมพูอ่อน เส้นผมสีเดียวกับชุดถูกรวบไว้เป็นทรงทวินส์เทล และติดกิ๊บรูปอมยิ้มสีรุ้งทั้งสองข้าง ส่วนเด็กชายตัวจิ๋วสวมชุดทักซิโด้สีฟ้าอ่อน ตรงหน้าอกมีเข็มกลัดรูปตัวโน้ตสีทองติดอยู่ และเส้นผมที่ถูกปัดเป็นทรงเสยของเขามีสีฟ้าเฉกเช่นเดียวกับสีชุด
ดูๆ ไปแล้ว ทั้งสองคนมีแววตาที่คล้ายเพลิงมาก ถ้าบอกว่าเป็นแฝดสาม ผมก็เชื่อนะ
เด็กจิ๋วทั้งสองคนนั่งอยู่บนบ่าของเพลิงพลางยิ้มละมุนละไม ส่วนเพลิงที่กำลังตั้งอกตั้งใจจดอยู่นั้นก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีอะไรมานั่งอยู่บนบ่า อืม...หรือที่จริงเพลิงอาจจะรู้แต่ไม่สนใจหรือเปล่านะ ก็ขนาดผมยังเคยเห็นพวกเด็กนั่นมาหลายครั้งแล้ว ส่วนใหญ่จะเห็นตอนทำอาหารหรือตอนที่ทำท่าเหมือนกำลังร้องเพลง ( เดาเอาจากท่าทาง )
ผมเลยคิดว่านั่นต้องเป็น ‘ภูติประจำตัวเพลิง’ แน่ๆ
เคยได้ยินเรื่องเล่าต่อกันมาว่าแต่ละคนจะมีภูติประจำตัว และภูติของแต่ละคนก็จะมีรูปร่างแตกต่างกันไป ที่จริงผมก็สงสัยว่าคนเราสามารถเห็นภูติของคนอื่นได้ไหม นอกจากภูติของเพลิง ผมก็ไม่เคยเห็นภูติของคนอื่นเลย...หรือมันมีเงื่อนไขอะไรในการมองเห็นหรือเปล่า
ความสนิมสนม? ความใกล้ชิด? ความนับถือ? การยอมรับ? หรือจะเป็นการเปิดใจให้อีกฝ่าย?
ขนาดภูติของตัวเองผมยังไม่เคยเห็นเลยเนี่ย หรือต้องอยู่ในสถานการณ์คับขันนะถึงจะเห็นภูติได้ ฮึ้ย! คิดแล้วปวดหัว งั้นช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมเห็นภูติของเพลิงแล้วกัน
เพลิงยังจดข้อมูลอีกครู่หนึ่งแล้วค่อยวางกระดาษลงก่อนจะหันกลับมาหาผม ช่วงเวลานั้นเด็กจิ๋วทั้งสองก็หายวับไป
“จดเสร็จแล้วครับ ไว้ผมจะทำให้กินนะครับ” เพลิงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ตอนแรกก็ว่าจะคุยเรื่องพวกภูติเมื่อกี้อยู่หรอก แต่ไว้วันหลังแล้วกัน
“ผมจะรอนะ” ผมบอกพลางยิ้มให้บ้าง
หลังจากนั้นเราสองคนก็นั่งคุยกันไปพลาง ทานอาหารกันไปพลาง จะว่าไปคุยกันแค่สองคนก็เหงาเหมือนกันแฮะ ที่จริงลองชวนป๊าแม็กเวลกับม๊าจิณณ์มาด้วยแล้ว แต่สองคนนั้นดันติดธุระน่ะสิ น่าเสียดายชะมัด
“อาจารย์ครับ อาจารย์ชอบดูหนังไหมครับ” อยู่ๆ เพลิงก็ถามขึ้น
“ก็ดูได้นะ แต่ชอบดูการ์ตูนมากกว่า”
“อ๋อ…”
“ทำไมเหรอ?”
“ผมว่าจะชวนอาจารย์ดูหนังฆ่าเวลาครับ” เพลิงบอกแล้วลุกไปหยิบกล่องใบหนึ่งที่ใส่แผ่น DVD ไว้หลายสิบแผ่น มา “แต่ถ้าอาจารย์ชอบการ์ตูน งั้นดูการ์ตูนกันไหมครับ ผมเพิ่งได้เรื่องใหม่มา”
เพลิงหยิบแผ่น DVD แผ่นหนึ่งขึ้นมา ที่หน้าปกมีรูปเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกรายล้อมไปด้วยเด็กสาวห้าคน สงสัยจะเป็นแนวฮาเร็มล่ะมั้งนั่น
“เพลิงชอบดูแนวนี้เหรอ”
นี่ผมสงสัยจริงจังนะ ผมคิดว่าเพลิงจะชอบแนวใสๆ มากกว่าซะอีก
เพลิงพลิกดูแผ่น DVD ไปมาพลางเลิกคิ้วก่อนจะหันมาส่งยิ้มใสซื่อ “หมายถึงแนวสาวๆ เยอะเหรอครับ”
ผมพยักหน้า
“ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ แต่มีคนให้มาเลยอยากลองดูน่ะครับ”
“อ๋อ โอเค งั้นเราลองดูกันเลยไหม น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักมั้ง”
“งั้นผมเปิดเลยนะ”
เพลิงตระเตรียมอุปกรณ์เสร็จสรรพก็กลับมานั่งข้างผม เมื่อเพลงเปิดเรื่องจบก็เข้าเนื้อหาทันที ผมไม่ได้ยินเสียงเลยอาศัยอ่านซับเอา
เนื้อเรื่องเริ่มต้นที่พระเอกมีพลังพิเศษซึ่งเป็นพลังที่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะมี เหตุนี้เลยทำให้พระเอกต้องไปเรียนในโรงเรียนเวทมนต์ที่มีแต่ผู้หญิง
โห...ฮาเร็มสุดๆ เลยนี่นา…
แล้วไปๆ มาๆ ก็มีสาวหลายคนมารุมรักพระเอก เป็นแนวความรักอย่างที่คิดจริงๆ สินะ...ความรัก...รักใช่ไหม…
ช่วงแรกผมก็คิดอย่างนั้นนะ แต่ไอ้เนื้อเรื่องครึ่งหลังนี่ผมขว้างความคิดนั้นทิ้งไปเลย คือ...อะไรเนี่ย!!!
เนื้อเรื่องช่วงหลัง พวกสาวๆ เริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนก็อยากได้พระเอกมาเป็นของตัวเอง ถึงขั้นวางแผนทำลายศัตรูหัวใจก็มี แล้วมันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น...รุนแรง…
รุนแรงถึงขั้นเลือดสาดแล้วเนี่ย!!!
‘ฉั๊วะ!!!’
‘ฉั๊วะ!!!!!’
‘ฉั๊วะ!!!!!!!!!’
นั่นเป็นซับที่ขึ้นมาบนจอ ขนาดผมไม่ได้ยินเสียงอะไรยังรู้สึกสยองเลยเนี่ย ไม่ไหวๆๆ ผมดูต่อไม่ไหวแล้ว ผมไม่ถูกโรคกับพวกเรื่องน่ากลัวเลยจริงๆ
ผมกะจะหันไปขอให้เพลิงปิดแต่เห็นเพลิงดูด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจทำให้ผมพูดไม่ออก พอเป็นอาจารย์แล้วผมก็พยายามไม่แสดงว่ากลัวเรื่องพวกนี้ เพลิงเลยไม่รู้ ไม่งั้นเขาคงรีบปิดไปตั้งแต่ซับฉั๊วะแรกขึ้นมาแล้ว
ว่าแต่ว่า หน้าปกมันหลอกลวงไปไหม! หน้าปกซะหวานแหวว แต่ดันเป็นแนวสยองเนี่ย!
ผมยังพูดไม่ออกเลยกัดฟันหันกลับไปมองจออีก
ฉึก!!!!!!!
“ว๊ากกก!!!”
ไม่รู้ผมร้องเสียงดังมากไหม แต่มันก็ทำให้เพลิงกดสต๊อปการ์ตูนแล้วหันมาถามได้อ่ะ ฮือ
“อาจารย์เป็นอะไรครับ”
“เอ่อ...ปะ เปล่าๆ ดูต่อเถอะ”
“...”
“ผมไม่เป็นไร”
พอได้รับคำยืนยันจากผม เพลิงก็กดเล่นต่อ ให้ตายสิ...เมื่อกี้พอหันไปมองดันเจอฉากสาวคนหนึ่งกำลังถือมีดแล้วก็...โอ๊ย! เลิกคิดๆ อย่าไปนึกถึงมัน!
ผมพยายามสะกดกั้นความกลัวเอาไว้เพราะไม่อยากให้ลูกศิษย์เห็นด้านที่น่าอายของตัวเอง แต่มันก็น่ากลัวจริงๆ นะ
ผมจะทนไปได้สักเท่าไหร่ ไม่ชอบเลยจริงๆ ไม่ชอบสิ่งน่ากลัว ไม่ชอบมาก แต่ยิ่งไม่ชอบมากกว่าถ้าให้ลูกศิษย์รู้ว่าผมกลัว
ไม่ชอบเลย…
‘นายนี่ขี้กลัวซะจริง’
ระหว่างที่กำลังต่อสู้กับความกลัว ก็มีเสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น ผมหันขวับไปด้านข้างที่ว่างอยู่แล้วก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา พอแสงหายไปก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มที่มีขนาดตัวเท่าผมเป๊ะ หน้าตาเหมือนผมเป๊ะ แต่ที่ต่างกันคือ เขามีเขามังกรอยู่บนหัว และหน้าตามีความมั่นใจในตัวเองมากแบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
ผมถึงกับชะงักค้างไปแวบหนึ่งเลย...
ชายหนุ่มผู้มีเขามังกรสวมชุดกิโมโนสีดำสนิทขลิบแดงปักลวดลายมังกรสีทองอร่ามสวยงาม บนเขามังกรข้างขวามีสร้อยกระดิ่งแขวนอยู่ มันส่งเสียงกรุ้งกริ๊ง ยิ่งตอนที่ชายหนุ่มมังกรขยับตัว กระดิ่งยิ่งส่งเสียงกังวาน
ถึงเป็นอย่างนั้นแต่ดูเหมือนเพลิงจะไม่เห็นนะ พอเห็นว่าเพลิงกำลังตั้งใจดูการ์ตูนอยู่ ผมเลยหันไปลอบคุยกับหนุ่มมังกร
“นายเป็นใครน่ะ…”
‘หึ’ เขาไม่ตอบคำถามแต่กลับหัวเราะในลำคอแทน
ผมเลยขวมดคิ้วมุ่นพลางระแวดระวังตัวสุดๆ จนหนุ่มมังกรต้องเฉลยที่มาที่ไปของตัวเองในที่สุด
‘เมื่อกี้นายก็นึกถึงฉันอยู่ไม่ใช่หรือไง’
“เอ๊ะ?”
‘ขี้กลัวแล้วยังความจำสั้นอีกนะ’
ผมยิ่งเลิกคิ้วฉงนแล้วพยายามทบทวนว่าตัวเองนึกคิดอะไรไปบ้าง แล้วก็สะดุดกับความคิดหนึ่ง ผมหันขวับไปมองชายหนุ่มมังกรทันที “หรือนายคือภูติ!?”
‘ฉลาดนี่’
“...”
หมอนี่คือ 'ภูติประจำตัวผม' จริงเหรอ
เอาจริงดิ่? ภูติจริงอ่ะ? แล้วอยู่ๆ ก็ออกมาเนี่ยนะ?
‘ฉันออกมาให้เห็นเพราะนายกลัวจนตัวสั่นนั่นแหละ’ เหมือนเขาจะอ่านใจผมได้ ก็เลยพูดแทรกขึ้นมา
ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่จากท่าทางและน้ำเสียงแล้ว ทำไมรู้สึกหมั่นไส้ภูติตัวเองจัง ดูมั่นใจซะเหลือเกินนะ...เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงเขาเหรอ?
‘เราคุยกันผ่านจิตใต้สำนึก ถึงนายจะหูหนวกแต่ก็ได้ยินเสียงที่มาจากฉันทั้งหมด’ ชายหนุ่มมังกรราวกับเพิ่งอ่านใจผมไปอีกแล้ว เขายักไหล่หนึ่งครั้งแล้วเริ่มพูดต่อ ‘ว่าแต่นายนี่จะกลัวไปถึงไหน’
“เอ๊ะ?”
‘ไอ้นั่นน่ะ’ หนุ่มมังกรชี้ไปที่จอที่กำลังฉายภาพการ์ตูนเลือดสาดอยู่ ‘เออ แต่ก่อนจะคุยต่อ นายเรียกฉันว่าไทริวแล้วกัน’
“เพิ่งรู้ว่าภูติมีชื่อด้วย”
‘มีสิ ส่วนใหญ่พวกมนุษย์จะตั้งให้ แต่ฉันมันอินดี้ อยากตั้งเอง เพราะงั้นเรียกไทริวซะ’
นอกจาก ‘ไทริว’ จะไม่กลัวใครแล้ว ยังเผด็จการอีกต่างหาก
ผมพยักหน้าเข้าใจ ไทริวก็ยิ้มพึงพอใจแล้วเขาก็วกกลับมาคุยเรื่องเดิม
‘ตกลงเมื่อไหร่นายจะเลิกกลัว’
“...”
‘มันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า’
ผมมองหน้าไทริวแล้วได้แต่ขยับปากขมุบขมิบกับตัวเอง “ก็คนมันกลัวนี่นา ฉันไม่ได้เก่งเหมือนนายนะ”
‘หึ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว’ ไทริวเอ่ยอย่างคัดค้าน ‘ถ้ามีอะไรออกมาจริงๆ นายก็ซัดไปเลยสิ’
“ใครจะซัดได้เล่า บอกแล้วไงว่าไม่ได้เก่งเหมือน…”
‘ฉันก็คือนายนั่นแหละ’
“...”
‘นายก็คือฉัน เพราะงั้นนายเก่งได้น่า’
“...”
ไทริวยกยิ้มมุมปากแบบมั่นใจสุดๆ เขาดีดกระดิ่งบนเขาตัวเองเล่นเบาๆ เสียงกรุ๊งกริ๊งดังกังวาน จากนั้นไทริวก็หันหลังแล้วเอนหลังมาพิงผม
‘เชื่อสิว่านายคือฉัน ฉันคือนาย’
แม้ผมจะไม่เห็นปากไทริว แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเขาพูดอะไร
“...”
‘ฉันไม่กลัวไอ้การ์ตูนนั่นด้วย’ ไทริวชี้ไปทางจออีกครั้ง ‘นายก็ไม่กลัวได้’
ราวกับไทริวกำลังส่งพลังความกล้ามาให้ ถึงผมจะไม่หายกลัวเป็นปลิดทิ้งแต่ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเยอะเลยทีเดียว
‘อยากทำตัวเท่ๆ ให้ลูกศิษย์เห็นใช่ไหมล่ะ’ ไทริวหันกลับมายิ้มมุมปากให้ ‘งั้นก็ชนะความกลัวให้ได้ล่ะ หึ’
หนุ่มมังกรยิ้มทิ้งท้ายไว้อีกรอบก่อนจะดีดกระดิ่งเล่นอีกครั้ง แล้วเขาก็หายวับไป เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เพลิงหันมาสะกิดพอดี
“อาจารย์ครับ”
“หะ...หือ?” ผมแอบสะดุ้งเหมือนกันนะ
“เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงกระดิ่งด้วยครับ”
“...”
“แต่ในการ์ตูนก็ไม่มีฉากที่มีกระดิ่ง แล้วในห้องนี้ก็ไม่มีอะไรที่สร้างเสียงแบบนั้นได้เลย”
เพลิงเลิกคิ้วฉงน ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มให้ไม่รู้จะตอบลูกศิษย์ว่ายังไงเหมือนกัน สงสัยไทริวคงตั้งใจให้เพลิงได้ยินเสียงกระดิ่งล่ะมั้ง เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอยากให้เพลิงรู้ว่าผมเริ่มมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งน่ากลัวบ้างแล้วล่ะมั้ง
นั่นสินะ ผมก็อยากให้เพลิงเห็นด้านเท่ๆ มากกว่าด้านที่ไม่ได้เรื่อง ผมเองก็อยากเท่แบบไทริวเหมือนกัน สักวันหนึ่งผมคงทำได้นะ อืม! ต้องทำให้ได้สิ!
สักวันผมคงสลัดความกลัวแบบที่ไทริวบอกได้
A - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
คำวิจารณ์จากกรรมการตัดสิน พิมพ์ว่า:ตัดสินโดย : @peemung @dedog @Randel
การบรรยายเนื้อเรื่องมีจุดให้รู้สึกสงสัยอยู่หลายจุด เช่น ไทระหูหนวก แต่ทำไมได้ยิน
เสียงกระดิ่ง ในส่วนของภูติ ไทระไม่ได้พูดในเรื่องที่ว่าทำไมภูติของไทระจึงมีหน้าตา
และลักษณะแบบนั้น การมีภูติสองตนมีความหมายอะไรไหม แล้วทำไมถึงออกมาได้?
แต่ขอชมเชยว่าภาษาการเขียน วรรคตอน และ การบรรยายลื่นไหลดีมากครับ นับว่า
เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ แต่ก็บรรยายในส่วนปลีกย่อยที่ไม่จำเป็นบาง
จุดเยอะเกินไปแบบไม่มีสาระสำคัญเท่าไร
Signature ------------------------------------------------>
初めまして、どうぞよろしくお願いします。
- bluebearz
Bonita Blanchett
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
1284
+123 M 935 K 310
PASSPORT
:
(450/2125)
:
Re: Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
- บันทึกความทรงจำ 09:
- วันที่จดบันทึก : 19 / xx / xxxx
-------------------------------------------------------------------
15 : 23 น.
สนามหญ้าสีเขียวชะอุ่มที่กินพื้นที่ส่วนด้านหลังของอพาร์ทเม้นท์เกือบ 50 ตารางวา ถูกกั้นให้ห่างจากถนนใหญ่ที่มีรถราสัญจรขวักไขว่ตลอดด้วยรั้วไม้ทาสีขาวสะอาด ยอดหญ้าที่ตัดเล็มไม่เท่ากันกำลังปลิวเอื่อยตามแรงลม แม้อากาศในยามบ่ายวันนี้จะร่มรื่นผิดปกติ แต่หากยังมีแสงแดดจางๆ ที่อาบย้อมทุกสิ่งทุกอย่างบนสนามหญ้าแห่งนี้จนเปลี่ยนสี ไม่เว้นแม้แต่รูปปั้นกระต่ายสีขาวที่ตั้งประดับข้างประตูรั้วหรือม้านั่งชิงช้าสีชมพูจ๋อยที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูจาง
สนามหญ้าแห่งนี้ถูกตกแต่งด้วยสไตล์เรียบง่าย รั้วสูงถูกแขวนด้วยต้นเฟิร์นบนกระถางจิ๋วเรียงรายแบบสลับสูงต่ำ ตรงใจกลางของสนามมีลักษณะเป็นพื้นลายหินอ่อนรูปวงกลมแบนขนาดใหญ่ ฝั่งหนึ่งถูกเชื่อมเป็นทางเดินยาวตรงไปยังประตูทางออกของอพาร์ทเม้นท์ มีโต๊ะแบบพับเก็บได้และเก้าอี้เบาะนุ่มอีก 6 ตัว ถัดไปด้านซ้ายเกือบชิดริมรั้วมีม้านั่งชิงช้า 2 ตัว โดยที่ตัวหนึ่งเป็นสีฟ้าอ่อนและอีกตัวเป็นสีชมพูจ๋อย ข้างๆ กันนั้นมีแปลงผักขนาดย่อมพร้อมทั้งอุปกรณ์สำหรับปลูกต้นไม้อีก 2-3 อย่าง ทางด้านขวาของสนามถูกยกระดับขึ้นด้วยพื้นลายหินอ่อนเช่นเดียวกับตรงใจกลาง เพราะเป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่ต้องการมาอ่านหนังสือจึงมีม้านั่งทำด้วยไม้เคลือบสีขาวเรียงกันหกตัว ซึ่งแต่ละตัวถูกวางคั่นด้วยต้นไทรยอดทอง และมุมรั้วทั้งสี่มุมถูกตั้งด้วยโคมไฟหัวเสาที่พร้อมจะส่องแสงสีทองนวลเมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น สนามหญ้าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดฮิตของคนที่นี่ภายในวันเดียวตั้งแต่วันที่ถูกสร้างเสร็จ
รู้สึกตัวอีกทีก็อาศัยอยู่ที่นี่มาสองสัปดาห์แล้ว
ตั้งแต่วันที่ได้เจออันซุและไท นับตั้งแต่คืนสัปดาห์ก่อนที่ได้ฟังเพลงครั้งแรกกับอันซุในห้องนอนใหม่ ชีวิตของเขาก็ไม่เคยเหมือนเดิม เขาอยู่ที่นี่...ที่อพาร์ทเม้นท์เก่าคร่ำครึแต่แสนอบอุ่นหลังนี้มาตลอดตั้งแต่วันนั้น และสิ่งหนึ่งที่เขามักทำแทบทุกวันคือการมานั่งเล่นที่สนามหญ้าหลังอพาร์ทเม้นท์
สุภะในวัยเก้าขวบเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวออกไปไกลแสนไกล มันเป็นสีฟ้าปลอดโปร่ง เมฆสีขาวที่ดูราวกับปุยนุ่นลอยตัวกันเป็นชั้นอัดแน่นเต็มท้องฟ้า ไม่มีวี่แววของเมฆฝนครึ้มทำให้เหมาะแก่การออกมาทำกิจกรรมข้างนอก และตอนนี้เขากับไทก็กำลังออกมาอ่านนิทานด้วยกันบนม้านั่งสีขาวตัวที่สองตรงจุดสำหรับอ่านหนังสือ
เขาเหม่อมองท้องฟ้าอยู่สักพัก ก่อนจะกลับมาสนใจฟังเสียงคนข้างกายอ่านหนังสือต่อ…
“ทันใดนั้นภูติจิ๋วก็ปรากฎตัวขึ้น ก่อนใช้คฑาดาวสีรุ้งของเธอชี้ไปที่หญิงสาวขี้เหร่ คฑาดาวสีรุ้งส่องแสงสีรุ้งออกมาและแปลงโฉมหญิงสาวขี้เหร่ให้กลายเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามในชุดราตรีสีชมพู พร้อมที่จะไปร่วมงานเต้นรำในคืนนี้…” ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มร่างโตอ่านบรรทัดสุดท้ายจบ เสียงของเด็กชายร่างเล็กก็แทรกขึ้นพร้อมกับความสงสัยเสียก่อน
“ภูติคืออะไรครับ”
“ภูติก็คือภูติไงครับ” คำตอบกำกวมของไททำให้เด็กชายส่งสายตางุนงงใส่ ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาชวนขำของคนตัวเล็ก นิ้วผอมยาวที่มีเส้นเลือดปูดของเขาบรรจงพลิกกระดาษไปยังหน้าถัดไป ก่อนจะเลื่อนไปชี้รูปภูติในร่างของเด็กสาวตัวจิ๋วในชุดกระโปรงสีชมพู บนเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถักเปียของเธอมีหมวกรูปทรงสามเหลี่ยม เธอถือคฑาดาวสีรุ้งอย่างที่ในนิทานเขียนไว้ และด้านหลังของเธอก็มีปีกสีทองจางๆ คล้ายปีกผีเสื้อ
ซึ่งสุภะไม่รู้ว่าไทจิ้มโดนภาพนั้นได้อย่างไร ทั้งที่ไทตาบอด
สุภะชะเง้อคอมองตามอย่างสนอกสนใจในความที่ไม่เคยเห็นสิ่งที่เรียกว่า ภูติ
“รู้ไหมว่าทุกคนก็มีภูติอยู่ในตัวกันทั้งนั้น” ไทหันมาพูดกับเด็กชายอีกครั้ง “ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือ เขาบอกว่าชาวยุโรปมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์นั้นมีภูติอยู่ในตัว ซึ่งภูตินั้นเปรียบเสมือนจิตใจของมนุษย์เอง ภูติจะคอยออกมาช่วยเหลือมนุษย์ คงเหมือนกับภูติตัวนี้ที่โผล่ออกมาช่วยหญิงสาวขี้เหร่ให้ได้ไปงานเต้นรำเหมือนพี่สาวของเธอล่ะมั้ง”
สุภะได้ฟังก็เงียบไป ดวงตากลมเล็กสีน้ำตาลช็อกโกแลตเบนไปมองภาพของภูติสาวผมเปียบนหนังสืออีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมาอ้าปากเตรียมถามต่อ “คุณลุง...”
แต่ทว่าเด็กชายกลับหยุดชะงักไปเมื่อเห็นไทแกล้งทำหน้าดุใส่ สุภะเงียบไปอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าทำไม จนกระทั่งเสียงของไทดังขึ้นในเวลาต่อมา
“บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกคุณลุง ฉันเพิ่งอายุสามสิบสองได้ไม่กี่วันเองนะ”
อา...เรื่องนี้อีกแล้วเหรอ เหมือนเขาจะถูกดุไปสิบรอบแล้วนะ?
ถึงไทจะเอ่ยราวกับไม่ต้องการแบบนั้น แต่เสียอย่างไรไทก็ยังเป็นคนที่ใจดีและอ่อนโยนต่อสุภะเสมอ เขาแกล้งทำเป็นเมินเฉยคำสรรพนามเกินอายุที่เด็กชายยัดเยียดให้แล้ววกกลับมาเรื่องภูติอีกครั้ง “สงสัยอะไรว่ามาสิครับ”
“เคยเห็นไหมครับ..” เด็กชายถามออกไปตรงๆ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยอมเปิดโอกาสให้ถาม
ซึ่งชายหนุ่มได้ฟังก็เว้นช่วงไปเล็กน้อยก่อนตอบ “ไม่เคยเห็นหรอก”
แม้คำตอบจะฟังดูเศร้าหมอง แต่ทว่าหากใบหน้าของผู้พูดยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นอย่างเคย ไทยิ้มจนตาหยี อยากจะพูดต่อว่าเขาคงไม่มีทางได้เห็นภูติอีกตลอดชีวิตและไม่สนด้วยว่าภูติที่ว่านั่นจะมีจริงหรือไม่ แต่ก็กลัวคำพูดนั้นจะไปกระตุ้นให้เด็กชายข้างกายรู้สึกไม่ดีเข้า ไทจึงเลือกที่จะเงียบไว้แล้วเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายถามในทันที โดยไม่รีรอให้เด็กชายได้ตั้งคำถามอะไรอีก
“สุภะเคยเห็นภูติไหม”
เด็กชายเจ้าของชื่อส่ายหัวแทนคำตอบ
“แล้วถ้ามีภูติปรากฎต่อหน้าเรา เราคิดว่าภูติจะหน้าตาเป็นแบบไหน หืม?”
คำถามต่อมาของไททำให้เด็กชายร่างเล็กเงียบไป ไม่มีแม้แต่การพยักหน้าตอบรับหรือส่ายหัว สุภะมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของไทที่โน้มเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ตอนนี้ในหัวของเขาช่างขาวโพลนและว่างเปล่า พยายามนึกภาพหน้าตาของภูติแต่กลับนึกไว้ในหัวไม่ได้เลยสักอย่าง เขานึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าภูติของเขาจะมีรูปร่างเป็นอย่างไร
คน?
สัตว์?
สิ่งของ?
หรือแปลกประหลาดจนไม่สามารถอธิบายได้?
หรือจะเหมือนกับภูติเด็กสาวถักเปียในนิทาน?
หรือจริงๆ แล้วเป็นแค่เรื่องหลอกเด็ก?
คำถามนั้นของไทยังคงดังก้องอยู่ในหัวราวกับเพลงที่เปิดฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่รู้จักพอ ความคิดมากมายที่พยายามจะค้นหาคำตอบกลับผุดขึ้นยิ่งกว่าดอกเห็ด ซึ่งมันยังคงตีกันไปตีกันมา ราวกับไททิ้งระเบิดไว้กลางใจของเขาทำให้เขาสลัดมันไม่ออกและยังคงครุ่นคิดถึงมันเรื่อยมา...
- บันทึกความทรงจำ 10:
- วันที่จดบันทึก : 19 / xx / xxxx
-------------------------------------------------------------------
16 : 09 น.
กว่าจะอ่านหนังสือนิทานจบก็จวนเจียนจะสี่โมงเย็นเต็มที เพียงอีกหนึ่งชั่วโมงอันซุซึ่งเป็นภรรยาของไทก็จะกลับมาจากที่ทำงาน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ไทมักจะทำอาหารเย็นเพื่อรอต้อนรับเธอเสมอ วันนี้ไทก็ยังคงชวนสุภะเข้าไปในเมืองใหญ่ด้วยกันเหมือนอย่างทุกวัน เพื่อหาซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเย็นของวันนี้ ไทไม่สามารถออกไปข้างนอกด้วยตัวคนเดียวได้จึงต้องอาศัยเด็กชายเป็นเสมือนดวงตาคอยนำทาง เพราะภายในตัวเมืองนั้นช่างกว้างขวางมากเสียจนเขาไม่สามารถจดจำตำแหน่งได้หมด มันต่างจากที่บ้านของเขาซึ่งรู้จักทุกที่ทุกมุม รู้ว่าของอะไรจัดวางตรงไหน รวมถึงทางเดินเส้นนี้เมื่อเดินไปแล้วจะเจอห้องอะไร
มือเล็กข้างขวาของเด็กชายสอดประสานไปกับมือหนาหยาบของชายหนุ่มอย่างแนบแน่น โดยที่สุภะเดินเยื้องไปข้างหน้าเล็กน้อยและมีไทที่คอยเดินตามหลัง พวกเขาเดินไปบนทางเท้าที่ยาวออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ริมทางเท้าด้านซ้ายมีร้านค้าตั้งเรียงรายกันเป็นสิบ ส่วนด้านขวาเป็นสวนสาธารณะสำหรับผู้ที่ต้องการมาออกกำลังกาย นั่งพักผ่อนหย่อนใจหรือปั่นจักรยานเองก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนตรงกลางถูกคั่นด้วยถนนเส้นใหญ่สองเลนและจุดสำหรับเช่าจักรยาน
นอกจากเสียงฝีเท้าย่ำของทั้งคู่และเสียงไม้ค้ำที่กระทบลงบนพื้นปูนดังต่อกแต่กๆ ก็ยังมีเสียงของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้ากันดังโหวกเหวก เสียงพูดคุยของผู้คนที่เดินสวนกันไปมาและเสียงรถรามากมายที่วิ่งสัญจรบนถนน สุภะมีความคุ้นเคยกับสถานที่ภายในเมืองใหญ่นี้แทบเป็นอย่างดีเพราะอยู่แถวนี้มาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าอีกไกลเท่าไหร่จะถึงตลาด…
แต่ทว่าก่อนที่จะถึงตลาดพวกเขาได้เดินผ่านร้านค้าร้านหนึ่ง
มันคือร้านเล็กๆ ที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์เลียนแบบ Patchwork ซึ่งดูสร้างสรรค์และยูนิค หน้าร้านเป็นประตูบานใหญ่สีเขียวมิ้นต์ลายจุดขาว ติดป้ายด้วยตัวอักษรสีน้ำตาลเรียงเป็นคำว่า OPEN บ่งบอกว่าร้านยังคงเปิดทำการอยู่ ถัดไปเป็นกระจกใสขนาดใหญ่ที่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นถึงบรรยากาศภายในร้านได้ มันถูกทำเป็นจุดตั้งโชว์หนังสือสำหรับโปรโมทหนังสือขายดีประจำปีหรือหนังสือที่เพิ่งออกใหม่
ดวงตากลมโตของเด็กชายจ้องมองไปที่หนังสือเล่มหนึ่งหลังกระจกบานใสนั้นอย่างเป็นประกาย เป็นหนังสือนิทานก่อนนอนที่รวบรวมนิทานสำหรับเด็กไว้มากกว่า 100 เรื่องแถมยังมีตัวอักษรเบรลล์ประกอบสำหรับคนตาบอดอีกด้วย ตามความคิดประสาเด็กทำให้เขาคิดว่าถ้าหากได้หนังสือเล่มนี้มาเขาก็คงจะให้ไทอ่านให้ฟังก่อนนอนทุกคืนเลย ว่าแล้วสุภะก็หันไปเขย่าแขนของร่างสูงเบาๆ ไทจึงก้มหน้ามามองเขาด้วยสีหน้าสงสัย
“อยากได้หนังสือครับ...” เด็กชายบอกความต้องการของตัวเอง
“เราหยุดดูหนังสืออยู่สินะ? ถ้างั้นก็ไปเลือกสิ” ไทว่าพร้อมรอยยิ้มที่คลี่บางบนใบหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สุภะขอซื้อหนังสือ มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วถึงเจ็ดครั้งนับตั้งแต่วันแรกที่อยู่ด้วยกันจนตลอดสองสัปดาห์ ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่ไทจะปฏิเสธ ก็เขามันสายเปย์นี่นา...
เมื่อก้าวเข้าไปภายในร้าน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือกลิ่นอายของหนังสือเก่าใหม่ที่จัดเรียงอยู่บนชั้น ซึ่งมันดูละลานตาไปหมด ไทบอกว่าเขาสามารถซื้อหนังสือได้สูงสุดเพียงสามเล่ม เด็กชายไม่สนใจคำกล่าวต้อนรับของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร้าน รีบเดินดุ่มๆ ตรงไปยังจุดตั้งโชว์หนังสือแล้วคว้าหนังสือนิทานก่อนนอนที่ต้องการเป็นเล่มแรกทันที ก่อนจะเดินไปยังโซนหนังสือสำหรับเด็กที่อยู่ลึกเข้าไป ไทยืนรอเด็กชายอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน มีบ้างที่หันไปพูดคุยกับหญิงสาวเจ้าของร้านในชุดกระโปรงสีขาวสว่าง ถ้าหากเปรียบสุภะเป็นเหมือนดวงตาของไท ก็คงสามารถเปรียบไทเป็นเหมือนกระเป๋าตังค์ของสุภะได้เช่นกัน
ในระหว่างที่เด็กชายตัวเล็กกำลังกวาดสายตาไล่ไปตามแต่ละชั้นเพื่อหาหนังสือที่อยากอ่าน จู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่บนพื้น คาดว่ามันคงร่วงลงมาจากชั้นหนังสือแถวนี้ มือเล็กอดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาดู มันเป็นหนังสือที่ค่อนข้างหนาพอสมควรและมีขนาดประมาณ A5 (ขนาดของหนังสือนิยายทั่วไป) น่าแปลกที่บนหน้าปกทั้งสองเป็นสีฟ้าโล่ง มีเพียงรูปเมฆสีขาวเล็กๆ ประดับประปราย แต่หากไม่มีข้อความอะไรเลยแม้แต่ชื่อหนังสือหรือชื่อผู้แต่งก็ตาม มีแค่ที่คั่นหนังสือสีน้ำเงินที่คั่นหน้ากระดาษตรงกลางเอาไว้
เอ๊ะ...นี่อะไร
สุภะพยายามเพ่งมองไปที่บางสิ่งบางอย่างเล็กๆ สองอันที่ยืนออกมาจากปกแรกของหนังสือ มันเหมือนกับ...ขา?
แถมยังมีขีดสามขีดเล็กๆ อยู่บนหน้าปกนั้นด้วย ซึ่งมันจัดเรียงกันจนดูคล้ายตาและปาก
หนังสือเล่มนี้มันแปลก...แปลกมากๆ ในขณะที่สมองกำลังประมวลผลว่าเขาควรแกล้งทำเป็นไม่เห็นมันแล้วเก็บเข้าชั้นหนังสือดีไหม ทันใดนั้นเองขีดสองขีดที่ดูคล้ายตาของมันก็กระพริบถี่ระรัว แต่เพียงแค่ชั่วครู่ก็หยุดแน่นิ่งไป สุภะมองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่ามันลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าเขาก็ไม่รีรอที่จะยัดหนังสือเล่มนั้นเข้าไปในช่องว่างของชั้นหนังสือ แล้วรีบเดินแจ้นไปหาไทตรงเคาน์เตอร์จ่ายเงินด้วยหน้าตื่นตระหนกทันที
ถึงไทจะแปลกใจที่สุภะเลือกหนังสือได้เร็วกว่าที่คิดแต่กลับไม่ได้ถามอะไร หลังจากจ่ายเงินค่าหนังสือและเดินออกมาหญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะกล่าวคำขอบคุณที่อุดหนุนร้านของเธอ สุภะยังคงไม่สนใจคำกล่าวนั้น เพราะมีบางสิ่งบางอย่างดึงเอาความสนใจของเขาไปหมดแล้ว…
ไม่สิ ต้องบอกว่าเขากำลัง ระแวง เจ้าสิ่งนั้นมากกว่า
เมื่อเด็กชายหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองข้างหลัง ก็พบว่าเจ้าหนังสือประหลาดสีฟ้าเล่มนั้นจากที่เคยอยู่บนชั้นหนังสือตอนนี้กลับยืนด้วยสองขาเล็กๆ ของมันอยู่ข้างหลังเขาแล้ว!
จู่ๆ เด็กชายก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาเมื่อเห็นหนังสือเล่มนั้นกางออกได้เอง แผ่นกระดาษมากมายในนั้นปลิวรวนราวกับต้องลมแรงจนส่งเสียงดังพรึ่บพรั่บ ก่อนที่สักพักจะสงบลงและเผยให้กระดาษหน้ากลางที่มีที่คั่นหนังสือสีน้ำเงินเล็กๆ คั่นอยู่ ข้อความสีแดงค่อยๆ ถูกบรรจงเขียนขึ้นโดยเริ่มจากอักษรตัวแรกและไล่ไปทีละตัวอักษร หนังสือเล่มนั้นกำลังเขียนตัวของมันเอง ซึ่งดูเหมือนว่าผู้คนที่เดินอยู่บนทางเท้าจะไม่มีอารมณ์ตกใจเลยสักนิด พวกเขายังคงเดินผ่านเจ้าหนังสือเล่มนั้นไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาเห็นแต่ไม่สนใจหรือมองไม่เห็นกันแน่
แต่น่าจะเป็นอย่างหลัง…
‘สวัสดี ฉันเจอเธอแล้ว’
นั่นคือข้อความที่ปรากฎบนหน้ากลางของหนังสือ
เขาไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร
หมับ!
เฮือก!
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวทันทีที่มีสัมผัสร้อนวาบของอะไรบางอย่างแตะลงบนไหล่ซ้าย พอหันไปมองก็เห็นว่าเป็นมือของไทนั่นเองที่จับไหล่เขาไว้
“เห็นเราไม่เดินสักที มีอะไรหรือเปล่า?” ไทไถ่ถามด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าเด็กชายพาเขาเดินไปได้แค่สี่ก้าวก็หยุดลง
“เอ่อ..”
เด็กชายเงียบไป เพราะกำลังคิดว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับไทดีไหม ว่าแล้วก็แอบชำเลืองมองไปที่หนังสือเล่มนั้นอีกรอบ มันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ดวงตากลมเล็กและปากเป็นเส้นขีดเรียบๆ ของมันเลื่อนมาปรากฎอยู่กลาง
กระดาษทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ที่หน้าปกอยู่เลย เขาไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ต้องการและมันคือตัวอะไรกันแน่ มันอาจจะเป็นเอเลี่ยนที่เขาเคยตามหาในห้องนอนก็ได้
แต่ตอนนี้เขารู้สึกไม่อยากเจอมันอีกแล้ว…
16 : 51 น.
ไม่ว่าสุภะกับไทจะเดินไปที่ไหน เจ้าหนังสือเอเลี่ยนก็ยังคงเดินตามหลอกหลอน แต่ละย่างก้าวเล็กๆ ของมันราวกับสัตว์ตัวน้อยที่กำลังฝึกเดิน
พวกเขาได้วัตถุดิบสำหรับทำหมูจุ่มมื้อเย็นของวันนี้มามากมาย ไม่ว่าจะวุ้นเส้น ผักกาด แครอท ข้าวโพดอ่อน เห็ดเข็มทองหรือจะเป็นเนื้อหมู ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะแวะไปร้านผลไม้ซึ่งอยู่เยื้องจากตลาดไปเล็กน้อยด้วย
ไทก้าวเข้าไปในร้านด้วยตัวคนเดียว เพราะเขามาร้านนี้บ่อยจนแทบจะเป็นลูกค้าวีไอพีของที่นี่ได้ ส่วนสุภะก็นั่งรออยู่บนม้านั่งสีขาวด้านนอกร้านอย่างเงียบๆ บนตักของเขามีถุงใส่หนังสือนิทานและถุงใส่วัตถุดิบทำหมูจุ่มวางอยู่คู่กัน และถัดไปที่ข้างกายของเขาก็เป็นหนังสือเล่มนั้นที่นั่งจับจองพื้นที่ไป ถึงหนังสือนั่นจะดูไม่มีพิษภัยอะไรแถมไม่มีทีท่าว่าจะทำร้ายเขา แต่มันก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดี...ว่าแต่ทำไมต้องเป็นหนังสือกันล่ะ?
สุภะเหม่อมองไปยังถนนสองเลนด้านหน้าพลางแกว่งเท้าเล่นไปมาเบาๆ ในขณะที่หนังสือเล่มนั้นยังคงเปิดออกอยู่ที่หน้าเดิมแล้วหันมาหาเขา
‘กลัวฉันเหรอ?’
ข้อความใหม่ปรากฎขึ้นบนหน้ากระดาษ พร้อมกับที่ข้อความเก่าถูกลบทิ้งไป ดวงตาของมันกระพริบปริบๆ
“...” เด็กชายหันไปอ่าน แต่ไม่ตอบอะไร
‘ไม่ต้องกลัว ฉันมาเพื่อช่วยเธอนะ’
ช่วย?...ช่วยอะไรกัน? ถ้าจะช่วยเขาถือของล่ะก็ไม่เป็นไรหรอก..
‘อย่าห่างจากไทเด็ดขาด’
ข้อความใหม่ยังคงปรากฎขึ้นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำเตือนที่เด็กชายตัวเล็กไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จับใจความคร่าวๆ ได้เพียงบางข้อความที่ว่า ‘หายไป’ ‘มันจะพุ่งเข้ามา’ และ ‘เธอจะสูญเสียมันไป’ ถึงจะแอบกังวลและกลัวราวกับคำเตือนพวกนั้นกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่าง แต่พอคิดมากๆ เข้าก็ชักจะทำให้เขารู้สึกเพลียขึ้นมา
เด็กชายจึงเผลอหลับไปทั้งๆ แบบนั้น…
…
..
.
.
.
17 : 34 น.
เมื่อลืมตาขึ้นมา ไทก็ไม่อยู่แล้ว
พอลองถามป้าผู้เป็นเจ้าของร้านขายผลไม้ก็ได้ความแค่ว่าไทออกจากร้านไปสักพักแล้ว ไทคงออกมาจากร้านแล้วไม่ได้ยินเสียงเขาเพราะเขากำลังหลับอยู่ คนตัวเล็กหันมองทางซ้ายขวาที่เริ่มมีผู้คนและรถหนาขึ้นด้วยความกังวล เขาไม่รู้หรอกว่าถ้าหากปล่อยให้ไทเดินไปเองแล้วจะเป็นอย่างไร แต่เขาไม่อยากถูกทิ้งไว้ที่นี่คนเดียว...ยังอยากกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์พร้อมกันกับไท
หนังสือเล่มนั้นเองก็หายไปแล้ว…
ไม่ว่าจะลองเดินไปหาที่ไหนก็ไม่มีวี่แววของชายหนุ่มตาบอดเลย เขาใช้เวลาเดินหาอยู่นานจนขาทั้งสองข้างเริ่มปวดหนึบ บ่งบอกว่าขาของเด็กชายใกล้จะหมดแรงเต็มที มือซ้ายที่จับไม้ค้ำเองก็เริ่มชื้นเหงื่อและแรงค่อยๆ หดหายไปทีละน้อย เขาตัดสินใจเดินกลับมาที่ร้านหนังสือ และได้เห็นแผ่นหลังใหญ่ใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวของไทอยู่ที่ทางเท้าของอีกฝั่ง
ไทอยู่ตรงนั้น!
แต่ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะสามารถข้ามไปยังอีกฝั่งได้ เพราะบนถนนสองเลนที่คั่นกลางระหว่างเขากับไทเอาไว้มีแต่รถราคันใหญ่แล่นสวนกันเสียงดังแถมยังแล่นด้วยความเร็วในระดับที่เขามองไม่ทัน ประจวบกับเวลาเริ่มมืดลงทุกที ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานของพนักงานเงินเดือนส่วนใหญ่ นั่นก็หมายความว่ารถและหมอกควันก็ยิ่งมีแต่จะเพิ่มขึ้น
เด็กชายอาศัยจังหวะช่วงที่ยังไม่มีรถผ่านรีบก้าวออกจากทางเท้าที่ยืนอยู่ทันที ถนนค่อนข้างกว้างนักสำหรับเด็กตัวเล็กๆ อย่างเขา เขาตะโกนเรียกชื่อไท ซึ่งชายหนุ่มเจ้าของชื่อก็หันมามองตามเสียงแต่ยังสับสนว่าเสียงนั้นมาจากทางไหน เพราะหลังจากที่สุภะตะโกนเรียก ห่างไปเพียงไม่กี่วินาทีก็มีอีกเสียงหนึ่งแทรกขึ้นบดบังเสียงเรียกของเด็กชายจนแทบกลืนหายไปกับอากาศ...
มันคือเสียงเครื่องยนต์ของรถพ่วงคันมหึมาที่กำลังวิ่งตรงมาทางเด็กชายอย่างรวดเร็ว
เสียงแตรรถอันสูงปรี๊ดร้องระงมลั่นไปทั่วเมือง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปะทะกันอย่างรุนแรง
เหตุการณ์นั้นผ่านไปเร็วมาก...เร็วจนรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่กลางถนน...
- บันทึกความทรงจำ 11:
- วันที่จดบันทึก : 19 / xx / xxxx
-------------------------------------------------------------------
17 : 55 น.
เด็กชายลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงหน้าเล็กพลิกมาประจันหน้ากับท้องฟ้าสีส้มอมม่วง พลันสมองก็สั่งการให้ความเจ็บวิ่งแล่นไปทั่วร่าง ราวกับร่างกายของเขาจะแตกเป็นเสี่ยงๆ กล้ามเนื้อเหมือนถูกแช่แข็งไว้จนแทบขยับไม่ได้ เขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังอยู่รอบตัว เด็กชายพยายามมองหาไทหากพบเจอแต่ขาของผู้คนที่เข้ามามุงดูเป็นสิบๆ
เขานึกว่าตัวเองจะถูกรถชนเสียแล้ว…
แต่ที่จริงคือไม่ ร่างของเขาเหมือนถูกผลักโดยอะไรบางอย่างจนล้มเกลือกกลิ้งแล้วมานอนอยู่ตรงนี้
เสียงปะทะกันอย่างรุนแรงคือเสียงของรถพ่วงคันนั้นที่หักเลี้ยวไปทางขวาจนชนเข้ากับต้นไม้
เด็กชายเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ข้างๆ มือซ้ายของเขา ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่คอยเดินตามเด็กชายมาตลอด มันเปิดออกเผยให้เห็นกระดาษหน้ากลางที่ยับยู่ยี่และขาดแหว่งไปพร้อมข้อความสีแดงบนนั้น ดวงตากลมเล็กเท่าเมล็ดถั่วของมันกระพริบถี่รัวไม่หยุด
‘ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ’
“สุภะ!!”
ไทวิ่งฝ่าไทยมุงเข้ามาแล้วทรุดตัวนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ เด็กชาย มือหนารีบควานหาร่างของคนตัวเล็กมากอดแนบอกไว้แทบจะในทันที หลังจากได้ยินคนแถวนั้นคุยกันว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกรถพ่วงชนบนถนน ใบหน้าของเขาก็แลดูเจ็บปวดปานเป็นฝ่ายถูกรถชนเสียเอง ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มและคล้ายจะทะลุร่างออกไป มือทั้งสองของชายหนุ่มสั่นเทาไปหมดจนได้แต่กอดร่างเล็กของเด็กชายไว้อย่างหลวมๆ
ไทรู้สึกโล่งใจมากที่รู้ว่าสุภะไม่ได้ถูกรถชนอย่างที่คนเขาพูดกัน มีเพียงแค่อาการปวดแขนขากับบริเวณข้อศอกที่มีแผลถลอกจนเลือดซิบ กว่าพวกเขาจะเดินทางกลับบ้านได้ก็ใช้เวลาราวๆ 20 นาที โดยที่สุภะไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือสีฟ้าเล่มนั้นติดมือไปด้วย นอกจากจะมีจุดเสียหายที่กระดาษข้างในแล้ว หน้าปกก็ยังเปื้อนขี้ดินขี้ฝุ่นแถวนั้นจนเป็นคราบดำ แถมขาเล็กๆ ข้างหนึ่งของมันก็บิดเบี้ยวจนมีรูปทรงที่ผิดปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหนังสือเล่มนั้นก็ยังคงทำหน้าทำหน้าด้วยสีหน้าเดิมๆ ปากของมันเป็นเส้นเรียบ ไม่ยกยิ้ม ไม่บูดบึ้ง คล้ายกับสีหน้าของเด็กชายในตอนนี้เลย
…
..
.
.
.
.
18 : 43 น.
สุภะนั่งมองผลงานของตัวเองที่ประทับลงบนหนังสือด้วยความภาคภูมิใจ นี่เขาก็มีสกิลการซ่อมแซมของที่เก่งยอดเยี่ยมเหมือนกันนะเนี่ย หน้ากระดาษที่เคยยับยู่ยี่ตอนนี้กลับหลงเหลือรอยเพียงแค่เล็กน้อย จุดที่ถูกฉีกขาดไปเด็กชายก็หากระดาษจากหนังสือเล่มอื่นมาต่อเติมแปะเทปติดให้ หน้าปกที่เปรอะคราบขี้ดินก็จัดการเช็ดถูด้วยผ้าชุบน้ำบางๆ จนกลับมาเป็นสีฟ้าสะอาดอีกครั้ง ไหนจะขาที่บิดเบี้ยวของมันตอนนี้ก็กลับมาเป็นปกติ เดินได้เหมือนเดิมแล้ว ถึงสภาพโดยรวมของหนังสือจะกลับมาไม่เต็มร้อย แต่มันก็ดูดีขึ้นมากชนิดที่ว่าตัวของมันเองยังชอบเลย
‘ขอบคุณที่ซ่อมฉันนะ’
หนังสือเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับตัวอักษรสีแดงที่บรรจงเขียนขึ้นทีละตัวจนรวมกันเป็นข้อความ
ยอมรับว่าเหตุการณ์เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนทำให้สุภะไม่ระแวงเจ้าหนังสือเล่มนี้อีกต่อไป อย่างน้อยเขาก็อยากจะซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของมันให้กลับมาดีเหมือนเดิม เพราะถ้าหากเขาระวังตัวให้มากกว่านี้หนังสือเล่มนี้ก็คงไม่ต้องเข้ามาปกป้องเขาจนตัวเองเสียหาย หลังจากทานหมูจุ่มจนอิ่มแปล้เขาก็รีบผละออกจากโต๊ะรับประทานอาหาร หนีเข้ามาหมกตัวอยู่ในห้องนอนแล้วนั่งซ่อมมันทันที
สุภะวางหนังสือลงบนผ้าปูเตียง ก่อนที่มันจะเดินวนไปมาเป็นวงกลมอยู่สามรอบแล้วหันมาจ้องเขาตาไม่กระพริบ
“คุณเป็นเอเลี่ยนเหรอ..” สุภะตัดสินใจถามออกไป
‘ฉันเป็นภูติต่างหาก’
“ภูติ...” เด็กชายทวนด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ว่าแล้วเขาก็หวนนึกไปถึงเมื่อตอนบ่ายที่นั่งอ่านนิทานกับไทบนม้านั่งในสนามหญ้า ซึ่งไทเคยพูดเรื่องของภูติเอาไว้ ที่บอกว่าทุกคนนั้นมีภูติอยู่ในตัวและมันจะปรากฎตัวออกมาเพื่อช่วยเหลือคนคนนั้น เขาคิดว่ามันจะไม่มีจริงแล้วเสียอีก
‘ฉันก็คือเธอ เธอก็คือฉัน ฉันอยู่กับเธอตลอดเวลา’
เด็กชายอ่านข้อความสีแดงบนกระดาษนั้นอย่างเงียบๆ รอดูว่าข้อความที่ถูกลบไปกำลังจะแทนที่ด้วยข้อความอะไรต่อ...
‘ดีใจที่ได้เจอเธอนะ เด็กชายตัวน้อย’
‘ไว้เจอกันใหม่ ลาก่อน’
เมื่อสิ้นสุดข้อความส่งท้ายหนังสือก็ถูกปิดลงด้วยตัวของมันเอง โดยไม่รอให้เด็กชายได้เอ่ยคำตอบโต้อะไร ดวงตาทั้งคู่ก็ปิดลง ก่อนที่ร่างของมันจะค่อยๆ ย่อยสลายกลายเป็นผุยผงสีฟ้าอ่อนแล้วปลิวหายไปในอากาศอย่างเงียบเชียบ สุภะเหม่อมองตามทิศทางที่เศษผงนั้นปลิวไป เมื่อทั้งห้องกลับมาว่างเปล่าและเงียบสงัด บนผ้าปูเตียงก็เหลือเพียงแค่เขาตัวคนเดียว มือเล็กนุ่มของเด็กชายเอื้อมไปลูบแผลที่ข้อศอกข้างขวาเบาๆ
ถึงข้อความสุดท้ายจะทิ้งท้ายไว้ราวกับว่าพวกเขาจะได้พบกันอีก
แต่หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนั้นอีกเลย...
S - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีนิลสุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
+10 STAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลกับทางโรงเรียนได้
คำวิจารณ์จากกรรมการตัดสิน พิมพ์ว่า:ตัดสินโดย : @pangkawjoa @peemung @dedog @Randel
บรรยายสถานที่ได้ละเอียดมากจนเหมือนมีอยู่จริงเลยครับ การบรรยายเนื้อเรื่อง
ลื่นไหลดีมาก บทบรรยายเยอะแต่ไม่น่าเบื่อ เหมือนอ่านนิทานในนิทานอีกทีเลย
ภูติแอบมีความน่ากลัวนิดหน่อยในช่วงแรกๆ แต่ชอบแนวคิดที่ว่าภูติเป็นหนังสือ
ดูแปลกใหม่และแหวกแนวดีและเหมาะกับสุภะด้วย ชอบความคิดที่เลือกภูติเป็น
สิ่งของ และด้วยการสื่อสารที่ไม่ใช่การพูดคุยด้วยเสียงทั่วไป ทำให้เนื้อเรื่องนี้มี
ความน่าสนใจมากขึ้น อ่านแล้วทำให้รู้สึกลุ้นตามไปด้วยเลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
บ้าง ถึงแม้ว่าบางอย่างจริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียดขนาดนั้น ประทับใจ
เรื่องเหตุผลที่ภูติออกมามาก แต่ขอฝากไว้เรื่องหนึ่งคือ มีอยู่จุดหนึ่งที่แอบสงสัย
คือ ฉากที่ไทเห็นสุภะส่ายหัว เลยสงสัยว่าเขาเห็นสุภะส่ายหัวได้อย่างไร? ในเมื่อ
ไทนั้นตาบอด
- U
Saharat Chaiyakul
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6
823
+86 M 22 K 507
PASSPORT
:
(1475/2250)
:
Re: Lesson 79 : อะไรอยู่ข้างในกันนะ
- ข้างในคือยู:
- ___________________________
"วันนี้หมอมีภาพมาให้ยูดูสามใบ ไหนยูลองบอกหมอสิว่า ยูคิดว่าภาพแต่ละใบ
แทนอารมณ์อะไร”
คุณหมอหนุ่มยิ้ม พร้อมชูภาพการ์ตูนในมือของตนขึ้น เป็นภาพภาพคนกำลังยิ้ม
คนกำลังโกรธ และคนกำลังร้องไห้
เด็กชายสหรัฐในวัย 13 ปี มองภาพเหล่านั้นอย่างพิจรณาแล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“ทุกคน..เป็น..อารมณ์สุขครับ”___________________________
สหรัฐลืมตาขึ้นมาช้าๆ ท่ามกลางความมืด เขาเหลือบมองรูมเมทที่เตียงข้างๆ ก็พบว่า
สุภะยังคงหลับสนิทอยู่ จึงเอื่อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงของตนมาดู
'02.05 น.’
ยังไม่ถึงเวลาตื่น..
เขาคิดพลางหลับตาลงเพื่อนอนต่อ แต่ก็ทนหลับตาได้เพียงห้านาทีเท่านั้น ราวกับเวลา
ผ่านไปหลายชั่วโมง สหรัฐกระพริบตาถี่ๆ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก การตื่นกลางดึกแบบนี้
ไม่ใช่วิสัยปกติของเขาเลย ตัวเขานั้นมักนอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา กินเป็นเวลาเสมอ
ทุกอย่างต้องเหมือนเดิมที่เคยทำ การที่ตัวเองตื่นก่อนเวลาแบบนี้ทำให้เขาอึดอัด
หลายวันมานี้เขานอนหลับไม่สบายนัก ทำให้หลับไม่สนิท สหรัฐนอนหงายมองเพดาน
ทำไม่ตัวเขานอนหลับต่อไม่ได้ ทำไมไม่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ทำไมต้องมาตื่นตอนนี้
เขาสูดลมหายใจเข้าออกถี่ๆ
ยิ่งมองเพดานนานเท่าไร เขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น
อยากระบายออกมา ..
สหรัฐลุกขึ้นและเดินออกไปที่ระเบียงห้อง เขานั่งลงในลักษณะคุกเข่าราบที่พื้นตรงมุมของระเบียง
หันหน้าเข้าหากำแพง สองมือเอื้อมจับข้อเท้าตนและเริ่มกดนิ้วมือ ปลายเล็บของเขาจมลง
ในเนื้อลึกลงไปเรื่อยๆ ตามแรงกด ในขณะเดียวกันเขาก็โขกศรีษะใส่กำแพงไปด้วย
นี้คือวิธีการระบายออกของ สหรัฐ ชัยกุล ในวัย 18 ปี
ในวัยเด็กตัวเขามักอาละวาดอย่างรุนแรง กรีดร้อง พังข้าวของ ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายตนเอง
แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นเขาเรียนรู้ที่จะไม่พังสิ่งของรอบตัว เรียนรู้ที่จะไม่อาละวาด เขาสามารถ
หักห้ามใจตัวเองส่วนหนึ่งไม่ให้เผลอทำร้ายคนรอบตัวได้
หลายปีมานี้จำนวนครั้งในการอาละวาดของสหรัฐนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด นี้เป็นครั้งแรก
ในรอบสองเดือน ที่เขาทำแบบนี้
สหรัฐหายใจอย่างรุนแรงตามแรงกระแทกของศรีษะที่เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
.
.
.
.
‘รู้สึกไม่ดีหรอครับ’
จู่ๆ ก็มีเสียงเนิบช้าปนสะอื้นระลอกหนึ่งดังขึ้นเบาๆ ข้างหูของเขา เป็นเสียงเล็กๆ ที่ไม่ทุ้มต่ำอย่างผู้ชาย
ไม่แหลมสูงเหมือนผู้หญิง ลักษณะเหมือนเสียงของเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย
..ไม่รู้ครับ..
สหรัฐตอบไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร
‘โมโหหรอครับ'
..ไม่รู้ครับ..
‘ไม่เจ็บหรอครับ..’
..ไม่รู้ครับ..
..ยูไม่รู้ เจ็บเป็นยังไง..
..ยูไม่รู้อะไรเลยครับ..
..ยูไม่เข้าใจ..
..ความรู้สึก..
..ยูจำได้ว่าคืออะไร..
..ยูจำได้ว่าอารมณ์มีอะไรบ้าง..
..แต่ยู..
‘เลือด..ออกแล้วนะครับ’
‘ที่ข้อเท้า..’
..เอ๊ะ..
สหรัฐชะงักไป ทั้งที่ปกติแล้วเขาหากเริ่มทำร้ายตัวเองเมื่อไร เขาจะไม่สามารถหยุดด้วยตัวเองได้
เขาก้มลงไปมองข้อเท้าตัวเองมีรอยเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา เขาคลายมือซึ่งกำแน่นอยู่ออก
‘แดงแจ๋เลย น่ากลัว’
‘ไม่ชอบสีแดงเลย’
..ไม่ชอบสีแดงเลย..
สหรัฐและเสียงนั้น พูดแทบจะพร้อมๆ กัน
..เอ๋..
สหรัฐเงยหน้าขึ้นทันทีแต่ไม่พบเจ้าของเสียงนั้น
‘ทางนี้ครับ อยู่ด้านหลังครับ’
เมื่อเขาหันไปตามเสียงที่เรียกตอบ ก็พบกับร่างเล็กๆ ชุดเสื้อยืดตัวหลวมโคร่ง กางเกงขาสั้น
กำลังนั่งชันเข่ามองมาทางเขา เป็นเด็กชายคนหนึ่ง เส้นผมหนาสีดำไท่เป็นทรง
ดูยุ่งเล็กน้อยยาวประต้นคอ ใบหน้ากลม จมูก ใบหูและผิวแก้มแดงระเรื่อ
..เธอ..คือ..?..
ดวงตาสีดำกลมโต จ้องมองมาทางสหรัฐอย่างตรงไปตรงมา พร้อมเหยียดยิ้มให้
ทั้งที่ยังมีน้ำตาไหลอาบแก้มเล็กทั้งสองข้างอยู่
‘ยูชื่อยู'
สหรัฐมองอย่างไม่เข้าใจคำตอบที่ได้รับ
..รู้ชื่อยูด้วยหรอครับ..
‘ไม่ใช่ๆ’ เด็กน้อยสั่นหัวไปมาน้อยๆ และชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ‘ยูชื่อยู’
..เธอชื่อยู?..
‘อืม!’
..ชื่อเดียวกันเลย..ยูก็ชื่อยู..
‘อืม รู้แล้ว’
สหรัฐจ้องมองใบหน้าของคนตรงข้าม แม้จะส่งยิ้มมาให้เขาแต่ดวงตาของเด็กน้อย
ก็ยังคงแดงและเปียกชื้น
..ร้องไห้ทำไมหรอ..
‘ยูเจ็บครับ’
..เจ็บตรงไหน..
สหรัฐขยับตัวเข้าไปหาเด็กน้อยเพื่อมองหารอยแผล
‘เจ็บตรงนี้’ ยูตัวน้อยเอื้อมมือไปแตะข้อเท้าของตน
‘แต่ตรงนี้เจ็บกว่า’ มือเล็กๆ กุมอกด้านซ้ายไว้
..เจ็บมากไปไหม เจ็บมากต้องไปหาหมอนะ..
’แล้วเธอล่ะ..จะไปหาหมอไหม?'
..ยูต้องเจอหมอทุกวันพฤหัสอยู่แล้ว..
‘วันนี้พึ่งเช้าวันจันทร์ จะปล่อยไว้แบบนั้นไปอีกสามวันหรอ’
..อืม..
‘อดทนเก่งจัง เป็นยูคงทำไม่ได้’
‘ได้นอนร้องไห้ทั้งคืนแหงๆ'
‘ฟืด..'
เด็กน้อยยูดึงชายเสื้อยืดสีเขียวสดใสขึ้นมาสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำตาที่ไหลอยู่อย่างลวกๆ
‘ว่าแต่ทำไมถึงอารมณ์ไม่ดีหรอครับ?’
..ยูอารมณ์ไม่ดี..
‘เห็นเอาหัวโขกกำแพง’
..เพื่อน..
..เพื่อนโตครับ..
‘โต? เธอก็โตนินา ลุกสิครับ..นี้ไงตัวใหญ่บะเร่อ’
ยูน้อยลุกขึ้นและกวักมือให้สหรัฐลุกตาม เด็กชายตัวน้อยเดินเข้าไปยื่นใกล้ๆ
ทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ยูน้อยสูงถึงแค่เอวของเขาเท่านั้น
..โตแต่ตัว..
‘คำนี้..ที่ได้ยินตอนกลับบ้านคราวนั้นสินะครับ’
‘พวกคนนิสัยไม่ดี'
..ยูโตแต่ตัว..
..เพื่อนไม่ใช่..
..พูดไม่เหมือนเดิม..
..ทำไม่เหมือนเดิม..
‘ไม่เห็นเข้าใจเลย’
‘คนก็คนเดิม จะมีอะไรเปลี่ยน’
สหรัฐนิ่งไปสักพักแล้วจึงส่ายหัว เขานั่งลงอีกครั้งวางนิ้วชี้มือซ้ายและขวาไว้บนพื้นพร้อมอธิบาย
..นิ้วนี้ยู..
..นิ้วนี้เพื่อน..
..เตรียมตัว..ระวัง..ไป...
เมื่อพูดจบเขาเลื่อนนิ้วทั้งสองข้างไปข้างหน้าช้าๆ ช่วงแรกนิ้วทั้งสองก็ขยับไปเท่าๆ กัน
แต่ไม่นานนิ้วชี้ขวาก็แซงนิ้วชี้ซ้ายไป ห่างออกไป ออกไปเรื่อยๆ ยืดไปจนสุดแขนของสหรัฐ
ส่วนนิ้วชี้ซ้ายยังคงอยู่ที่เดิมใกล้ๆ จุดสตาร์ท
..ยูวิ่งแข่งแพ้..
..ไม่เห็นเส้นชัย..
สหรัฐก้มมองนิ้วมือตน แล้วลูบมือซ้ายเบาๆ
‘อ้าว..แข่งอยู่หรอ?’
‘ยูอะนะ ไม่วิ่งแข่งกับเพื่อนหรอก’
‘ยูวิ่ง แล้วดูท้องฟ้าครับ’
เด็กชายยูชูมือขึ้นเหนือศรีษะ และแหงนหน้ามองขึ้นท้องฟ้า
‘ยูชอบก้อนเมฆ’
สหรัฐได้ฟังก็เงยหน้าตามเด็กน้อย เอนตัวเล็กน้อย แหงนหน้ามองดูท้องฟ้าตาม แม้ท้องฟ้ากลางคืนนั้น
จะไม่ได้สว่างสดใสเหมือนยามกลางวัน แต่ท้องฟ้าก็ยังกระจ่างใสอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งในแถบโรงเรียน
ไม่มีการสร้างตึกสูงมากมาย เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าไม่มีแสงไฟมาแย่งแสงจากดวงดาว
.
.
.
.
‘ยูชอบสีท้องฟ้า’
‘ยูชอบลมปลิวไปมา’
‘ท้องฟ้าตอนกลางคืนถึงมองไม่ค่อยเห็นเมฆ แต่ก็มีดาว’
‘ดาวยูก็ชอบ’
..ดาวยูก็ชอบ..
พอพูดตรงกันอีก สหรัฐและเด็กชายก็หน้ามองกันอีกครั้ง รอยยิ้มถูกส่งให้ผ่านดวงตากลมที่บัดนี้
ไม่มีรอยน้ำตาแล้ว การมองดวงดาวดำเนินต่อไปอีกพักหนึ่งจนเด็กชายตัวน้อยเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
‘ที่อารมณ์ไม่ดีหายไหม..’
..อือ..
‘อารมณ์ยูดีขึ้นเยอะเลยแหละครับ’
‘เหมือนได้ผ่อนคลายจากหลายวันที่ผ่านมาเลย'
‘ไม่ได้มองท้องฟ้าอย่างเต็มตามาหลายวันแล้วนินา’
..ยูก็ไม่ได้มองท้องฟ้ามาหลายวันแล้ว..
‘พรุ่งนี้นอนมองให้เต็มที่เลย ดีไหม?’
‘ใต้ต้นไม้ จุดโปรดของยู'
..ไม่อ่ะ..
..ไม่อยาก..นอนมอง..ตรงนั้น..
สหรัฐลุกขึ้นพิงราวระเบียง สายตาจ้องมองไปทางต้นไม้ใหญ่ จุดประจำที่ตนชอบไปนอน
ตั้งแต่เข้าเรียนโรงเรียนแห่งนี้
‘เอ๋? ทำไมล่ะครับ?’
..ไม่รู้สิ..ครับ..
ยูน้อยจ้องมองสหรัฐสลับกับต้นไม้ด้านล่าง พลางคิดอะไรไปด้วยสักพักจึงร้องขึ้น
‘หืม~ ดูท่าทางแล้ว..'
‘ที่อารมณ์ไม่ดีไม่ใช่แค่เพื่อนโตอย่างเดียวสินะครับ’
ใบหน้าของเด็กชายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ยูน้อยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย สหรัฐมองอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก
..ทำไมหน้าเธอแดงจังเลย..
‘ตอนแรกยูก็คิดนะว่า ทั้งยูและเธอยังเด็กไปยังไงเรื่องบางเรื่องพวกเราก็คงไม่มีวันเข้าใจ
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะโตขึ้นอีกนิดหน่อยแล้วสินะ’
..ยูโตขึ้นหรอ?..
‘เธอน่ะมีใช่ไหมล่ะ สิ่งที่เคยไม่ชอบมากๆ วันนี้กลายเป็นยอมอดทนต่อสิ่งเหล่านั้นได้’
..มี..มั้งครับ..
‘ดูเหมือนว่า..’ เด็กชายหลับตาและสัมผัสที่อกด้านซ้ายของตนอีกครั้ง
‘จะเป็นเมล็ดที่แอบไปโต ยูเลยไม่ทันสังเกต’
‘นานพอดูนะเนี้ย’
‘ไม่เลวๆ ฮ่าฮาฮาฮาฮ่า’ เด็กชายหัวเราะอย่างร่าเริง
ตั้งแต่เด็กชายเริ่มพูดคนเดียวไม่สหรัฐก็เริ่มตามเด็กชายตัวน้อยไม่ทัน แต่พอเห็นเด็กชาย
ร่าเริงดูมีความสุขดี เขาจึงมองเฉยๆ
เผลอเพียงแป๊บเดียวท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงสีส้มแซม
‘โอ๊ะ เช้าแล้ว..’
..ต้องเตรียมตัวไปเรียน..
‘งั้นยูก็ไปบ้างดีกว่า’ ยูน้อยยืดตัวบิดขี้เกียจ
‘เธอน่ะ..ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แบบนี้แหละดีแล้ว เข้าใจนะ’
‘แล้วเรื่องนอนในสวนน่ะ ทำใจให้กล้าเข้าไว้ แล้วไปซะ! นะ?'
..แล้วจะมาอีกไหม..
‘ไม่ต้องห่วงน่า ถึงจะบอกว่าไป แต่จริงๆ ยูก็อยู่กับเธอนั้นแหละ’
‘ยูคือจิตใจของเธอนินา'
..อยู่กับยูหรอ?..
‘อือ เราคงเจอกันยากหน่อย ก็มีอุปสรรคใหญ่อยู่ตรงนั้นนินา’ ยูน้อยชี้ไปที่ศรีษะของสหรัฐ
ระหว่างนั้นเองเมื่อมองไปภายในน้องนอนสุภะ รูมเมทของสหรัฐก็พึ่งขยับตัวลุกขึ้น
‘สุภะตื่นแล้ว ต้องไปจริงๆ แล้วแหละ’
‘ไว้จะมาคุยเล่นด้วยใหม่ถ้ามีโอกาสนะครับ~’
‘บั๊ยบาย!!’
เด็กชายตัวน้อยโบกมือลาและหายไปอย่างรวดเร็ว สหรัฐที่ยังไม่ทันได้กล่าวลาอะไรตอบ
ก็ได้แต่เดินงงๆ กลับเข้าห้องพักเงียบๆ และพบกับสุภะที่กำลังพับผ้าห่มเก็บอยู่
“อรุณสวัสดิ์” สหรัฐกล่าวทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ ยูจะอาบน้ำก่อนหรือให้ผมอาบ- หือ?” พูดไม่จบประโยคดีสุภะก็สังเกตเห็น
คราบเลือดบนเท้าของสหรัฐ เขารีบเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดู “ยูเท้าไปโดนอะไรมา"
“อันนี้..คือ..”
“ยูหัวปูดด้วยนินา” สุภะกล่าวอย่างตกใจ และพอคาดเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
“ไปล้างเท้าในห้องน้ำก่อนนะ เดี๋ยวผมทำแผลให้”
สหรัฐพยักหน้าหงึกๆ และเดินเข้าห้องน้ำไปล้างเท้า เมื่อออกมาสุภะที่นั่งรอพร้อมถือกล่องปฐมพยาบาล
ไว้ในมือ ก็เริ่มลงมือทำแผลให้- Spin Off:
เวลาพักเที่ยง..หลังจากเดินเข้าออกอยู่ตรงประตูทางออกตึกเรียนสิบสี่รอบในที่สุด
สหรัฐก็ตัดสินใจเดินอย่างช้าๆ เข้าไปในสวนสาธารณะ เขาหันไปมองซ้ายขวา
ราวกับกำลังหาใครบางคนอยู่ เนื่องจากวันนี้อากาศค่อนข้างร้อน จึงมีนักเรียน
อยู่บริเวณสวนเพียงประปราย เมื่อมองไปรอบๆ แล้ว ไปไม่พบ เขาจึ่งเดินตรงไป
ยังจุดประจำของตนและนอนลงบนพื้นหญ้า
ส้มตัวลงนอนได้แป๊บเดียวก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน เมื่อหลังจากตื่นขึ้นมาตอนตีสองก็ไม่ได้นอนต่ออีกเลย
แถมวันนี้นอกจากคาบแรกที่เป็นภาษาไทยแล้ว ก็ไม่ได้นั่งติดโต๊ะอีกเลย จึงไม่มีโอกาศได้งีบ
เพราะไม่ได้นอนตรงนี้มาหลายวันหรือเปล่านะ..ทำให้วันนี้สหรัฐรู้สึกว่าหญ้านุ่มกว่าทุกวัน
เหมือนกำลังนอนอยู่บนปุยเม--
"ยู?"
เสียงใสของคนที่เขามองหาในตอนแรก ร้องทักขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว สหรัฐสะดุงตกใจ
เด่งตัวขึ้นมานั่งในแทบจะทันที
"ที่นอนยูใช่ไหม? รู้สึกไม่ได้เจอกันตั้งนาน ช่วงนี้ไม่ค่อยได้มานอนเล่นตรงนี้เลยนะ"
"เออ..อือ..ครับ..ไม่เจอ..นาน..นะครับ...." จากปกติที่พูดช้าและติดอ่างบ้างอยู่แล้ว
ก็เหมือนราวกับว่าจะหาลิ้นตัวเองไม่เจอ
"เป็นอะไรรึเปล่า? เสียงแปลกๆ"
"อืม..สบายดี..สบายดีครับ..สบายดีไหมครับ..ยูสบายดีครับ"
"อื้ม ก็ดีนะ ช่วงนี้ยูเป็นไงบ้าง"
"เออ....อ"
หลังจากนั้นกว่าเขาจะหาลิ้นตัวเองเจออีกทีก็กริ่งเข้าเรียนดังนั้นแหละ สุดท้ายแล้ววันนี้สหรัฐ
ก็ยังไม่ได้นอนงีบ และก็ไปหลับเอาคาบเรียนคณิตศาสตร์คาบสุดท้ายแทน ดูเหมือนว่าการเข้ามา
ในสวนก็ยังคงเป็นเรื่องน่าอึดอัดนิดหน่อยสำหรับเขา เพราะอะไร เขาเองก็ไม่รู้...
- Spoiler:
- มีความรู้สึกเหมือนว่าจะไม่เคยเขียนถึงยูในแนวนี้ ในด้านที่อ่อนแอของยู
ด้านที่ปกติไม่ค่อยเผยให้เพื่อนรอบตัวเห็น รู้สึกเขียนยากมากเลย
ส่วนใหญ่เป็นบทสนทนา ไม่แน่ใจว่าบทสนทนาเหล่านี้พอจะทำให้มองเห็น
ลักษณะของภูติในจิตใจของยูได้หรือเปล่า
เอาจริงๆ แอบดูหลอนๆ นิดหน่อยเหมือนยูคุยกับตัวเองอ่ะ55555
ปล.แฮ่ ไม่ได้ส่งภารกิจซะนาน ในที่สุดก็ทำเสร็จทันส่ง
A - CLASS STAMP
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
คำวิจารณ์จากกรรมการตัดสิน พิมพ์ว่า:ตัดสินโดย : @pangkawjoa @peemung @dedog @Randel
รู้สึกเหมือนได้เห็นด้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของยูเลย เกริ่นเรื่องได้น่าสนใจชวน
อ่านต่อมากความสัมพันธ์ของยูกับภูติ แล้วก็กับสุภะตอนท้ายๆน่ารักมากเลยครับ
รู้สึกแปลกดีที่เป็นบทสนทนาเกือบทั้งหมด แต่ชอบการนำเสนอนี้นะครับ มันเป็น
ความแปลกใหม่ดี การดำเนินเรื่องก็เขียนได้ดีอ่านได้เพลิน ไม่สะดุด มีเรื่องราว
แสดงการพัฒนาของตัวละคร และอารมณ์ของตัวละคร ทำให้งานนี้ดูมีประเด็นที่
ชวนอ่านและติดตามต่อไป การที่ยูใช้ยูมาเป็นภูตินั้นถือว่าเหมาะสมมาก เพราะยู
เป็นคนที่เข้าใจตัวเองมากที่สุด บทสนทนาก็ทำให้รับรู้ได้เลยครับว่าพวกเขานั้น
เข้าใจกันและกันอย่างมาก แม้จะไม่ได้บรรยายลักษณะของภูติมากนัก แต่ก็ทำให้
จินตนาการรูปร่างออกได้ไม่ยากเลย แต่แอบมีสับสนตรง Spin Off นิดๆว่าตรง
ส่วนไหนใครเป็นผู้พูดเท่านั้น
|
|