Lesson 21 : In your care
+2
dedog
Nearmoki-2b
6 posters
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Lesson 21 : In your care
Mon 15 Jun 2015, 23:08
สืบเนื่องจากกิจกรรม เป็นพี่เลี้ยงเด็กนั้นเรื่องเล็กซะจริงจริ๊ง
เดือนนี้ตลอดทั้งเดือนทางโรงเรียนได้คัดเลือกนักเรียนผู้มีความรับผิดชอบ
กลุ่มหนึ่งและมอบหมายให้พวกเขาดูแลเด็กๆจากสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง
ที่พากันเดินทางมาตรวจสุขภาพรวมถึงเยี่ยมชมโรงเรียนแห่งนี้ นักเรียน
ทุกคนมีหน้าที่ในการรับผิดชอบเด็กในการดูแลของตนไปจนถึงสิ้นเดือน
ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กๆจะต้องเดินทางกลับไปยังสถานสงเคราะห์อีกครั้ง
ผมขอให้ทุกคนใส่ใจดูแลเด็กๆอย่างเต็มที่และขอให้มีความสุขกับการ
ที่จะได้ทำอะไรดีๆให้กับใครสักคน แม้จะแค่ชั่วคราว หากตอนนี้เด็ก
ที่คุณดูแลอยู่นั้นก็ถือเป็นครอบครัว ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ
ขอฝากเด็กๆไว้ในการดูแลของทุกคนด้วยนะครับ!!
>> ของรางวัลสำหรับนักเรียน (Student Class)
A. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
B. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม 80% ขึ้นไป
C. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับโดดเด่น 75% ขึ้นไป
D. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับปานกลาง 50% ขึ้นไป
E. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ควรพัฒนา 35% ขึ้นไป
>> ของรางวัลสำหรับอาจารย์ (Teacher Class)
A. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
B. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับโดดเด่น 75% ขึ้นไป
C. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับปานกลาง 50% ขึ้นไป
>> ของรางวัลพิเศษจากผู้อำนวยการ
.....ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์เกิน
ขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้นอยู่กับผู้
อำนวยการโรงเรียนเท่านั้น แม้ผลงานที่เพอร์เฟ็คแต่ถ้าขาดความสร้างสรรค์ก็จะไม่ได้
รับถ้วยรางวัลเกียรติยศก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากผลงานไม่ได้สวยจนน่าตะลึงแต่ถ้า
หากมีความสร้างสรรค์ ผู้อำนวยการก็สามารถมอบถ้วยเกียรติยศให้ได้...
เดือนนี้ตลอดทั้งเดือนทางโรงเรียนได้คัดเลือกนักเรียนผู้มีความรับผิดชอบ
กลุ่มหนึ่งและมอบหมายให้พวกเขาดูแลเด็กๆจากสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง
ที่พากันเดินทางมาตรวจสุขภาพรวมถึงเยี่ยมชมโรงเรียนแห่งนี้ นักเรียน
ทุกคนมีหน้าที่ในการรับผิดชอบเด็กในการดูแลของตนไปจนถึงสิ้นเดือน
ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กๆจะต้องเดินทางกลับไปยังสถานสงเคราะห์อีกครั้ง
ผมขอให้ทุกคนใส่ใจดูแลเด็กๆอย่างเต็มที่และขอให้มีความสุขกับการ
ที่จะได้ทำอะไรดีๆให้กับใครสักคน แม้จะแค่ชั่วคราว หากตอนนี้เด็ก
ที่คุณดูแลอยู่นั้นก็ถือเป็นครอบครัว ถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ
ขอฝากเด็กๆไว้ในการดูแลของทุกคนด้วยนะครับ!!
ระยะเวลาภารกิจ พิมพ์ว่า:TUE 16/06/15 ; 00.00 TH - TUE 30/06/15 ; 23.59 TH
รายละเอียดภารกิจ พิมพ์ว่า:1.เขียนบรรยายเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ดูแลเด็กโดยประกอบไปด้วยเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- เหตุการณ์ตอนที่พบกับเด็กเป็นครั้งแรก / ความรู้สึกที่มีต่อเด็ก
[นักเรียนจะได้รับรายชื่อเด็กในการดูแลจากครูประจำชั้น จากนั้น
จึงไปรับเด็กของตนที่ห้องธุรการ โดยมีเลขารัตติกาลเป็นคนคอย
ดูแลความเรียบร้อยและคอยรับผิดชอบเรื่องการรับเด็กทุกคนๆ]
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างดูแลเด็ก วิธีที่ทำให้เด็กเปิดใจ
[เช่น เหตุการณ์ที่ประทับใจ/ปัญหาในการทำให้เด็กเปิดใจ]
- เหตุการณ์ช่วงที่กำลังจะจากลากับเด็ก
[ไม่จำเป็นต้องเป็นวินาทีที่กำลังจะจากลา สามารถเป็นเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น 1 คืนก่อนหน้า หรือวันสุดท้ายที่อยู่ด้วยกัน ก็ได้เช่นกัน]
โดยทั้งหมดนี้จะต้องเขียนโดยอ้างอิงนิสัยรวมถึงพื้นหลังโดยคร่าวของเด็ก
ซึ่งสามารถปลดล็อคข้อมูลได้จากการร่วมกิจกรรมประจำวัน ใครที่ไม่ได้ร่วม
กิจกรรมสามารถสร้างคาแรคเตอร์ของเด็กขึ้นมาใช้เองได้ตามสะดวก หาก
เด็กที่ถูกสร้างขึ้นมาเองจะไม่ได้มีส่วนร่วมในฐานข้อมูลหลักแต่อย่างใด
2. วาดรูปประกอบเนื้อหา
กฏการให้สแตมป์ พิมพ์ว่า:งานเขียน 70% / งานวาด 30%
ในภารกิจครั้งนี้จะตัดสินที่ตัวเนื้อหาของงานรวมถึงวิธีการเขียน/จัดบรรทัดเป็นหลัก
การเขียนเนื้อหาที่มีความยาวมากไม่ได้หมายความว่าจะได้รับสแตมป์ดีเสมอไป
สแตมป์นั้นนับจากคุณภาพของเนื้อหาตัวงานว่ามีทุกอย่างครบตามเงื่อนไขหรือไม่
รวมไปถึงวิธีการนำเสนอ วิธีการเขียนที่ทำให้เนื้อหามีความน่าสนใจในการอ่าน
รูปวาดในภารกิจนี้มีหน้าที่ในการเป็น 'รูปประกอบเนื้อหา' เพื่อยกให้เนื้อหา
ดูน่าติดตามมากยิ่งขึ้น
>> ของรางวัลสำหรับนักเรียน (Student Class)
A. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
- S - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีนิล
สุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp.จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็ค
เป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,500,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
B. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม 80% ขึ้นไป
- A - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม
สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็น
ที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1.250,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
C. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับโดดเด่น 75% ขึ้นไป
- B - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีไพลิน
สื่อถึงความลึกล้ำ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้อย่างดีเป็นที่
น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,000,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
D. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับปานกลาง 50% ขึ้นไป
- C - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับปานกลางในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสี
มรกตสื่อถึงความมั่นคง มีมูลค่า +50 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เป็นที่น่า
พอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +900,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
E. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ควรพัฒนา 35% ขึ้นไป
- D - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับต่ำในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีแอเมทิสต์
สื่อถึงความเรียบง่าย มีมูลค่า +35 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจผ่านเกณฑ์ตามที่
ได้รับมอบหมายไว้- Spirit Point +800,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
>> ของรางวัลสำหรับอาจารย์ (Teacher Class)
A. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
- 3 STAR DIAMOND STAMP
[ TEACHER CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับอาจารย์เท่านั้น มีลักษณะเป็นเพชรสีดำ
ผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่
น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,500,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
B. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับโดดเด่น 75% ขึ้นไป
- 2 STAR SAPPHIRE STAMP
[ TEACHER CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับกลางในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับอาจารย์เท่านั้น มีลักษณะเป็นแซฟไฟร์
สีฟ้าผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ดีเยี่ยมเป็นที่
น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,000,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
C. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับปานกลาง 50% ขึ้นไป
- 1 STAR EMERALD STAMP
[ TEACHER CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับปกติในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับอาจารย์เท่านั้น มีลักษณะเป็นผลึกมรกต
สีเขียวอร่าม มีมูลค่า +50 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจที่มอบหมายผ่านเกณฑ์- Spirit Point +750,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
>> ของรางวัลพิเศษจากผู้อำนวยการ
.....ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์เกิน
ขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้นอยู่กับผู้
อำนวยการโรงเรียนเท่านั้น แม้ผลงานที่เพอร์เฟ็คแต่ถ้าขาดความสร้างสรรค์ก็จะไม่ได้
รับถ้วยรางวัลเกียรติยศก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากผลงานไม่ได้สวยจนน่าตะลึงแต่ถ้า
หากมีความสร้างสรรค์ ผู้อำนวยการก็สามารถมอบถ้วยเกียรติยศให้ได้...
GOLDEN HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองคำแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทาง
โรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก
SILVER HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศเงินแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียน
จัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการ
BRONZE HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองแดง มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียน
จัดขึ้นได้น่าดึงดูดใจผู้อำนวยการ
Signature ------------------------------------------------>
- dedog
Jinn Watinpol
อาจารย์ศิลปะ
5262
+1,074 M 191 K 627
PASSPORT
:
(9911/28000)
:
Re: Lesson 21 : In your care
Mon 22 Jun 2015, 15:58
- hello my baby girl ;) " :
เนื่องจากแต่งแล้วเพลิน ยาวเป็นมหากาพย์มาก -_-;;;
ขอแบ่งเป็น3พาร์ทนะฮะ- พบเจอ:
ผมมองรูปในมือกับข้อมูลที่ครูประจำชั้นแจกจ่ายมา
เนื่องจากโรงเรียนนำเด็กๆ จากสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่งเข้ามาตรวจสุขภาพประจำปีภายในโรงเรียน
ดังนั้นหน้าที่ในการดูแลเด็กๆ จึงตกเป็นของพวกเรา โดยเราจะต้องดูแลเด็กคนนึงไปจนกว่าการตรวจสุขภาพจะเสร็จสิ้น นั่นคือถึงสิ้นเดือนนี้นั่นเอง
เด็กน้อยของผมเป็นสาวน้อยผมทองตาฟ้าหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อืมม์... จากข้อมูลบอกว่าเธอไม่มีแขนทั้งสองข้าง
ผมอดไม่ได้ที่จะทักทายสาวน้อยในรูป- "สวัสดี ตัวเล็ก" :
“ไง” แม็กโผล่หน้ามาจากด้านหลัง มองรูปในมือผมแล้วบอก “เฮ้ย ลูกนายน่ารักอ้ะ”
“แล้วของนายเป็นไง” ผมถาม เอียงคอมองหารูป แม็กเลยโยนทั้งแฟ้มมาให้แล้วบอกขำๆ
“ของเราหน้าตาแสบชะมัด”
ผมเปิดแฟ้มไปก็สบตากับนิ้วกลางที่เจ้าตัวชูใส่กล้อง...
มองผ่านนิ้วกลางไปจึงเห็นเป็นเด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาคมๆ ท่าทางจะแสบอย่างที่แม็กบอกนั่นแหละ
แม็กหัวเราะกับอาการสตั๊นของผมขณะรับแฟ้มกลับไป
“ป้ะ ไปรับเด็กๆกัน” ผมชวนเพื่อนเมื่อเลิกเรียน
เพื่อนพยักหน้ารับแล้วหันไปชวนไอน์ “ไอน์ เรากับจิณณ์จะไปรับลูก นายจะไปด้วยกันมั้ย”
...ช่วยใช้คำที่ดีกว่านั้นไม่ได้แล้วเหรอเพื่อน
เห็นท่านประธานทำหน้าว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนจะบอกให้เราไปกันก่อน
......................................................
ที่สถานสงเคราะห์ที่เธออยู่จัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี ครั้งนี้มันจัดขึ้นที่โรงเรียนผู้พิการควิ้นท์
โรงเรียนหรูที่เคยอย่างมากก็เดินผ่านหรือมองจากที่ไกลๆ ไม่เคยคิดว่าจะได้เข้ามาถึงข้างในอย่างนี้
“ตื่นเต้นเหรอ” พี่ผู้การถามเธอที่มองโน่นนี่นั่นไม่หยุด พอเธอพยักหน้าเขาก็บอก “พี่ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน”
“ไม่รู้ว่าจะได้อยู่กับพี่ๆ คนไหนนะคะ” เธอว่า มองไปทางญายะและชีต้าห์ที่เพิ่งมีพี่ผู้ชายผมสีน้ำตาลและพี่ผู้ชายผูกจุกมารับไป
ดูเป็นพี่ชายท่าทางใจดีทั้งคู่เลย
“นั่นสิเนอะ” พี่ผู้การพึมพำ มองไปที่พี่ผู้ชายสองคนที่เพิ่งเข้ามา ทั้งคู่ดูเด่นเพราะตัวค่อนข้างสูง คนนึงผมทองหน้าออกฝรั่ง อีกคนผมดำหน้าตี๋ๆ
คนผมดำคุยกับคุณรัตติกาลที่คอยดูแลพวกเราอยู่ที่นี่ ท่าทางสนิทสนมกัน “เธอว่าพี่สองคนนั้นจะมารับใคร”
เธอคิดไปเองรึเปล่าว่าพี่คนผมดำเขาหันมามองเธอ
“อลิเซีย” พี่ผู้การเรียก
“คะ” เธอหันไปมองเขา กระพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเหม่อไปตอนไหน
พี่ผู้การชี้ไปทางคุณรัต “คุณรัตเรียก”
เธอรีบลุกขึ้นเดินไปหาคุณรัต ไม่ลืมเอากระเป๋าเสื้อผ้าและหนีบเปียโนตัวเล็กที่พกมาไปด้วย
ถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าพี่ชายผมทองหายไปไหนแล้ว เหลือเพียงพี่ชายหน้าตี๋ที่ตัวสูงจนเธอต้องเงยหน้ามอง
คุณรัตแนะนำให้ว่าเขาชื่อจิณณ์ อยู่ม.5 และเธอต้องอยู่กับพี่ชายคนนี้ไปถึงสิ้นเดือน
เขามองหน้าเธอ เธอก็มองหน้าเขา พี่ชายตัวสูงหน้าตี๋ก็จริง แต่ดวงตาคมราวกับจะมองลึกเข้าไปถึงจิตใจ
ยิ่งพอเขาทำหน้านิ่งๆ หน้าตาก็ดูดุอยู่ไม่น้อยเลย
เขายิ้มให้เธอ
รอยยิ้มนั้นอบอุ่น แต่ไม่รู้ทำไม- ...เธอกลัวเขา:
......................................................
ผมอาสาถือกระเป๋าเสื้อผ้าให้เธอ คงดูแปลกตาไม่น้อยกับการที่เด็กผู้ชายตัวโตๆสะพายกระเป๋าเป้สีชมพูลายคิตตี้
ส่วนเปียโนตัวเล็กนั่นให้ตายเธอก็ไม่ยอมส่งให้ผม
เพื่อนหัวทองของผมก็ไม่รู้วิ่งตามน้องบ๊อบบี้ (เจ้าของนิ้วกลางที่ผมสตั๊นนั่นแหละฮะ) ไปถึงไหนแล้ว
เป็นเจ้าตัวแสบอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
สาวน้อยดูอึดอัดเมื่ออยู่กับผมสองคน ผมก็พลอยเกร็งไปด้วยเพราะไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี
การมีน้องสาวสองคนอยู่ที่บ้านไม่ได้แปลว่าจะทำให้ผมรับมือสาวๆ เก่งขึ้นแต่อย่างใด น้องสาวผมพูดเก่งออกอย่างนั้น
แต่สาวน้อยคนนี้เงียบใส่อย่างเดียวเลย ผมควรจะชวนเธอคุยอะไรดี
“หิวมั้ยคะ” ผมถามเธอเมื่อเราเดินกันถึงห้องของผม ห้องนี้ผมอยู่คนเดียวเนื่องจากรูมเมทลาออกไป
สาวน้อยดูสตั๊นเล็กน้อยเมื่อเห็นตุ๊กตาหมีสีชมพูตัวโตบนเตียง เธอมองหน้าผมสลับกับตุ๊กตาอยู่แปบนึงก่อนจะตอบว่าไม่หิว
เนื่องจากห้องผมเป็นเตียงสองชั้น จะให้สาวน้อยที่ไม่มีแขนปีนขึ้นไปนอนชั้นบนก็ออกจะใจร้ายเกินไปหน่อย
ผมจึงจัดให้เธอนอนเตียงล่าง ตกลงกันเรียบร้อยแล้วผมก็ชวนเธอคุยเรื่อยเปื่อยเพราะไม่รู้จะทำอะไรกันดี
......................................................
พี่ชายตัวโตพยายามชวนเธอคุย คุยกันไปซักพักเธอก็จับได้ว่าพี่ชายคนนี้มองหน้าเธออยู่ตลอดเวลาที่พูดคุยกัน มองจนเธออึดอัด
เมื่อขยับหลบสายตา เขาก็ดันขยับตามมาแบบเนียนๆ ซะอีก นอกจากนี้บางคำเขาออกเสียงแปลกๆ บางประโยคก็เว้นวรรคแปลกๆ
เพราะเธอหูดีจึงจับสังเกตเรื่องนี้ได้ไว แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย เพียงแค่แปลกก็เท่านั้น
“พี่ไม่ต้องมองหน้าหนูขนาดนั้นก็ได้นะคะ” ในที่สุดเธอก็บอกเขา กลัวอยู่เหมือนกันว่าเขาจะโกรธ
พี่ชายดูจะอึ้งไปแปบหนึ่ง เขายิ้มแหยๆแล้วบอก “พี่ลืมบอกตัวเล็กไปว่าพี่หูไม่ได้ยิน”
กลายเป็นเธอที่อึ้งบ้าง คำถามที่ค้างคาคล้ายได้รับคำตอบ พี่ชายตัวโตที่เหมือนจะปกติดีทุกอย่างคนนี้หูพิการ
เธอโดนความหรูหราของโรงเรียนดึงดูดสายตาไปจนลืมไปแล้วจริงๆ ว่าที่นี่เป็นโรงเรียนสำหรับคนพิการ
“ขอโทษจริงๆนะ ถ้าไม่มองหน้าตอนคุยพี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเล็กพูดว่าอะไร” แม้ปากจะแต้มรอยยิ้มแต่เสียงกลับเศร้าจนเธอรู้สึกได้
เพียงแต่คนพูดไม่รู้เพราะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง
แค่แปบเดียวเขาก็ทำเสียงร่าเริงถามเธอว่า “ตัวเล็กอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย”
“หนูอยากไปห้องดนตรี” เธอตอบ ทันทีกับที่พี่ชายขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากไป และเธอเองก็นึกขึ้นได้
พี่ชายตัวโตเล่นดนตรีไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ยิน เธอจึงบอกเขา “ถ้าพี่จิณณ์ไม่อยากไปก็ไปที่อื่นก็ได้นะคะ”
พี่ชายนิ่งไปชั่วขณะ คล้ายกำลังตัดสินใจ ก่อนจะยิ้มให้ “พี่ให้ตัวเล็กเลือกแล้ว ก็ต้องไปสิ”
ความกลัวที่มีลดลง เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับไป- ท่วงทำนองที่มาจากใจย่อมมีความไพเราะในตัวเสมอ:
- เข้าใจ:
อยู่กันมาหลายวัน บรรยากาศระหว่างเราดีขึ้นเรื่อยๆ ยัยตัวเล็กรู้แล้วว่าผมหูไม่ได้ยิน
เพราะงั้นเวลาคุยกันน้องมักจะมองหน้าผม เลิกเกร็งเวลาเราจ้องหน้าคุยกันแล้ว
วันนี้ต้องฉีดยา ทีแรกสาวน้อยของผมก็ยังกล้าๆ อยู่หรอก พอเข้ามาเจอบรรยากาศที่เด็กๆ ร้องไห้กันระงมก็ชักจะซีด ยอมรับออกมาจนได้ว่ากลัวเข็ม
เห็นแม็กเดินออกมาจากห้องคุณหมอพร้อมอุ้มเจ้าตัวแสบบ๊อบบี้ที่ร้องไห้จ้า เพื่อนยักคิ้วให้ผมขำๆ นานๆทีจะเห็นเจ้าเด็กแสบทำตัวสมวัยกับเค้าซักที
อลิเซียยิ่งเห็นคนเข้าไปออกมาน้ำตาท่วมหน้าก็ยิ่งซีด พอใกล้ถึงคิวก็ลากผมออกมาต่อแถวใหม่
ทำแบบนี้จนรอบที่สามผมถึงจับไหล่เธอไว้ไม่ให้ออกไปต่อท้ายแถวอีกรอบ แล้วถามว่าทำแบบนี้ไปทำไม
“ขอเวลาทำใจหน่อยสิคะ” เธอบอก
“นี่ เราโตแล้วนะคะ น้องๆ เค้าก็ฉีดยากันได้ เราจะกลัวอะไร หืมม์?” ผมถาม มองไปทางแพทริเซียที่น้ำตาคลอเดินออกมากับผอ.
และฮันเตอร์ที่คุณเอลิทเพิ่งอุ้มหาเข้าห้องคุณหมอไป คิวถัดไปจะเป็นคิวของยัยตัวเล็กของผมแล้ว “ยังไงก็ต้องฉีดอยู่ดี ฉีดๆให้เสร็จไปเร็วๆไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็หนูกลัวนี่คะ” สาวน้อยทำหน้างอ ทำท่าจะออกจากแถวอีกรอบ แต่ไม่ทันเพราะผมดึงไว้และคุณเอลิทกับฮันเตอร์ก็ออกมาพอดี
สุดท้ายอลิเซียก็โดนผมลากเข้าห้องคุณหมอ เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองคุณหมอที่กำลังเตรียมเข็มขีดยา ตัวสั่นน้ำตาคลอจนผมสงสาร
จะปลอบเด็กก็ทำไม่เป็น ผมเลยนั่งลงกับพื้น จับเข่าเธอให้หันมามองที่ผมแทน
“ร้องไห้ทำไม” ผมถาม เริ่มใช้สกิลเยอรมันเชิร์พเพิร์ดเม้าส์ (ปากหมา) และสกิลการออกทะเลที่มีติดตัว “ไม่มีใครตายซักหน่อย”
“หนู...”
ผมชิงพูดก่อนที่ยัยตัวเล็กจะพูดอะไรเกี่ยวกับอาการกลัวเข็มของเธอ “รู้เปล่า ไอสไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้”
“คะ...?”
อย่าว่าแต่น้องงงเลย ผมก็งง
แต่มาถึงจุดนี้แล้วก็ต้องไปต่อละนะ ผมตีหน้าขึงขังแล้วพูดต่อ “ลองหลับตาจินตนาการว่าตัวเองเป็นไดโนเสาร์ดู”
"เอ่อ..." อลิเซียกระพริบตาปริบๆ
“บอกให้หลับตาไง” ผมทำเสียงเข้มใส่ เธอจึงยอมหลับตา “ลองคิดว่าตัวเองเป็นทีเร็กซ์นะ ไอกิ้งก่าตัวโตๆ แขนเล็กๆอ่ะ เราเคยเห็นใช่มั้ย”
เธอพยักหน้ารับ ผมจึงพูดต่อ “เนี่ย ตอนนี้ตัวเล็กกลายเป็นทีเร็กซ์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกล้านปี กำลังเดินกร่างอยู่ในป่าเลย
ฟีลแบบ ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันคือจ้าวป่า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าฉันอีกแล้ว ฉันคือราชา วู้”
ผมเห็นยัยตัวเล็กขมวดคิ้ว คิดว่าคงจินตนาการตามอยู่ ผมก็เล่าต่อ “จากนั้นก็มีอุกกาบาตลูกเบ้อเริ่มตกใส่หัว”
พูดไปก็ยกมือขึ้นไปเขกหัวเธอทีหนึ่ง แล้วเล่าต่อ “ทีเร็กซ์ก็เลยตาย ไดโนเสาร์สูญพันธ์ จบ”
ยัยตัวเล็กลืมตาขึ้นมามองผม สีหน้าประมาณว่าพี่เล่าเรื่องบ้าอะไรเนี่ย หางตาเห็นแวบๆ ว่าคุณหมอหลุดขำพรืดออกมาก่อนจะบอก
“ฉีดยาเสร็จแล้ว หนูเก่งมากเลยนะ ไม่ร้องไห้เลย”
......................................................
พี่ชายตัวโตไม่ได้เป็นคนน่ากลัวแต่เป็นคนบ้า!!
บ้ามากถึงขนาดที่พาแถออกทะเลไปโผล่ยุคจูลาสสิกได้ไงก็ไม่รู้
อลิเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณหมอฉีดยาตอนไหน (เดาว่าเป็นตอนอุกกาบาตหล่นใส่หัวนั่นแหละ) ฉีดยาเสร็จพากลับห้อง
เขาก็ยังชวนพูดเล่นเรื่อยเปื่อยอีกพักนึง เห็นเธอนิ่งใส่ไม่เล่นด้วยก็บอกให้เธอนอนพัก จากนั้นก็ทิ้งเธอไว้ที่ห้องแล้ววิ่งหายไปไหนไม่รู้
เธอไม่ได้โกรธเขา แต่ก็บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน น้อยใจ เสียใจ งง เฟล หรืออะไรกันแน่
พี่ชายไม่สนใจที่เธอบอกว่าเธอกำลังกลัวอะไร บังคับให้เธอเข้าไปฉีดยาทั้งที่รู้ว่าเธอกลัวมากขนาดไหน เขาไม่ปลอบเธอซักคำ
ซ้ำยังพูดจาไร้สาระให้เธอฟังได้ทั้งที่เธอจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
เป็นพี่ชายปากเสียที่ปลอบคนไม่ได้เรื่องซักนิด
เธอรู้ว่าพี่ชายทำเพื่อให้เธอหายกลัว แต่ของอนซักนิดที่เขาทิ้งเธอไปตอนนี้ก็แล้วกัน
......................................................
ยัยตัวเล็กโกรธผม
ผมไม่รู้จะทำยังไงจึงบอกเธอนอนแล้ววิ่งออกมาหาตัวช่วย ผมเคาะประตูห้อง 307 เห็นหัวจุกแง้มประตูออกมาก็รีบบอก
“พี ช่วยพี่หน่อย”
พีมองหน้าผมนิ่งๆ ชั่วขณะก่อนจะเปิดประตูให้ผมเข้าไป
เกือบๆ สามชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็กลับไปที่ห้อง เห็นตัวเล็กนั่งทำหน้าง่วงๆ เดินออกมาจากห้องน้ำ
คาดว่าคงเพิ่งตื่น ผมจึงไปชวนเธอ
“ไปดูดาวกันมั้ย”
สาวน้อยมองผมงงๆ ก่อนจะส่ายหัว แน่นอนว่าผมไม่ได้ถามความคิดเห็นหรอก
“ถามไปงั้นแหละ พี่บังคับ” ผมยิ้มหวาน
ว่าแล้วก็อุ้มสาวน้อยในชุดนอนขึ้นมาแล้วพาไปที่สวนที่อยู่หลังหอพัก :)
......................................................
นอกจากพี่ชายตัวโตจะบ้าแล้วยังเผด็จการสุดๆ!!
เขายิ้มน่ารักขนาดนั้นตอนกำลังบังคับคนให้ทำตามใจตัวเองได้ยังไงกัน คราวหน้าเธอจะไม่หลงไปกับรอยยิ้มของเขาอีกแล้ว!!
พี่จิณณ์วางเธอที่ทำหน้าบูดบึ้งลงบนพื้นหญ้าของสวนหลังหอพัก ด้านหน้าเป็นทะเลสาบกว้าง
นั่งตรงนี้มองผ่านแนวต้นไม้ไปจะเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน มองเห็นดวงดาวระยิบระยับเต็มฟากฟ้า
เธอขยับมานั่งห่างเขาเล็กน้อย ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ขยับตามมา ดูผิดวิสัยไม่น้อย
เธอมองไปทางอื่นทำเป็นไม่สนใจให้พี่ชายรู้ว่าเธองอนอยู่
"มากมาย... โลกนี้มีมากมาย แต่ก็มีเพียงบางคน ที่เราพร้อมจะไว้ใจ”
เสียงเอื่อยๆ ติดจะเพี้ยนนิดๆ ที่ดังขึ้นอย่างกระทันหันทำให้เธอหันไปมอง
“เส้นทาง... ชีวิตที่แสนไกล อาจโหดร้ายจนบางทีเราอาจไม่พบไม่เห็นใคร”
เธอไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่าแก้มขาวๆ ของพี่ชายตัวโตขึ้นสีแดงเรื่อ
“แต่อยากบอกให้เธอรู้ เหน็ดเหนื่อยหนักเพียงไหน ขอเธอมั่นใจในทุกนาที”
พี่ชายหันมามองเธอแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าก้มตาร้องต่อ
“ฉันพร้อมยืนเคียงเธอ ฉันพร้อมยืนข้างเธอ ไม่ว่าจะต้องเจออะไรต่อจากนี้
จะแสนนานแค่ไหน กี่พบชาติหมื่นปี เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เกิดมาเป็นเพื่อนเธอ”
หน้าพี่จิณณ์แดงจนไม่รู้จะแดงยังไงแล้ว เสียงก็เพี้ยนจนไม่รู้จะเพี้ยนยังไงเหมือนกัน
“หลายสิ่งโลกนี้มีหลายอย่าง ที่จะทำให้ใจเราเกิดสับสนและหลงทาง แค่หันมาตรงนี้ ตรงข้างๆ
จะมีมือคอยประคอง ให้เธอเดินตรงเส้นทาง และหากว่าเธอหกล้ม จมอยู่กับความอ้างว้าง ขอจงมั่นใจ ในทุกนาที”
ถึงตอนนี้เธออดหัวเราะกับเสียงเพี้ยนๆ ของเขาไม่ได้แล้ว พี่ชายคงเห็น เขาหันมามองค้อนใส่เธอ
หน้าแดงๆ นั่นทำให้พี่ชายไม่น่าเกรงขามซักนิด “ตัวเล็กหายโกรธพี่รึยังคะ”
เธอปั้นหน้าขรึมแล้วตอบกลับไป “ร้องให้จบเพลงแล้วค่อยว่ากันค่ะ”
ได้ยินพี่ชายบ่นงุ้งงิ้งแต่เขาก็ยอมร้องต่อ ไม่รู้ทำไมน้ำตาเธอถึงไหลออกมาทั้งที่ยังขำกับเสียงเพี้ยนๆของเขาอยู่
เขาร้องเพลงนี้ให้เธอทั้งที่เขาไม่ได้ยินเสียง ร้องเพื่อง้อ ร้องเพื่อบอกความรู้สึก ร้องเพื่อให้กำลังใจ
“ฉันพร้อมยืนเคียงเธอ ฉันพร้อมยืนข้างเธอ ไม่ว่าเราต้องเจออะไรต่อจากนี้
จะแสนนานแค่ไหน กี่ภพชาติหมื่ืนปี เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เกิดมาเพื่อรักเธอ”- เพลงประกอบ :
- จากลา:
ยัยตัวเล็กมาบอกทีหลังว่าไม่ได้โกรธผม อย่างมากก็แค่งอน
อืมม์....
เอาเถอะ หลังร้องเพลงวันนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ละนะ
ช่วงกลางวันว่างๆ ถ้าผมไม่มีเรียน สาวน้อยก็พาผมไปเล่นกับพี่ผู้การและพี่ปักษ์ คนหลังนี่เป็นเด็กใหม่เพิ่งเข้ามาปีนี้ฮะ
บางทีก็ลากผมไปเล่นกับแพททรีเซียถึงห้องผอ. บางวันเพื่อนหัวทองแม็กเวลก็อุ้มเจ้าตัวแสบบ๊อบบี้ที่ตอนนี้ดูจะเข้ากันได้ดีมาเล่นกันที่ห้องผม
หรือบางทีผมก็แอบอุ้มเจ้าตัวเล็กไปนั่งเล่นที่โดมดาดฟ้า
กลางคืนบางทีเราก็จะเล่นเกม ดูการ์ตูนหรือเล่านิทานกัน บางคืนก็พากันไปนั่งเล่นมองฟ้ามองดาวที่สวน บางคืนไอน์ไม่ว่างก็พาวาเลนติโน่มาฝากไว้
บางคืนพีก็มาเคาะห้องเอาน้องชีต้าห์มาดูการ์ตูนด้วยกัน บางคืนแม็กก็พาบ๊อบบี้มาเล่นเกมด้วย บางคืนแพททรีเซียก็หนีผอ.มาแอบอยู่ที่ห้องเรา
หรือบางคืนที่ไม่มีใคร ผมกับยัยตัวเล็กก็นอนพิงกัน คุยจนหลับไปด้วยกันก็มี
นับเป็นช่วงเวลาที่จะว่ายาวก็ยาวจะว่าสั้นก็สั้น อีกไม่กี่วันก็ต้องจากลากันแล้ว- ผมต้องคิดถึงเธอมากๆแน่... :
......................................................
พรุ่งนี้เธอจะต้องกลับไปอยู่ที่สถานสงเคราะห์แล้ว
พี่ชายตัวโตนั่งอยู่บนชั้นสองของเตียงตั้งแต่เมื่อกี๊ ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร เธอจะเรียกก็รู้ว่าเขาไม่ได้ยิน จะปืนขึ้นไปตามก็ทำไม่ได้
บางทีเธอก็น้อยใจโชคชะตาอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ให้เธอมีร่างกายครบๆ อย่างคนอื่นเขา
แต่ตอนนี้น้อยใจโชคชะตาไม่เท่าน้อยใจพี่ชายตัวโตหรอก!!
ทั้งที่รู้ว่านี่เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว แต่เขากลับไม่หือไม่อือ ไม่สนใจเธอซักนิด
พี่ชายอาจจะดีใจอยู่ก็ได้ ในที่สุดก็จบ ไม่ต้องเลี้ยงเด็กอย่างเธอแล้ว จะได้เป็นอิสระซักที พี่ชายอาจจะนอนหลับอย่างมีความสุขไปแล้วก็ได้
ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ น้อยใจจนน้ำตาไหลออกมาตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีคือเห็นพี่ชายมองอยู่ด้วยสีหน้าตกใจ
“ตัวเล็กร้องไห้ทำไมคะ”
ตอนนั้นเองที่น้ำตาไหลทะลักออกมาหนักกว่าเก่า “ก็พี่จิณณ์ไม่สนใจหนูเลย” พูดได้แค่นี้ก็ร้องไห้โฮจนพี่ชายต้องปลอบอยู่พักใหญ่
ทั้งปลอบทั้งกวนจนเธอหยุดร้องพี่ชายตัวโตถึงบอก
“ตัวเล็กต้องเข้มแข็งนะคะ เข้มแข็งให้มากๆ สัญญากับพี่นะ เป็นคนอ่อนแอจะโดนรังแกได้ง่าย เพราะงั้นต้องเข้มแข็งเข้าไว้นะคะ”
เธอพยักหน้ารับแทนคำสัญญา
พี่ชายมักเน้นย้ำคำนี้กับเธอเสมอ เข้มแข็ง อ่อนโยน แต่อย่าอ่อนแอ
“อันนี้พี่ให้หนูนะ”
เขาสวมสร้อยเส้นหนึ่งให้เธอ สร้อยคล้องแหวนที่เธอเห็นเขาใส่อยู่เป็นประจำ มันสั้นกว่าที่เคยเห็นเล็กน้อย
คาดว่าจนถึงเมื่อกี๊พี่ชายคงง่วนอยู่กับการจัดการสร้อยนี่
“เห็นแหวนที่ห้อยอยู่นี่มั้ยคะ”
พี่ชายหยิบแหวนที่แขวนอยู่กับสร้อยขึ้นมาในระดับสายตา แหวนนั้นไม่ได้ใหม่ มองออกว่าผ่านการใช้งานมาไม่น้อยเลย
และพี่ชายเองก็เคยหยิบให้ดูเมื่อเธอถามถึงความเป็นมาของมัน
แหวนนั้นสลักคำว่า FAMILY
“FAMILY แปลว่าครอบครัว”
เขาบอก เป็นประโยคหนึ่งในการ์ตูนที่เคยดูด้วยกัน เรามองหน้ากันก่อนจะพูดประโยคหลังออกมาพร้อมๆกัน
“ครอบครัวแปลว่าเราจะไม่ทอดทิ้งหรือลืมกันเด็ดขาด”
“ตัวเล็กเป็น ครอบครัว ของพี่แล้วนะ” พี่ชายบอกเมื่อกอดเธอเอาไว้ “พี่รักหนูนะคะ”
“หนูก็รักพี่ค่ะ” เขาไม่ได้ยินเสียง แต่เธอรู้ เขาจะได้ยินมันด้วยหัวใจ- ...:
the last night
......................................................
“ตาดำเป็นแพนด้าเลย เมื่อคืนไปทำไรมาเนี่ย” แม็กเดินเข้ามาหาผมที่ยืนพิงระเบียงมองความวุ่นวายด้านล่าง
เพื่อนทำท่าจะจิ้มตาผมแต่เช้าเลย
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” ผมบอกปัด
จะให้บอกว่านั่งมองยัยตัวเล็กอยู่จนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับน้องสาวคนนี้ให้มากที่สุดก่อนที่จะจากกันไปงั้นเหรอ
...จ้างให้ก็ไม่พูดออกไปหรอกฮะ
“ไม่ไปส่งบ๊อบบี้เหรอ” ผมถาม
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวเด็กนั่นร้องไห้ขออยู่ต่อเราก็แย่สิ” แม็กหัวเราะหึหึ
“แย่ว่านายจะใจอ่อนรีบทำเรื่องรับเป็นน้องชายบุญธรรมอ่ะดิ” ผมแซว เพื่อนเลยศอกใส่ทีหนึ่งโทษฐานรู้ทัน
“แล้วนายอ่ะ ไม่ไปส่งอลิเซียเหรอ”
“ไปส่งแล้ว” ผมบอก มองยัยตัวเล็กของผมกำลังขึ้นรถเตรียมกลับสถานสงเคราะห์
เห็นพวกเพื่อนๆและน้องๆบางส่วนที่ยืนส่งเด็กๆ กันอยู่ข้างรถ
ไม่กล้าไปยืนส่งจนรถออกอย่างคนอื่นเค้าเพราะกลัวตัวเองจะทนไม่ได้แล้วรั้งไว้ไม่ยอมให้ยัยตัวเล็กกลับไปนี่แหละฮะ
ผมพึมพำกับตัวเอง
“เมื่อพูดว่าแล้วพบกันใหม่ ย่อมต้องได้พบกันอีกครั้ง”
“นายว่าอะไรนะ” แม็กมองผมงงๆ ผมก็แค่โคลงหัว
เราทั้งคู่ยืนมองเด็กๆ ที่ขึ้นรถกันเรียบร้อยแล้ว รถค่อยๆออกตัว พวกเขากำลังจะไปกันแล้วจริงๆ
“จากนี้ไปคงโหวงๆ เนอะ ตัวป่วนกลับไปกันหมดแล้ว” แม็กพูดขึ้นเมื่อรถของสถานสงเคราะห์ขับพ้นเขตโรงเรียนจนลับสายตาไป
สีหน้าเหงาๆ อย่างที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก
ผมหัวเราะเบาๆ “คงคิดถึงเด็กพวกนี้แย่เลย”
“นั่นสิ” เพื่อนพึมพำตอบรับ
“แล้วพบกันใหม่นะคะ ตัวเล็ก”
......................................................
“เราจะได้เจอกันอีกมั้ยคะ”
หลายคืนก่อนเธอถามพี่ชายที่กำลังหวีผมให้เธอ
พี่ชายตัวโตชอบหวีผมให้เธอ เขาชอบบอกว่ามันทำให้เขาคิดถึงน้องสาวทั้งสองคนของเขา
ที่จริงเธอทำเองได้ แต่เห็นเขาชอบจึงปล่อยให้เขาทำ
“แน่นอน” พี่ชายบอกเธอด้วยรอยยิ้ม "เมื่อพูดว่าแล้วพบกันใหม่ ย่อมต้องได้พบกันอีกครั้ง"- เธอจะเชื่อคำพูดนี้ของเขานะ:
อลิเซียที่ตอนนี้อยู่บนรถมองไปทางอาคารเรียน เห็นพี่ชายตัวโตของเธอยืนอยู่ตรงนั้นกับเพื่อนผมทองของเขา
อดไม่ได้ที่จะกระซิบเบาๆ ฝากสายลมไปบอก...
“แล้วพบกันใหม่ค่ะ พี่ชายตัวโต”- เพลงประกอบ :
A. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
- S - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีนิล
สุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp.จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็ค
เป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,500,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's Comment:
- สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความรักที่มีต่ออลิเซียที่ดูเปี่ยมล้นมากเลยครับ
ชอบไอเดียที่เอาไปประกอบกับกิจกรรม แต่ก็เขียนใหม่ทั้งหมด
เพื่อให้ได้รสชาติที่แปลกใหม่ หนึ่งไอเดียที่น่าสนใจในงานนี้คือ
การสลับมุมมองของคนเล่า ซึ่งเป็นคนเดียวที่ทำในภารกิจครั้งนี้
ถือว่าเป็นการใส่ใจต่อตัวอลิเซียและเป็นการนำเสนอตัวเด็กทำให้
ผู้อ่านเข้าใจต่อตัวละครที่ไม่คุ้ยเคยได้มากขึ้น เป็นวิธีที่ดีเชียวครับ
คอมเม้นท์ส่วนตัวไม่เกี่ยวกับสแตมป์ : จิณณ์โหมดพี่ชายใน
ภารกิจนี้ทำให้นึกถึงผอ.จังเลย ในที่สุดก็เดินตามรอยเท้าพ่อไป..
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
468
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Re: Lesson 21 : In your care
Wed 24 Jun 2015, 19:35
- เจอกันครั้งแรก:
- "ครูลินครับ คุณรัตติกาลให้มาบอกว่าเด็กมาแล้ว ไปรับได้เลยครับ"
ฉันที่กำลังจดจ่อกับการอ่านประวัติของเด็กน้อยเป็นอันต้องชะงัก
และหันไปพยักหน้าให้กับนักเรียนชายคนนั้น เด็กงั้นหรอ... ฮึ่ม
ที่จริงแล้วฉันไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไรหรอกนะ โดยเฉพาะ
เด็กดื้อที่ชอบตะโกนเสียงดังแล้วก็วิ่งไปมาน่ะ
นึกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ฉันยันตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะมองหา
สิ่งรอบตัวที่สามารถเอาไปให้เป็นของขวัญในการพบกันครั้งแรกได้
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นลูกอมรสแตงโมที่ซื้อเอาไว้ เอาอันนี้ก็แล้วกัน
ฉันยัดมันลงในกระเป๋าเสื้อกาวน์และมุ่งหน้าไปที่ห้องธุรการทันที
"ไง มาช้าจังเลยนะ" เสียงใสเอ่ยแซวทันทีที่มาถึง ฉันยิ้มให้กับรัต
ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
"อะไรกัน นี่ลินรีบมาจนขาแทบพันกันเลยนะ" หยอกล้อกันได้ไม่นานฉันก็สังเกตเห็น
สิ่งมีชีวิตที่กำลังขยุกขยิกอยู่ข้างหลังเพื่อนสาว
"เอ่อ... นั่นเด็กที่ลินจะดูแลใช่หรือเปล่า" ว่าพลางชี้ไปที่เด็กคนนั้น รัตที่เพิ่งทำหน้าตา
นึกได้ก็รีบแนะนำเด็กตัวน้อยให้ได้รู้จัก
"อ๋อ ใช่แล้ว น้องดรีมมานี่สิคะ" เธอว่าแล้วจับให้น้องเดินมาข้างหน้า
แว๊บแรกที่เห็นนั้นเหมือนว่าน้องจะขี้อายแฮะ แถมติดตุ๊กตาซะด้วย
เป็นตุ๊กตากระต่ายสีชมพูที่โคตรหวานแหววเลย= =
"คนนี้ชื่อครูเกลิน จะมาดูแลน้องดรีมในหนึ่งเดือนนี้นะคะ" รัตว่าแล้ว
พ่ายมือมาทางฉัน ฉันที่เห็นดังนั้นก็ฉีกยิ้มเป็นมิตรให้ แก้มน้องขึ้นสีระเรื่อ
นิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ฉันเดินไปข้างหน้าก่อนจะควักของขวัญ(?)
ที่เตรียมไว้แล้วย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกันกับเด็ก
"สวัสดีจ้ะ จากนี้ไปก็ขอฝากตัวด้วยนะ" ฉันยื่นอมยิ้มในมือให้ น้องมอง
ด้วยสายตาแวววาวแล้วก็หยิบไปพร้อมกับพยักหน้า
น้องดูเงียบๆ แล้วก็ท่าทางเลี้ยงง่าย เด็กแบบนี้แหละที่ฉันต้องการ อร๊ายยย- น้องดรีม1:
- เที่ยวด้วยกัน:
- หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาหลายวันทำให้ฉันรู้ว่า... น้องดรีมชอบนอนมาก!
นอนแบบไม่รู้จะนอนเยอะไปไหน ฉันที่ห่วงสุขภาพของน้องก็ทนนิ่งดูดายไม่ได้
วันนี้ก็เลยวางแผนว่าจะพาน้องออกไปเดินชอปปิงหาอะไรสนุกๆ
ทำนอกจากการนอนอยู่ในห้องเฉยๆ
"น้องดรีม แต่งตัวเสร็จหรือยังครับ~"
"เสร็จแล้วฮะ" น้องว่าแล้วเดินออกมาด้วยชุดเอี้ยมสุดน่ารักที่ฉันซื้อให้
แหม ช่างเหมาะอะไรอย่างนี้
"ปะ งั้นเราก็ไปกันเถอะ" ฉันยื่นมือให้ น้องก็จับอย่างว่าง่ายแล้วเราสองคน
ก็เดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมล็อกประตู วันนี้เป็นวันเสาร์คนในเมือง
เลยค่อนข้างพลุกพล่านเป็นพิเศษ ฉันอยู่ในชุดกระโปรงผ้าแก้วสีครีม
กับเสื้อยืดสีขาวธรรมดา เหมาะกับการระบายอากาศในประเทศที่ร้อนระอุ
เช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
พวกเรามาตากแอร์ในห้างดังแห่งหนึ่ง
น้องดรีมมองซ้ายขวาด้วยความตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็น นะ..น่ารักค่ะ TvTo
พอจะขึ้นบันไดเลื่อนน้องดูอยากลองมากแต่ก็คงจะกลัวอยู่
"ระวังนะคะน้องดรีม ดูเส้นสีเหลืองให้ดีๆ นะ" น้องจ้องเส้นสีเหลืองตาไม่กระพริบเลยค่ะ...
ไม่ใช่แบบน้านนน
คนเริ่มเยอะแล้วแฮะ ขวางทางแบบนี้ไม่ได้ซะด้วย
"งั้นเดี๋ยวพี่ลินนับ 1 2 3 แล้วให้น้องดรีมก้าวเท้าเลยนะ" น้องพยักหน้ารัวๆ ฉัน
ก็เลยกะจังหวะแล้วเริ่มนับ
"1...2...3!" น้องก้าวเท้าทันทีตามที่บอกทำให้เราขึ้นบันได
เลื่อนมาได้อย่างสวัสดิภาพ
"ฮ่าๆๆ เก่งเหมือนกันนี่นา ไฮไฟว์ๆ" ฉันชูมือขึ้นน้องเองก็ตบมือกลับอย่างรู้งาน
พลางฉีกยิ้มกว้าง หลังจากที่อ่านประวัติแล้วน้องมีปัญหาด้านครอบครัวที่คุณ
พ่อขาดสติหลังจากเสียภรรยาไปและเพราะน้องดรีมมีตาที่เหมือน
คุณแม่มากก็เลยเริ่มโดนทำร้ายทำให้น้องเป็นคนไม่ค่อยพูดแล้วก็นอนเพื่อไม่
อยากพบเจอกับเหตุการณ์ร้ายๆ พอรู้แบบนี้แล้วก็ไม่ค่อยอยากให้นอน
เท่าไรเลยแฮะ เอาเถอะ เดี๋ยวฉันนี่แหละที่จะลบล้างแผลใจเหล่านั้นให้ออกไปเอง!
เรามาหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายเกมแห่งหนึ่ง น้องดรีมกระตุกมือให้เดินเข้าไปฉันเอง
ก็เดินตามไปไม่ได้ว่าอะไร คงจะเจอของที่อยากได้แล้วสินะ
"ขอผมไปดูตรงนั้นได้ไหม" น้องว่าแล้วชี้ไปที่มุมเครื่องเกมแบบพกพา ฉันพยักหน้า
ยิ้มๆ น้องก็เดินไปดูทันที
"นี่ๆ ดูฝรั่งคนนั้นสิ ดูหน้ายังเด็กแท้ๆ แต่มีลูกแล้ว" อยู่ๆ เสียง
แหลมก็ดังออกมาจากเคาน์เตอร์ ฉันเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะยังไงซะ
ถ้าจะมีคนมองว่าดรีมเป็นลูกก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว แต่ประโยค
ต่อมาทำให้ฉันทนยืนฟังเฉยๆ ไม่ได้จนต้องเดินไปหาเลย...
"ไม่มีพ่อมาด้วย ต้องเป็นลูกไม่มีพ่อแน่ๆ"
"สวัสดีค่ะ" ฉันเดินมาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์พร้อมกับฉีกยิ้มอย่างที่
ทำเป็นประจำ พนักงานสองคนที่ซุบซิบกันเมื่อกี้สะดุ้งเฮือกเมื่อเจอ
สำเนียงไทยชัดแจ๋วจากฉัน
"มะ... มีอะไรให้ช่วยคะ" พนักงานคนหนึ่งเอ่ยปากพูด
"ดิฉันคิดว่าการวิพากวิจารณ์ชีวิตของลูกค้าไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนะคะ"
ฉันพูดด้วยเสียงไร้โทนพร้อมกันฉีกยิ้มจนตาหยี
พนักงานทั้งสองคนไม่มีใครกล้าพูดอะไรเอาแต่ก้มหน้าพลางเหงื่อแตก
พลั่กๆ ระหว่างนั้นน้องดรีมที่เลือกของเสร็จแล้วก็วิ่งมาหาพอดี
"พี่ลิน ซื้ออันนี้ได้ไหมครับ" น้องยื่นกล่องเครื่องเกมแบบพกพามาให้
"ได้สิครับ เอาอันนี้นะ" ฉันยิ้มสดใสให้น้องต่างจากยิ้มเมื่อกี้อย่างลิบลับก่อนจะ
หันไปวางกล่องไว้หน้าพนักงานสองคนนั้นพร้อมกับพูดด้วยเสียงนิ่งๆ
"เอาอันนี้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ"
"ค..ค่ะ ได้ค่ะๆ" พวกเธอว่าแล้วรีบคิดเงินให้ทันที
หลังจากที่หลุดออกมาจากร้านนั้นแล้วอารมณ์ของฉันเองก็ยังไม่ได้ดี
ขึ้นเท่าไร ดูเหมือนว่าน้องดรีมจะจับสังเกตได้ก็เลยถาม
"พี่ลินหิวหรอครับ"
"เอ๋? เปล่าครับ ยังไม่หิวเลย ดรีมหิวหรอ" ฉันถามกลับ
"แต่ดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะครับ หรือว่าอยากกลับแล้ว" น้องว่าเสียงแผ่ว
เห พูดมากกว่าปกติแฮะ หรือว่าจะเป็นห่วงฉัน อรั๊ง~
"ไม่หรอกครับ เที่ยวกับดรีมสนุกจะตาย" ฉันว่าแล้วลูบหัวเด็กน้อย
น้องดรีมก็ดูจะดีใจขึ้นมาหน่อย ตาแวววาวเชียว
"ถ้างั้นเราไปดูตรงนั้นดีกว่าเนอะ"
"อื้ม!"
หลังจากที่เดินเที่ยวมาทั้งวันแล้วน้องดรีมก็ไม่ได้มานอนอย่างที่เคย
แต่ว่าพอถึงห้องปุ๊บน้องก็เริ่มแกะกล่องเครื่องเกมที่ซื้อมาวันนี้แล้วเล่นอย่างเมามัน
โดยที่ไม่สนใจอะไรเลย ฉันที่เห็นว่านานๆ ทีน้องจะทำอย่างอื่นบ้างก็ไม่ได้ว่าอะไร
22:15 น.
"ดรีม ดึกแล้วนะไปนอนกันเถอะ" เป็นรอบที่ 20 แล้วมั้งที่ฉันพูดประโยคนี้
หลังจากที่ปล่อยให้ดรีมนั่งเล่นเกมมานานก็ได้เวลานอนแล้ว แต่น้อง
ก็ยังไม่หยุดเล่นสักที ฉันคลี่ผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเราทั้งสองคนแล้วเกยคางบน
ศรีษะของน้อง นี่ดีนะที่ไล่ไปอาบน้ำได้ ไม่งั้นคงเน่านานมาจนถึงตอนนี้แน่ๆ
"ขออีกแป๊บนึงนะฮะ เดี๋ยวฆ่าบอสเสร็จเกมก็จบแล้วล่ะครับ" น้องว่าแล้ว
รัวนิ้วมือบนเครื่องเกม ฉันถอนหายใจ
"งั้นอีกแค่ 10 นาทีนะ" ฉันต่อเวลาให้ ดรีมก็ครางรับในลำคอ
แต่ยังไม่ถึงสิบนาทีดรีมก็ฆ่าบอสในเกมสำเร็จ แล้วเราก็นอนกัน
.... สนุกจังเลยนะ วันนี้- น้องดรีม2:
- Goodbye and See U later:
- "พี่ลิน กินไอติมไหมฮะ" ฉันมองเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตัก น้องดรีมเอี่ยวตัวมาป้อน
ไอศกรีมรสวนิลาที่เราไปซื้อกันมาวันนี้ให้ ฉันงับไอศกรีมก่อนจะออกปากชม
"อื้ม ไอศกรีมรสวนิลานี่อร่อยตลอดกาลเลยน้า" น้องดรีมยิ้มกว้าง
หลังจากที่เราอยู่ด้วยกันมาน้องดรีมก็ยิ้มมากขึ้นและเริ่มพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากได้
ฉันเองก็รู้สึกดีใจที่สามารถทำให้น้องสดใสมากขึ้น แถมวันนี้ยังทำตัว
ติดแจทั้งวันเลย ชวนไปไหนก็ไม่ไปบอกว่าอยากอยู่ในห้องมากกว่า
ทั้งๆ ที่ถ้าอยากออกไปข้างนอกฉันก็ออกไปด้วยอยู่ดี
"อยากไปไหนไหมครับวันนี้?" ลองถามอีกครั้งดีกว่า
"ไม่เอาฮะ" น้องส่ายหน้าแล้วตักไอศกรีมเข้าปาก จ้องทีวีข้างหน้านิ่งเหมือนไม่อยากพูดต่อ
โอเคๆ ตามใจก็แล้วกัน สักพักน้องวางถ้วยไอศกรีมแล้วเอนตัวลงมา
"กอดผมหน่อยได้ไหมฮะ" ฉันจ้องคนตัวเล็กอย่างฉงน อ้อนหรอเนี่ย? ฉันกอดเขา
จากด้านหลังโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ร่างเล็กกระตุกหน่อยๆ พร้อมกับเสียงสะอื้น
ที่เล็ดลอดออกมา
"น้องดรีม เป็นอะไรร้องไห้ทำไมครับ!?" ฉันตกใจมากที่จู่ๆ ร่างในอ้อมกอดก็ร้องไห้
ออกมาซะดื้อๆ น้องดรีมเช็ดน้ำตาอย่างทุลักทุเลฉันก็เลยจับให้เขาหันหน้ามาหา
แล้วจับหน้าเขาเอาไว้
"เป็นอะไร หืม?" ฉันใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างกับเขื่อนแตกให้ออกไป
แต่ไม่ว่าจะเช็ดเท่าไรมันก็ไหลออกมาไม่หยุด
"ฮึก.. ก็วันนี้ เป็นวัน ฮึกๆ สุดท้าย..." พอน้องพูดออกมาก็ถึงได้เข้าใจ ที่ทำตัวติดแจทั้งวัน
ก็เพราะแบบนี้เองงั้นหรอ นั่นสินะ พรุ่งนี้ก็คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว...
ฉันกอดร่างน้อยที่สั่นเทาเอาไว้ น้องดรีมร้องไห้ออกมาจนรู้สึกว่าไหล่เปียกไปหมด
ไม่รู้เลยว่าจะปลอบยังไง เพราะฉันเองก็....
"ฮึก..." รู้สึกใจหายเหมือนกัน
เราสองคนร้องไห้กันนานมากก็เลยตัดสินใจไปล้างหน้าล้างตากัน แล้วก็อาบน้ำ
ด้วยเลย ให้น้องดรีมอาบก่อนแล้วฉันอาบทีหลัง
พออยู่ในชุดนอนแล้วเราก็นอนห่มผ้าบนเตียงโดยที่ไม่พูดอะไรกันสักพัก
"พรุ่งนี้ก็สื้นเดือนแล้วน้า" ฉันตัดสินใจพูดออกมาทั้งๆ ที่เสียงก็แหบไปหมด
"อื้ม..." น้องดรีมเองก็คงไม่อยากพูดเท่าไร
"น้องดรีม อย่าลืมสิว่าถึงดรีมจะกลับไปแล้วพี่ลินก็ไปหาได้นะ"
"จริงหรอฮะ?" น้ำเสียงดูมีความหวังขึ้นมาทันทีเมื่อฉันพูดประโยคนั้นออกไป
"จริงสิ ไม่เห็นยากเลย เพราะงั้น..."
"...."
"คืนนี้ก็นอนหลับให้สบายแล้วก็กลับไปพร้อมรอยยิ้มนะ" น้องขยับตัวมากอดฉันไว้
แล้วมุดที่ข้างลำตัว
"เข้าใจหรือเปล่าครับ" ฉันกอดเขาแล้วลูบแขนเบาๆ
"จะพยายามครับ"
"ฮ่าๆๆ ต้องทำให้ได้สิ"
"...."
"เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน"
"อย่าลืมมาหาผมนะ"
"รับทราบ"
ฉันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วเอื้อมไปปิดไฟที่หัวเตียง
แล้วเราสองคนก็จมลงสู่ห้วงนิทรา
.
.
.
"ขอบคุณครับ พี่ลิน"- น้องดรีม3:
B. รางวัลสำหรับอาจารย์ที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับโดดเด่น 75% ขึ้นไป
- 2 STAR SAPPHIRE STAMP
[ TEACHER CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับกลางในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับอาจารย์เท่านั้น มีลักษณะเป็นแซฟไฟร์
สีฟ้าผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ดีเยี่ยมเป็นที่
น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,000,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's comment:
- ชอบภาพประกอบทั้งสามภาพมากครับ น่ารักมากเลย บรรยากาศ
ภายในเรื่องเองก็อยู่ในโทนอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา สมกับเป็นตัวละคร
เกลินจริงๆครับ สิ่งที่ผมขาดไปในภารกิจนี้คือเรื่องราวที่เชื่อมโยง
กับประวัติของน้องดรีม เช่นเรื่องที่น้องถูกกระทำชำเรามา หรือเรื่อง
ที่น้องเอาแต่นอนเพราะไม่อยากแบกรับความทุกข์ไว้ เป็นปมที่
สามารถนำมาเปิดประเด็นได้อีกมากครั้ง ผมแอบหวังฉากกลัวคน
หรือกลัวเรื่องการสัมผัสจากน้องดรีมอยู่บ้าง
ส่วนเรื่องที่ชอบในภารกิจนี้คือพัฒนาการของตัวเกลินเองครับ
เธอโตขึ้น รู้จักที่จะปกป้องน้องดรีม มีความกล้าหาญที่จะพูดต่อว่า
คนที่มาทำร้ายน้องดรีม เริ่มเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเป็นแม่มากขึ้น
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 21 : In your care
Sun 28 Jun 2015, 17:13
มาส่งภารกิจครับ
B. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม 80% ขึ้นไป
- Spoiler:
อิสรางัวเงียลุกขึ้นจากเตียงในเช้าวันอาทิตย์ที่อึมครึม เพราะอากาศที่ไม่มีไอของแดด
ส่องเข้ามาในห้อง ทำให้เด็กหนุ่มที่รักการนอน ตื่นสายกว่าปกติ จะว่าไปวันหยุดแบบนี้เขา
ก็ตื่นสายอยู่แล้ว แต่วันนี้ออกจะ...ตื่นบ่ายไปซักหน่อย
เด็กหนุ่มลุกจากเตียงด้วยสภาพไม่ค่อยน่าดูนัก เสียงทีวีที่โถงดังขึ้น
"กี่โมงแล้วไอรีน" อิสราถามรูมเมทร่วมห้องด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า เจ้าตัวเดินไปที่ตู้-
เย็นภายในห้อง ยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย
"บ่ายโมงสิบห้าแล้วค่ะ"
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับก่อนจะลุกไปล้างหน้าล้างตา ซักพักเจ้าตัวก็พรวดพราดออก
มาจากห้องน้ำแล้วถามรูมเมทสาวด้วยน้ำเสียงแตกตื่น
"วันนี้พี่นัดคณะกรรมการนักเรียนนอกรอบใช่มั้ย!?"
"ค่ะ" ไอรีนตอบหน้าตาย
"เวรละ..."
อิสรากระหืดกระหอบไปที่ห้องของคณะกรรมการนักเรียน เพื่อเตรียมการครั้งสุดท้าย
ก่อนที่จะมีการจัดเตรียมโรงเรียนเพื่อต้อนรับดูแลเด็กๆ จากสถานสงเคราะห์แห่งหนึ่ง
ตลอดเดือนนี้ ดูเหมือนเพื่อนๆ จะตื่นเต้นมากที่จะมีน้องๆ น่ารักมาป้วนเปี้ยนอยู่ใน
โรงเรียน เด็กหนุ่มกระแอ่มไอเบาๆ
"อย่าไปทำอะไรน้องล่ะ คุกนะ" เช่นนั้นจึงเรียกเสียงโห่จากเพื่อนๆ อันที่จริงเขาเองก็
รู้สึกตื่นเต้นปนกังวลเหมือนกัน เพราะความที่เป็นหนึ่งในตัวแทนนักเรียนที่ถูกเลือกให้
ทำหน้าที่ดูแลเด็ก อิสราไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะดูแลเด็กเล็กได้หรือไม่ ส่วนตัวเขาไม่ได้
รังเกียจหรือรำคาญเด็ก แต่ก็ไม่ได้พิศมัยขนาดที่ต้องวิ่งเข้าไปกอด อีกอย่าง...เขามอง
ไม่เห็น จะดูแลได้งั้นเหรอ
แต่เมื่อนึกถึงปณิธานที่ว่าจะเป็นที่พึ่งให้ใครซักคนได้ อิสราก็มีแรงฮึดสู้ขึ้นมา
วันจันทร์มาถึง รถตู้ที่นำเด็กๆ จากสถานสงเคราะห์ก็เดินทางมาถึงโรงเรียน เสียงเจี๊ยว
จ๊าวของเด็กๆ ดังขึ้นที่ล็อบบี้หน้าโรงเรียน อิสราซึ่งเป็นประธานนักเรียนก็ต้องออกมา
ต้อนรับเช่นเดียวกัน พอมีเด็กเล็กๆ แล้วเขารู้สึกเหมือนโรงเรียนสดใสขึ้น
"สวัสดีครับเด็กๆ" เสียงของผอ.ดังขึ้นที่ด้านหน้าของอิสรา
"สวัสดีคร้บ/ค่ะ" น้ำเสียงสดใสของเด็กชายเด็กหญิงหลายคนดังขึ้น ถ้าฟังไม่ผิดอิสรา
ได้ยินเสียงอ้อแอ้ของเด็กวัยทารกด้วย
ท-ทารกงั้นเหรอ...เด็กหนุ่มเริ่มเหงื่อตก
เมื่อทักทายแล้ว ก็ถึงเวลาเข้ารับบริการตรวจสุขภาพฟรี ซึ่งช่วงนี้อิสราและผองเพื่อน
ต้องกลับเข้าไปเรียนตามปกติ จึงยังไม่ได้พูดคุยกับเด็กคนไหนเลย เด็กหนุ่มลอบถอน
หายใจอย่างโล่งอก เพราะเขายังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะรับมือกับเด็กคนไหน
นักเรียนตัวแทนจะต้องดูแลหนึ่งคนเป็นเด็กในสังกัด อิสราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะได้น้อง
คนไหนมาดูแลจนกว่าน้องๆ จะมาถึง ในใจของเขาภาวนาขอให้ได้เด็กที่เลี้ยงง่าย พูดง่าย
และไม่วิ่งซุกซนจนเกินไป ไม่งั้นคนที่ตาบอดอย่างเขาคงวิ่งตามไม่ทันแน่ๆ ถ้าเป็นอะไร
ขึ้นมาเขาก็คงรู้สึกผิด
อิสราได้รับซองหนึ่งมาจากรัตติกาลเช่นพี่เลี้ยง(จำเป็น)คนอื่นๆ เมื่อเปิดและใช้ปลายนิ้ว
อ่านดู ก็ปรากฏว่าเป็นรายละเอียดจากทางสถานสงเคราห์ เมื่อไปถึงกลางหน้ากระดาษ
อิสราก็ได้รู้ชื่อเด็กในสังกัดของเขา
"วาเลนติโน่"
เด็กๆ ถูกพนักงานที่ดูแลนักเรียนของโรงเรียนพาไปที่ห้องพักผ่อน ที่นั่นอิสราจะได้เข้า
ไปพูดคุยกับเด็กของตัวเองครั้งแรก อิสราเดินไปตามกลุ่มเพื่อนนักเรียนตัวแทน หนึ่ง
ในนั้นมีจิณณ์ เพื่อนสนิทของตัวเองอยู่ด้วย
"ฉัน...กลัวไม่ไหวแหะ" อิสราเอ่ยเบาๆ พวกเขาสองคนเดินอยู่รั้งท้ายของกลุ่ม เด็กหนุ่ม
บีบไม้เท้าในมือแน่น จิณณ์ตบเข้าที่ไหล่สองสามครั้งให้กำลังใจเพื่อน
"เอาน่า ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เด็กแต่ละคนก็น่ารักดี"
"จริงเหรอ?"
"อื้อ... นายได้เด็กคนไหน"
"ชื่อวาเลนติโน่ เด็กผู้ชาย"
"โฮ่..." จิณณ์ส่งเสียงที่ทำให้อิสรารู้ในทันทีว่ากำลังเจองานหิน "ฉันได้อลิเซีย น้องผู้หญิง
น่ะ"
อิสรารู้สึกอิจฉาเพื่อนอยู่ในใจ ได้เด็กในสังกัดเป็นผู้หญิงคงจะเลี้ยงง่าย คงไม่ร้องไห้งอแง
หรือบ้าพลังแบบเด็กผู้ชาย และแล้วเขาก็เป็นกังวลจนหน้าถอดสีจนได้ ร้อนไปถึงจิณณ์ต้อง
ปลอบใจอีก
"น่า~ มั่นๆ ไว้เพื่อน อื้ม!"
"อ-อืม..."
ในห้องมีเพียงเด็กๆ และพี่เลี้ยงจากสถานสงเคราะห์เพียงไม่กี่คน อิสราไม่เคยได้ยินเสียง
วาเลนติโน่ ไม่รู้มาก่อนว่าเด็กมีท่าทางและขนาดตัวเท่าไหร่ และคนอื่นๆ ที่เป็นตัวแทน
พี่เลี้ยงจำเป็นก็่เช่นกัน จึงต้องตามหาเด็กในสังกัดของตัวเองด้วยการขานชื่อ
อิสรารอจนเกือบจะเป็นคนสุดท้าย บางคนนั่งคุยกับเด็กในห้อง บางคนก็แอคทีพมากขนาด
จูงมือพาเดินทัวร์โรงเรียนในเดี๋ยวนั้น อิสราอ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะออกเสียง
"น้องวาเลนติโน่ครับ อยู่มั้ย..."
อิสรากลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า พยายามเงี่ยงหูฟังเสียงตอบรับหากก็ไม่มี มีเพียงเสียง
พูดคุยของคนอื่น
"วาเลนติโน่..."
จึกๆ...
ที่ชายเสื้อของเขาเหมือนกำลังถูกดึง อิสราเลิกลั่กก่อนจะหันหน้าไปยังทิศทางที่ถูกดึง อิสรา
นิ่งไปซักพักด้วยความงงงวย แต่ไม่นานที่ชายเสื้อก็ถูกดึงอีก เมื่อนั้นเขาจึงได้เข้าใจ อิสรา
ย่อตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะยกมือข้างซ้ายขึ้นแล้วกล่าวกับเด็กชายท่าทางขี้อายคนหนึ่งที่
เอาแต่ก้มหน้า
"วาเลนติโน่ใช่มั้ยครับ? จับมือพี่หน่อยได้มั้ย พี่...มองไม่เห็นนะครับ"
"ไม่เห็น..." เสียงใสๆ อย่างเด็กผู้ชายดังขึ้น ก่อนที่ฝ่ามือหนาของเขาจะสัมผัสได้ถึงนิ้วมือ
เล็กๆ ทั้งห้าที่ค่อยๆ แตะลงอย่างกล้าๆ กลัวๆ อิสรายิ้มอย่างอ่อนโยน
สงสัยจะขี้อายเหมือนเราตอนเด็กๆ
"พี่ขอจับมือนะ จะได้ไม่หลงกัน"
แรงสะเทือนน้อยๆ ที่มือที่เขากำลังกอบกุมอยู่นั้นบ่งบอกให้รู้ว่าวาเลนติโน่ตัวน้อยคงกำลัง
พยักหน้าหงึกหงัก อิสราคิดว่าแบบนี้คงไม่ดีแน่ ถ้าถามแล้ววาเลนติโน่ไม่ตอบอะไรเลยคง
ต้องดูแลยากแน่นอน เด็กหนุ่มนั่งลงกับพื้นแล้วดึงให้วาเลนติโน่เข้ามาใกล้ๆ
"พี่ชื่อไอน์นะ"
"ไอน์"
"อื้อ! ไอน์"
"..."
"..."
แล้วทั้งคู่ก็เงียบกริบ อิสราคิดว่าคงจะไม่ดีแน่ๆ ก่อนจะพยายามเค้นคำพูดในสมองออกมา
"วาเลนติโน่ครับ พี่ขออะไรอย่างนะ"
"ผมไม่มีเงิน"
"พี่ไม่ได้ขอเงินครับ" อิสรากลั้วหัวเราะ "เวลาพี่ถามหรืออะไร ตอบพี่หน่อยนะครับ เพราะพี่
มองไม่เห็น พี่ทำได้แค่ฟังเสียงกับจับ ถ้าโน่ไม่ส่งเสียงพี่ไม่รู้นะว่าอยู่ไหน ไม่งั้นโน่หลงทางนะ"
อิสรารีบตีสนิทด้วยการเรียกชื่อสั้นๆ ดูเหมือนเด็กน้อยเองก็ไม่ติดใจอะไร เด็กชายพยักหน้า
หงึกหงักแต่เพียงครู่ก็นึกขึ้นได้ จึงตอบกลับเสียงเบา
"ครับ..."
"ดีมากครับคนเก่ง"
อิสรารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนน้องผู้ชายคนนี้จะไม่ได้เลี้ยงยากอะไร ออกจะ
บอกง่ายสอนง่ายแถมขี้อายอีก เลยไม่ค่อยเจี๊ยวจ๊าวเหมือนเด็กของคนอื่น แต่ดูเหมือน
มันจะไม่สบายขนาดนั้น ก็เด็กนี่นะ...
ใช้เวลาไม่นานมากกับการทำความคุ้นเคย วาเลนติโน่เป็นเด็กที่ขี้อายมาก แต่กลับเรียนรู้
และเข้าใจว่าต้องทำยังไงบ้างเมื่อต้องอยู่กับอิสราที่ไม่สามารถมองเห็น อิสราจูงมือพา
วาเลนติโน่เดินชมโรงเรียน ดูเหมือนเด็กชายจะตื่นตาตื่นใจกับโรงเรียนอยู่ไม่น้อย เด็กน้อย
หยุดดูนั่นดูนี่อย่างสนใจ ด้วยเพราะไม่เคยอยู่ในสถานที่หรูหราและมีคนมากมายขนาดนี้
มาก่อน อิสรายิ้มอย่างรู้สึกเอ็นดู แต่เขากลับมีความกังวลใจขึ้นมานิดๆ แต่เพราะไม่ค่อยพูด
อะไรนี่แหละ อิสราจึงหนักใจ ไม่รู้ว่าวาเลนติโนมีความต้องการอะไร ทำอะไรถึงจะชอบ
โดยนิสัยเขาก็โอ๋เด็กไม่เป็นอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงขบคิด
วาเลนติโน่มองดูนั้นนี่อย่างตื่นตา พี่สาวพี่ชายที่นี่ดูไม่เหมือนคนทั่วๆ ไป แม้แต่พี่ชายที่จับ
มือเขาอยู่ตอนนี้ก็มองไม่เห็น บางคนก็ไม่มีแขน บางคนก็ไม่มีขา แต่วาเลนติโน่ไม่ได้รู้สึก
ว่าพวกเขาน่ากลัว ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหน พี่สาวพี่ชายก็จะแวะมาทักทายกับเขาทุกครั้ง
ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเขาเลย...
"โน่ชอบกินอะไรครับ" อิสราถามพร้อมกับก้มตัวลงเล็กน้อย
"...ไม่รู้" เช่นเคยกับหลายๆ ครั้งที่เมื่ออิสราถาม เด็กชายจะตอบอ้อมแอ้มแบบไม่ค่อยมี
ความมั่นใจ คำว่า 'ไม่รู้' ของวาเลนติโน่มักจะหลุดออกมาอยู่บ่อยๆ อิสราลอบถอนหายใจ
นิดหน่อยก่อนจะชักชวนให้ไปทานขนม
"นี่อะไรครับ" เด็กชายเอ่ยถามเมื่อมีขนมหน้าตาแปลกๆ แต่ดูน่ากินมาวางอยู่ตรงหน้า
"ชีสเค้กครับ อร่อยนะ"
"จริงเหรอ"
"อืม"
เสียงช้อนกระทบจานดังขึ้น คราแรกเด็กชายไม่กล้าทาน กลัวจะโดนผู้ชายหน้านิ่งที่นั่งอยู่
ตรงข้ามดุเอา เด็กน้อยๆ ใช้ช้อนขนาดพอดีมือจิ้มลงแล้วยกตักเข้าปาก รสละมุนของเค้ก
บวกกับรสเปรี้ยวนิดๆ ของบลูเบอร์รี่ช่างแสนอร่อย พอเงยหน้าขึ้นดูว่าคนตรงหน้าจะว่า
อะไรหรือไม่ก็เปล่า มีเพียงรอยยิ้มจางๆ ที่พี่ชายคนนั้นชอบส่งมาให้ เมื่อสบายใจได้ว่าไม่
โดนดุแน่นอน วาเลนติโน่ก็กินเร็วขึ้น
เด็กชายยังต้องอยู่ที่โรงเรียนใหญ่โตแห่งนี้อีกหลายวัน วันนี้เป็นคนแรกที่จะได้นอน 'ในหอ'
กับพี่ไอน์ วาเลนติโน่ตื่นเต้น เด็กน้อยนั่งบีบมืออยู่ในห้องธุรการกับรัตติกาล น้าผู้หญิงที่ชอบ
ง่วงนอนอยู่ตลอด อยู่กันมาหลายวันวาเลนติโน่ก็เริ่มสนิทกับอิสรา เด็กชายรู้แล้วว่าพี่ชาย
คนนั้นไม่น่ากลัวหรือชอบดุแบบพี่เลี้ยงที่บ้านกำพร้าเลยซักนิด ติดจะใจดีมากเสียด้วยซ้ำ
วาเลนติโน่ชะเง้อชะแง้มองหาพี่ชาย จนเมื่อเสียงไม้เท้าที่ได้ยินบ่อยๆ ดังขึ้น และพี่ไอน์ใน
ชุดพละเดินเข้ามา วาเลนติโน่ก็ยิ้มกว้าง
"สวัสดีครับโน่ รอพี่นานมั้ย?"
เด็กน้อยส่ายหน้า แต่ก็เช่นเคย...เด็กน้อยมานึกได้ทีหลังว่าคนถามมองไม่เห็น ก่อนจะตอบ
แบบมีเสียง
"ไม่นานครับ"
"เหรอครับ" อิสราตอบแบบติดหอบนิดหน่อย เพราะเพิ่งเสร็จจากคาบพละซึ่งเป็นคาบสุดท้าย
ของวัน อิสราจูงมือวาเลนติโน่ที่เริ่มคุ้นที่ทางแล้วกลับห้องพักของตัวเอง เด็กหนุ่มสะพาย
กระเป๋าใบเล็กของวาเลนติโน่ที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนใส่นอนคืนนี้เอาไว้ เมื่อมาถึงที่ห้อง
ไอรีนก็รออยู่แล้ว อิสราแนะนำไอรีน
"นี่รูมเมทพี่ ชื่อพี่ไอรีน"
"สวัสดีครับ" วาเลนติโน่ไหว้อย่างไทยให้กับเด็กสาว ไอรีนยิ้มแก้มปริ
"น่ารักจังเลยค่ะ วันนี้มานอนด้วยกันนะ"
"เอ่อ" วาเลนติโน่อ้ำอึ้ง วันนี้ผมจะนอนกับพี่ชาย
"วันนี้โน่นอนกับพี่"
"แหม...พี่ไอน์ง่ะ หวงเด็ก"
ไอรีนทำงอนแก้มป่อง อิสรากลั้วหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำเพราะตัวยังเต็มไป
ด้วยเหงื่อ แต่ก้นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีเจ้าตัวเล้กมาให้ดูแล จึงชักชวนให้อาบด้วยกัน คราแรก
วาเลนติโน่อ้ำอึ้ง แต่ก็ยอมไปอาบด้วย
ขนาดห้องน้ำในหอพักก็ยังใหญ่ วาเลนติโน่มองแบบอึ้งๆ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนภายในหอเงียบสนิท ท้องฟ้าเป็นสีดำ ทุกคนคงเข้านอนอยู่ใน
หอแล้ว ไอรีนก็เข้านอนก่อน แต่สองหนุ่มยังอยู่ วาเลนติโน่รู้ว่าพี่ผู้ชายไม่ค่อยพูด วันนี้ยิ่ง
ไม่ค่อยพูด เด็กชายรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย จึงถามไปแบบกล้าๆ กลัวๆ
"พี่ไอน์ พี่ไอน์ง่วงเหรอครับ?"
อิสรายิ้มตอบอย่าเหนื่อยๆ
"ครับ วันนี้ใช้แรงเยอะ"
"นอนกับผมมั้ย"
"นั่นสินะ พี่คงพาโน่นอนดึก"
อิสราลุกขึ้นจากเตียง คลำหาสวิตซ์ไฟก่อนจะปิดมันลง แล้วขึ้นมาบนเตียง ทีแรกทั้งคู่นอน
แบบไม่มีส่วนไหนสัมผัสกัน แล้วในความมืดจู่ๆ อิสราก็เอ่ยขึ้น
"ฟังนิทานมั้ย"
"...ครับ"
อิสราที่สมองเริ่มหยุดทำงานเพราะความง่วงพยายามหาเรื่องเล่าที่คุณยายเคยเล่าอยู่บ่อยๆ
ออกมาจากหัว จนนึกเรื่องๆ หนึ่งได้ นั่นคือนิทานเรื่อง 'ดาวลูกไก่' อิสราใช้เสียงเอื่อยๆ นิ่งๆ
เล่ากล่อมเด็กชายไปเรื่อย วาเลนติโน่นอนฟังอย่างตั้งใจก่อนจะค่อยๆ ขยับตัว แต่เมื่อขยับ
ไปได้เพียงนิด มือใหญ่ของพี่ชายก็เอื้อมมาดึงตัววาเลนติโน่เข้าไปกอดไว้
"หนาวเหรอครับ?"
"..."
"สงสัยแอร์แรง" แต่อิสราก็ไม่ลุกขึ้นไปปรับแอร์แต่อย่างใด ยังคงเล่าไปเรื่อยๆ จนเสียงที่
เล่าเริ่มขาดหาย แล้วทั้งคู่ตกเข้าสู่ห้วงนิทรา
วันนี้เป็นวันที่วาเลนติโน่ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีน ตอนที่จับมือพี่ไอน์เข้าคิวหาคุณหมอ เด็กชาย
เห็นเพื่อนๆ ในสถานสงเคราะห์หลายคนร้องไห้จ้า แม้แต่ยัยตัวแสบอย่างแพทรีเซียยังร้องไห้
เด็กชายเริ่มหวาดกลัว
"พี่ไอน์ ไม่เอา"
เด็กชายดึงชายเสื้ออิสราย้ำๆ อิสราย่อตัวลงก่อนจะลูบหัวปลอบใจ
"พี่อยู่นี่นะ ไม่เจ็บหรอก"
"แต่แพทยังร้องไห้"
"เพราะแพทเป็นผู้หญิงไงครับ"
อิสราเอียงหน้าไปด้านที่มีเสียงร้องไห้งอแง ระหว่างนั้นเขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นแทรก
เสียงงอแงนั้น
"มีแต่เด็กเท่านั้นแหละครับ ที่ร้องไห้ตอนฉีดยาน่ะ"
"แง้-- อึก... แพทไม่เด็ก!"
แล้วอิสราก็ขำพรืดออกมา ซักพักก็ถึงคิวของวาเลนติโน่ เด็กชายเกาะอิสราแน่น แรงสั่นที่มือ
ทำให้อิสรารู้ว่าเด็กชายกำลังกลัวมากแค่ไหน ขณะที่คุณหมอกำลังเตรียมยาอยู่ อิสราจึง
โน้มน้าววาเลนติโน่ด้วยการให้เด็กชายมองหน้าตน พร้อมๆ กับการพูดคุยเพื่อเบี่ยงเบนความ
สนใจ
วาเลนติโน่กัดปากทันทีที่ความเจ็บจี๊ดๆ ที่ต้นแขนเกิดขึ้น แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากพี่ชาย
ที่ยังคงพูดคุยปกติกับตัวเอง เด็กชายน้ำตาปริ่มแต่ก็ไม่ร้องไห้งอแง แค่เช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ
แล้วซักพักอิสราก็ดึงเข้าไปกอด
"เก่งมากครับ"
"งื้อออ"
"เก่งมาก คนเก่ง" อิสราพูดปลอบพร้อมกับลูบหลัง วาเลนติโน่ซุกหน้าเข้ากับอกของอิสราก่อน
ร้องไห้เงียบๆ
ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายวัน ทั้งคู่ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น สนิทกันมากขนาดที่สามารถถามเรื่องที่มาที่ไป
ของวาเลนติโน่ได้ และเด็กชายก็ไม่เคาะเขินกับเขาอีกต่อไป จากวันแรกๆ ที่ไม่ค่อยกล้าพูดกับ
คนแปลกหน้าก็เริ่มพูดหยอกล้อ จากที่ไม่รู้จะดูแลเด็กยังไงและเป็นกังวลก็เริ่มสนิทสนมและ
สามารถดูแลเด็กได้ด้วยความสุข วันเวลาก็ช่างผ่านไปเร็วเสียเหลือเกินจนเมื่อวันสุดท้ายของ
การรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของอิสรามาถึง และวันที่จะได้มีพีชายของวาเลนติโน่สิ้นสุดลง
อิสราเก็บสัมภาระเล็กๆ น้อยๆ ที่ค้างอยู่ที่ห้องพักของตนเองให้วาเลนติโน่โดยมีเด็กชายที่
หงอยเหงาผิดปกตินั่งรออยู่บนเตียง เมื่อเก็บข้าวของเสร็จแล้วอิสราก็เข้ามานั่งลงข้างๆ
"เหงาเหรอ?"
"...ครับ" วาเลนติโน่ตอบตามจริง
อิสราลูบผมเด็กชายเบาๆ
"จะกลับแล้วนะ"
"ครับ"
"ไม่อยากกลับเหรอ"
เด็กชายเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบเสียงเบา "...ครับ"
เรียกเอารอยยิ้มบางๆ มาจากอิสรา เด็กหนุ่มเข้าสวมกอดคนตัวเล็ก หอมที่กระหม่อมเบาๆ แล้ว
เอ่ยปลอบเด็กชายตรงหน้า
"อยากกอดพี่ไว้จนกว่าจะกลับมั้ย?"
"ถ้ากอดก็เดินไม่ได้"
"ได้สิ"
วาเลนติโน่มองหน้าอิสรางงๆ เด็กชายรู้ตัวดีกว่าไม่ใช่เด็กที่ตัวเล็กขนาดที่จะอุ้มด้วยแขนเดียว
ง่ายๆ แล้วไม่นานวาเลนติโน่ก็เข้าใจสิ่งที่อิสราสื่อ วาเลนติโน่สะพายกระเป๋าใบเล็กไว้ด้านหลัง
แล้วขึ้นขี่หลังพี่ชายตัวโต พี่ชายก็ช่างเป็นใจ ให้เขาได้ขี่หลังและเดินช้าๆ ไปที่ล็อบบี้หน้า
โรงเรียน พยายามใช้เวลาทุกนาทีให้ได้อยู่ด้วยกัน วาเลนติโน่กอดคอแล้วซุกไหล่อิสราแน่น
เมื่อมาถึงที่หมาย วาเลนติโน่ก็ยังไม่ยอมลงจากหลัง ความชื้นที่ไหล่ทำให้อิสรารู้ว่าเจ้าตัวเล็ก
คงกำลังร้องไห้และใช้ไหล่ของเขาเช็ดน้ำตา
"ลูกผู้ชายไม่ร้องไห้นะครับ"
"...ครับ"
อิสราย่อตัวลง และวาเลนติโน่ก็ยอมปล่อยอิสรา วันนี้เป็นวันสุดท้าย บรรยากาศของเด็กๆ ใน
วันนี้ช่างแตกต่างจากวันแรกของการก้าวเข้ามายังโรงเรียนแห่งนี้ยิ่งนัก พี่เลี้ยงหลายคนกำลัง
บอกลาน้องสาวน้องชาย ส่วนน้องสาวน้องชายกำลังเศร้าใจที่ต้องจาก อิสราฟังเสียงรอบกาย
ก่อนจะดึงวาเลนติโน่เข้ามากอด
"แล้วเจอกันอีกนะครับ มาปั่นจักรยานให้พี่ซ้อนนะ"
"ครับพี่ไอน์"
"ดูแลตัวเองดีๆ เป็นเด็กดีนะ"
"...ครับ"
อิสรายืนส่งน้องชายหนึ่งเดือนของตัวเองจนเสียงรถลับหายไปจากบริเวณนั้น เขาถอนหายใจ
พอไม่มีเด็กตัวเล็กๆ ให้เดินจูงมือแล้วมันก็ช่างดูโหว่งเหวง ขณะที่กำลังยืนอาลัยอาวรณ์อยู่
เสียงป้าบก็ดังขึ้นที่ไหล่
"ไงท่านประธาน คิดถึงลูกเหรอ" จิณณ์เดินเข้ามาทักเพื่อน
"ลูกอะไรเล่า"
"เห็นกังวลจะเป็นจะตาย ตอนนี้คิดถึงซะงั้น"
"...นั่นสิ" อิสรายิ้มขำตัวเอง
คงจะคิดถึงวาเลนติโน่ไปอีกหลายวัน
B. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม 80% ขึ้นไป
- A - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม
สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็น
ที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1.250,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's Comment:
- ชอบรูปสีน้ำทุกๆรูปมากเลยครับ ได้เห็นเปลี่ยนวิธีทำงานแบบนี้ก็รู้สึกแปลกตา
มีอะไรแปลกใหม่ให้ชมกันเรื่อยๆดี คราวหน้าอย่าลืมอะไรใหม่ๆมาให้ชมอีกนะครับ!!
จุดบอดจุดเดียวเลยของภารกิจนี้คือการที่ไม่ได้นำวาเลนติโน่มาใช้อย่างเต็มที่ครับ
ทั้งนิสัยรวมถึงปมเรื่องความไม่มั่นใจของเขา ซึ่งเชื่อมโยงถึงอดีตและประวัติ
ของตัวน้อง พอตัดส่วนนี้ออกไปมันจึงเหมือนตัดส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของ
ภารกิจออกไป นอกจากตรงจุดนี้แล้วก็ยังคงเป็นภารกิจที่อบอุ่นและใจดี
ตามสไตล์ประธานนักเรียนเช่นเดิมเลยนะครับ^^
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Re: Lesson 21 : In your care
Mon 29 Jun 2015, 01:10
- Intro กระรอกบิน:
- "ผอ. ช่วยจับไว้ทีค่ะ!!"
รัตติกาลเปล่งเสียงร้องขอเหนื่อยหอบ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของคนสองคน
ที่กำลังวิ่งมาทางผม สัญชาตญาณบอกขับเคลื่อนร่างกายไปก่อนความคิด
ผมคว้ามือช้อนตัวคนที่วิ่งเข้ามาใกล้.. หวา เธอตัวเบามากๆ เด็กอย่างนั้นเหรอ?
"นี่!! ปล่อยนะ อย่ามาจับนะ!!"
ร่างในมือดิ้นไปมา หากผมกลัวว่าเธอจะตกลงไปผิดท่าจนได้รับบาดเจ็บ จึงกระชับมือ
พันธนาการร่างเล็กแน่นขึ้น เสียงเล็กหวีดร้องโวยวาย
“แฮ่กๆๆ ขอบคุณนะคะ ช่วยได้เยอะเลย เด็กคนนี้หนีออกมาจากห้องธุรการน่ะค่ะ”
”หืม? แล้วทำไมเธอถึงหนีออกมาล่ะครับ”
ผมถามน้ำเสียงปกติโดยหิ้วเจ้าตัวเล็กไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เธอพยายามตบตีผม
แต่แรงจากมือเล็กๆนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บอย่างไร
“เธอซนแบบนี้แหละค่ะ คุมกันไม่อยู่เลย ยิ่งกว่ากระรอกบินเสียอีก”
ผมหัวเราะชอบใจ รัตติกาลที่มักชอบทำตัวลึกลับมีเลศนัยบัดนี้กลับอยู่ในสภาพ
ไม่สู้ดี ผมเดาได้เลยว่าผมสวยๆของเธอคงกระเซอะกระเซิงไปหมด
“เห๋?.. ผมกำลังอุ้มกระรอกบินแสนซนอยู่หรือนี่”
ผมจับร่างเล็กขึ้นขี่คอ เสียงเล็กนั้นร้องเหวอตกใจพร้อมทั้งจับหัวผมไว้แน่น
“ไม่ตกหรอกครับ ผมเป็นผอ.ที่เก่งกาจที่สุดในโลกเชียวนะ”
เจ้าเด็กตัวเล็กโวยวายจะลงจากบ่าแต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน ขืนปล่อยไป
คงต้องลำบากคุณรัตไปตามจับกลับมาอีกเป็นแน่ ฟังจากน้ำเสียงเหนื่อยล้า
นั้นแล้วก็พอรับรู้ได้ว่าการเลี้ยงเด็กๆเหล่านี้คงจะเป็นงานหนักหนาไม่น้อย
และในฐานะของผู้อำนวยการที่ดี ผมก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระเท่าที่ทำได้
“คุณรัต ให้ผมช่วยดูแลเด็กคนนี้ได้ไหมครับ”
“อ เอ๋? จะดีหรือคะ ดิฉันไม่อยากให้ผอ.ต้องลำบาก..”
“ลำบากอะไรกันครับ คุณคอยดูแลเด็กตั้งหลายคน ให้ผมช่วยสักคนนะ
ใช่มั้ยกระรอกบิน?”
ผมพูดพลางเงยหน้าคลี่ยิ้มให้เจ้าตัวเล็กที่อยู่บนบ่า
“หนูไม่ใช่กระรอกบินสักหน่อย ชื่อ 'แพททรีเซีย' ต่างหากล่ะ!!”
- Day 1 กระรอกบินตกเตียง:
- ผมพากระรอกบิน.. เอ้ย แพททรีเซียกลับมาที่ห้อง เอาจริงๆแล้วผมขอ
สารภาพว่ากำลังเปรียบเทียบเด็กคนนี้เข้ากับกระรอกบินจริงๆ เพราะเธอ
วิ่งไวแถมยังมีเรือนผมนุ่มฟูเหมือนเจ้ากระรอกน้อย เมื่อคุณรัตอนุญาต
แล้วผมจึงพาเด็กสาวขึ้นมายังห้องทำงานส่วนตัว พอเข้ามาในห้องแล้ว
จึงล็อคประตูก่อนปล่อยแม่จอมยุ่งลงจากบ่า
“ห้องกว้างจัง กว้างกว่าห้องธุรการอีก!!”
ทันทีที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการร่างเล็กก็วิ่งพุ่งออกไปราวกับตุ๊กตาไขลาน
เสียงที่ดังตามมาคือเสียงเกาะเคาะหน้าต่างกระจกใส ดูเหมือนเธอจะชอบมันมาก
“โห สุดยอดเลย มองเห็นทุกคนหมดเลย อย่างกับเจ้าหญิงแหนะ!!”
“ดีจังเลย ได้เห็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอ!!”
เสียงเล็กกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น เธอพยายามเคาะกระจกเรียกเพื่อนที่ด้านล่าง
วิวจากหน้าต่างห้องนี้สามารถมองลงไปยังสนามกีฬาได้ทั่วบริเวณ ทว่า..
“ผมไม่ได้มองหรอกครับ”
“เอ๋!! ทำไมล่ะ เสียดายแย่เลย”
“ผมมองไม่เห็นน่ะครับ..”
“…..”
เสียงตื่นเต้นผลันเงียบชะงัก ผมสัมผัสได้ว่ากำลังถูกจ้องไม่วางตา
“ขอโทษค่ะ...”
เสียงที่เคยตื่นเต้นบัดนี้กลับสั่นเครือ เธอเลิกสนใจกระจกห้องและ
ยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น อะไรกัน ที่แท้กระรอกใส่ถ่านตัวนี้ก็มีจิตใจ
อ่อนโยนไม่แพ้ใครเลยนี่นา ผมคลี่ยิ้มระหว่างเดินเข้าหาร่างเล็ก
และนั่งยองๆลงเบื้องหน้า หวังให้เธอมองหน้าผมได้ง่ายขึ้น
“แพททรีเทียเนี่ย น่ารักจังเลยนะครับ เรามาญาติดีกันดีมั้ย?”
“ไม่เอาง่ะ”
คำตอบทำเอาผมหน้าชาไปชั่วครู่ ส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างมั่นใจใน
ฝีมือการผูกมิตรกับสตรีอยู่พอตัว แต่นี่มันอะไรกัน เด็กสาวตัวเล็กๆ
กำลังปฏิเสธผมจนหน้าหงาย ฮือๆๆ ระหว่างที่ผมกำลังเศร้าใจอยู่นั้น
แพททรีเซียก็ย้ายตัวไปอีกมุมฝั่งนึงของห้องแล้ว
“ผอ.ข้างบนนี้มีอะไรเหรอ?”
เสียงดังมาจากแถวหน้าบันไดชั้นสองซึ่งเป็นห้องพักส่วนตัวของผม
ผมค่อนข้างถือเรื่องความเป็นส่วนตัว จึงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับ
อนุญาตได้ขึ้นไปบนชั้นสองนั่น
‘ตึก ตึก ตึก ตึก’
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอธิบายเจ้าเด็กตัวดีก็เดินขึ้นบันไดไปเสียแล้ว
เห็นเช่นนั้นผมจึงเดินตามขึ้นบันไดสู่ห้องพักส่วนตัวอย่างช่วยไม่ได้
‘นิ่มจัง ฮ่าๆๆ’
พอขึ้นมาได้ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงสปริงเตียงที่เด้งเหมือนจะหลุดออกมา
เด็กสาวตัวเล็กกำลังกระโดดอยู่บนเตียงนอนอย่างสนุกสนาน เธอช่าง
เหมือนกระรอกบินที่ควบคุมไม่ได้จริงๆนั่นแหละหนา
“แพททรีเซีย อย่ากระโดดแบบนั้นสิครับ คานเตียงมันสูง เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก”
“กำลังสนุกเลย ขออีกนิดนึง ฮะๆๆๆ”
ผมเกาศีรษะลำบากใจ โดยปกติแล้วเด็กในโรงเรียนแห่งนี้พอที่จะมี
อายุและวุฒิภาวะโตพอที่จะแยกแยะที่ถูกที่ควรได้ แต่เด็กที่มาจาก
สถานสงเคราะห์คราวนี้เป็นเพียงเด็กเล็กที่เหมือนกับผ้าขาว
พวกเขาช่างไร้เดียงสาและซุกซน ผมจะดูแลเธอไหวไหมนะ
‘กรี๊ดดดดด’
“ระวัง!!”
ผมรีบวิ่งตามเสียงเข้าไปในห้องนอน แต่ด้วยความเร่งรีบจึงทำให้
สะดุดขาตัวเองล้มลงนอนแผ่อยู่ข้างเตียง
‘โอ๊ย!!’
ล้มลงได้ไม่ถึงสองวินาทีก็โดนคอมโบแถมด้วยตัวเด็กสาวที่ล้มกระแทก
ลงกลางหลัง ความเจ็บปวดแล่นผ่านเส้นประสาทสร้างความปวดร้าว
ไปทั้งกายา ร่างเล็กที่เด้งลงจากเตียงนั้นตื่นตระหนกตกใจจนแข็งนิ่งไป
“เป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย!!”
“…….”
ผมรีบถามเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้คำตอบจากเด็กบนหลัง เธอเพียงนั่งสั่นอยู่เช่นนั้น
“ไม่เป็นไรนะ ผมไม่ว่าเธอหรอก ผมแค่อยากรู้ว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
หนึ่งเรื่องน่าลำบากใจของคนตาบอดคือผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้ด้วยตนเอง
แม้ใครจะเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่มีทางรับรู้หากเจ้าตัวไม่คิดปริปากบอก
ในที่สุดเจ้าตัวเล็กบนหลังก็ส่ายหน้าไปมา ที่ผมรับรู้ว่าเธอส่ายหน้าเป็นเพราะ
แพททรีเซียมีเรือนผมที่ยาวสลวย ทุกครั้งที่ขยับตัวเส้นผมจะเสียดสีกับเสื้อผ้า
สร้างเสียงให้รับรู้
“ค่อยยังชั่ว”
ผมถอนหายใจเสียงดังด้วยความโล่งอก ผมมันแก่แล้ว ถึงจะมีแผลเพิ่ม
นิดๆหน่อยๆมันก็ดูสมบุกสมบันเป็นชายชาตรีดี แต่เด็กสาวตัวน้อยคนนี้
ไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากให้เธอต้องมีแผลบนเรือนร่างบอบบางนั้นเลย
“ขอบคุณที่ช่วย.. จะเรียกหนูว่า ’แพท’ ก็ได้นะ..”
“ครับ แพท”
ผมคลี่ยิ้มหวานแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม...
- Day 5 กระรอกเล่นกับญายะ:
- "แพท ญายะมาเล่นด้วยแหนะ"
ผมบอกกับเด็กสาวที่กำลังนั่งเล่นของเล่นอยู่เพียงลำพัง ตัวผมนั้นมีงานของ
ผู้อำนวยการต้องจัดการจึงทำให้ไม่สามารถอยู่กับเธอได้ตลอดเวลา เห็นยัย-
กระรอกบินเล่นอยู่คนเดียวก็อดไม่ได้ที่จะเรียกหาคนมาเล่นเป็นเพื่อน ก่อน
กลับห้องมาเดินสวนกับพีชและญายะพอดี ผมจึงขอยืมตัวญายะมาในช่วง
บ่ายที่พีชกำลังเรียนอยู่
"ยะ!! มาเล่นด้วยกันสิ!!"
เสียงใสเอ่ยดีใจก่อนจะลุกขึ้นไปจูงมือเด็กสาวตัวเล็กไปนั่งเล่นด้วยกัน
ระหว่างที่ผมนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักจากเด็กน้อย
ดังมาจากมุมอ่านหนังสือเป็นระยะๆ เสียงหัวเราะแสนไร้เดียงสานั้น
ทำให้บรรยากาศที่เคยเงียบสงบผลันดูมีสีสัน
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ เมื่อผมเครียร์งานส่วนใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ผมจึงลุกขึ้นเดินขึ้นไปบนชั้นสอง หวังไปทำขนมต้อนรับแขกตัวน้อย
เสียหน่อย ไม่รู้จะชอบกันหรือเปล่านะ..
"นี่อะไรเหรอ?"
"ชีสเค้กมาเสิร์ฟครับ คุณหนูทั้งสองคน"
ผมได้ยินว่าพวกเธอกำลังเล่นจิบชา(ปลอมๆ)กันอยู่ จึงคิดว่าไปหา
น้ำหวานมาใส่แก้วของเล่นนั้นและเสิร์ฟคู่กับชีสเค้กอุ่นๆน่าจะดี
"ชีสเค้ก? ชีสเค้กอะไรเหรอ? ยะรู้จักมั้ย?"
"ยะไม่ยู้"
"ฮะๆๆ ลองชิมดูสิครับ อร่อยนะ"
ผมตักเค้กชิ้นเล็กๆและยื่นไปทางญายะ เธอขยับเข้ามาลองชิมเค้ก
"หย่อย"
คำชมที่ได้ทำเอาผมต้องเผยยิ้มชอบใจ จากนั้นจึงตักเค้กยื่นไปทาง
แพททรีเซียบ้าง เธอดึงช้อนออกจากมือผมเร็วไว
"หนูโตแล้ว หนูกินเองได้"
ว่าแล้วเธอก็เอาช้อนเข้าปากลิ้มรสชีสเค้กนุ่มฝีมือผม
"อื้อ!!"
คำอุทานปลื้มอกปลื้มใจทำให้ผมรู้สึกชื่นใจไปด้วย ถึงแพททรีเซีย
จะไม่เอ่ยปากชมแต่ก็ทานเค้กของตัวเองจนหมดชิ้นไม่มีเหลือ
"ผอใจดี ยะให้"
ญายะรินน้ำหวานในกาน้ำชาของเล่นลงในแก้วพลาสติกใบเล็กจิ๋ว
เธอยื่นแก้วมาแตะหลังมือผม เนื่องจากญายะเองก็สูญเสียการ
มองเห็นของตาซ้ายไป ทำให้เธอรู้ว่าควรปฏิบัติตัวเช่นไรกับผม
ผมยิ้มหวานรับแก้วมาดื่มน้ำหวานที่เรียกได้ว่าเพียงอึกเดียวก็หมด
แก้วเสียแล้ว เด็กสาวตบมือดีใจที่ผมดื่มน้ำจนหมด จากนั้นจึงริน
เพิ่มอีกแก้ว
"พอแล้วครับญายะ เก็บไว้ดื่มกับแพททรีเซียเถอะนะ"
ผมหวังดีอยากให้เด็กๆได้ดื่มได้ทานกันเยอะๆ ทว่าญายะยังคง
รินน้ำใส่แก้ว เธอนำแก้วพลาสติกใบเล็กมาวางลงถัดข้างจากตัวผม
"ผอ.ยังไม่ได้ดื่ม"
"ดื่มแล้วครับ นี่ไง"
ผมชูแก้วเล็กขึ้นขยับเป็นหลักฐาน ขอเดาว่ามันคงเป็นสีชมพูหวานใส
"ผอ.อีกคนยังไม่ได้ดื่ม"
เธอเคาะแก้วบนพื้นที่ข้างตัวผมราวกับเรียกให้ใครสักคนรับมันไป
ทว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีตัวตนของใครอยู่เลย....
"....."
- Day 10 กระรอกเลือกกิน:
- "ผมมารับกระรอกบินกลับบ้านครับ~"
ผมกล่าวทันทีที่เปิดประตูห้องธุรการออก ห้องธุรการที่ปกติเงียบสงบ
บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าเด็กน้อยจากสถานสงเคราะห์
"สวัสดีค่ะผอ. ประชุมเลิกแล้วเหรอคะ ขออภัยนะคะที่ดิฉันไม่ได้ร่วมด้วย"
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณรัต คุณเองก็ยุ่งกับพวกเด็กๆ แล้วแพทล่ะครับ?"
"แพทอยู่มุมห้องค่ะ เธอไม่ชอบทานข้าวกลางวันเลยถูกทำโทษด้วยการ
นั่งมุมห้องคนเดียว"
ผมส่ายหน้าด้วยอารมณ์เวทนาปนขบขำ ในแต่ละวันแพททรีเซียจะขยัน
สร้างเรื่องให้ทางห้องธุรการได้ปวดหัวได้ไม่ซ้ำเรื่อง มีตั้งแต่ไม่ยอมพูดจา
มีหางเสียงเอย ไม่ยอมเก็บของเล่นเอย แล้วทุกครั้งที่โดนดุว่าเธอก็จะ
โวยวายเหล่าพนักงานที่ทำเหมือนเธอเป็นเด็ก ทั้งๆที่การกระทำของเธอ
นั้นเด็กสุดๆไปเลย แถมยังเป็นเด็กเกรียนแสนวุ่นวายอีกด้วยสิ
"แพท ทำไมไม่ยอมกินข้าวกลางวันครับ?"
ผมถามเธอหลังจากที่เดินมานั่งยองๆลงข้างตัวเด็กสาว
"มันมีแครอท หนูไม่ชอบกินแครอท"
"มีแต่เด็กเท่านั้นแหละครับที่เลือกกิน ผู้ใหญ่เขาเห็นคุณค่าของอาหารนะ"
แพททรีเซียหันมาเอามือทุบไหล่ผมด้วยความไม่ชอบใจ ผมจับเจ้าตัวเล็ก
ขึ้นขี่คอแล้วบอกกับรัตติกาลว่าผมจะจัดการทำโทษต่อด้วยตัวเอง ดูเหมือน
แม่กระรอกบินจะหน้าเสียไปทันตาเมื่อได้ยินคำว่า 'ทำโทษ' เพราะร่างที่
ดิ้นปฏิเสธตอนนี้กลับแข็งทื่ออยู่บนไหล่ของผม เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นผมจึง
อดไม่ได้ที่จะแกล้งทำเป็นโกรธ ผมไม่พูดอะไรกับเธอเลยตลอดทางกลับ
มาจากห้องพัก พอเข้ามาในห้องแล้วก็เดินเสียงตึงตังขึ้นบันไดไปโดยไม่
สนใจใยดีเธอแม้แต่น้อย
"ผอ.โกรธหนูมากเหรอ?"
แพททรีเซียทนไม่ไหวเริ่มเปิดสทนทากับผมที่ยืนหันหลังเข้าโต๊ะทำครัว
"ก ก็แครอทมันไม่อร่อย... จริงๆนะ"
ผมทำเป็นไม่ได้ยินและง่วนอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ต่อไป
"น นี่ ผอ.โกรธหนูเหรอ.. หนูไม่ผิดนะ!!"
'ตึง!!'
ผมวางชามใบหนึ่งลงบนโต๊ะเสียงดัง ในชามนั้นมีอาหารกลิ่นหอมโชยอยู่
มันคือพะโล้หอมหวานที่ปะปนไปด้วยแครอทซอยเป็นลูกเต๋าขนาดเล็ก
"ทานซะครับ ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันใช่มั้ย? หิวแย่แล้วนั่น"
"เอ๋??"
ผมเลื่อนเก้าอี้และล้มตัวลงนั่งข้างเด็กสาวจอมซนก่อนจะเริ่มซดน้ำซุป
และทานอาหารในส่วนของผมอย่างเอร็ดอร่อย เขาบอกว่าการที่เราจะ
ทำให้ใครเชื่ออะไรสักอย่างได้นั้น เราจะต้องพิสูจน์มันให้เขาเห็นเสียก่อน
ผมตักแครอทเข้าปากด้วยท่าทีที่เหมือนกำลังทานอาหารจากเชฟชื่อดัง
แพททรีเซียจดจ้องผมไม่วางตา ท้องเธอร้องดังจ๊อกตามประสาคนไม่ได้
ทานข้าวเที่ยง จากนั้นสักพักผมจึงได้ยินเสียงช้อนกระทบชามใบเล็ก
"แพท ถ้าทานข้าวหมดผมมีรางวัลจะให้ด้วยนะ"
"จริงเหรอ อะไรเหรอ!!"
"ไม่บอก~ ทานให้หมดก่อนสิ"
แม่กระรอกบินทานข้าวจนหมดเกลี้ยงจาน ผมเผยยิ้มกว้างระหว่างนำ
จานไปเก็บ จากนั้นจึงเดินไปหยิบของบางอย่างจากในตู้เสื้อผ้า
"เป็นไง ชอบมั้ย ใส่พอดีหรือเปล่า?"
"อ๊ะ สวยจังเลย"
ผมหวังว่าเธอคงกำลังยิ้มอยู่นะ
- Day 15 กระรอกย้ายรัง:
- "คุณรัต เป็นยังไงบ้างครับ?"
ผมถามเลขาส่วนตัวที่ตอนนี้ถูกมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงเด็กจำเป็น รัตติกาล
อ้ำอึ้งที่จะตอบเล็กน้อย ผมรู้ดีว่าการเลี้ยงเด็กจำนวนมากไม่ใช่เรื่องง่าย
"ดิฉันไม่อยากพูดแบบนี้เลยนะคะ.. แต่มันเหนื่อยตอนวิ่งไล่จับแพททรีเซีย
เนี่ยแหละค่ะ ดิฉันก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กด้วย บางทีให้เกลินมาดู.."
"ไม่เป็นไรครับ"
"เอ๋?"
"งั้นต่อจากนี้ผมขอรับผิดชอบแพททรีเซียเองได้ไหมครับ?"
"แต่ผอ.คะ!!"
ผมยิ้มให้รัตติกาลเป็นเชิงว่าไม่ต้องการรับฟังอะไรเพิ่ม และเธอที่รู้จัก
ผมดีก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ ผมไม่ได้โกรธหรือคิดว่ารัตติกาลจะ
รับงานไม่ไหว เพียงแต่ผมต้องการแบ่งเบาภาระเธอเท่าที่มีกำลัง
และผมก็ไม่คิดว่าแม่กระรอกบินคนนี้ไม่น่าจะซนเกินกำลัง (หวังว่านะ)
ผมรับแพททรีเซียกลับไปที่ห้องพร้อมกับสัมภาระอีกหลายอย่าง
เพราะต่อจากนี้เป็นต้นไปเธอจะได้มาอยู่กับผมที่ห้องแทน
"คิดไรอยู่เหรอ คิ้วเป็นปม?"
"แพท ผมมีเรื่องจะพูดด้วย"
"อะไรเหรอ?"
"ต่อจากนี้เธอจะได้อยู่กับผมที่นี่ตลอด ไม่ต้องกลับไปห้องธุรการแล้ว"
"ทำไมล่ะ? ทั้ง อลิซ ยะ ชีต้าห์ แอน ก็ต้องกลับห้องธุรการทุกวันนะ?"
ผมหัวเราะน้อยๆให้กับเสียงตื่นๆของเธอ ลืมนึกไปสนิทว่าการที่เธออยู่ที่นี่
มันแปลว่าแม่กระรอกน้อยจะไม่ได้อยู่กับเพื่อนๆ แต่จะต้องคลุกอยู่กับ
คนแก่อย่างผมแทน นี่ตัดสินใจพลาดไปหรือเปล่านะ..
"เธอไม่อยากอยู่กับผมหรือเปล่า?"
"เปล่า ผอ.ทำกับข้าวอร่อย"
'นี่เห็นผมเป็นแค่ตู้เย็นสินะ..'
"ถ้าอย่างนั้นก็เอาเสื้อผ้าไปจัดเข้าตู้กันครับ"
แพททรีเซียค่อยๆพับเสื้อผ้าวางเรียงในตู้อย่างเป็นระเบียบ ถึงเธอ
จะแสบซนแต่ก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนนึง รักสวยรักงาม
ไม่ชอบให้เสื้อผ้าของตัวเองเปื้อนหรือยับยู่ยี้ เธอดูเงียบกว่าปกติ
จนทำให้ผมกังวลว่าเธอจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องมาอยู่กับผมหรือเปล่า
"แพท.."
เห็นเงียบไปนานผมจึงเดินไปแถวตู้เสื้อผ้าและควานหาตัวเธอ
เมื่อเจอแล้วจึงจับไหล่เล็กนั้นไว้ด้วยความเป็นห่วง
"ไม่นะ อย่าเข้ามา!!"
แพททรีเซียปัดมือผมออกเร็วไว
"เอ๊ะ!?!"
"หนูรู้นะว่าผอ.คิดจะทำอะไรกับหนูน่ะ!!"
"พ แพทรู้ได้ไงว่าเย็นนี้ผมจะทำแกงจืดให้ทาน!!"
"ไม่ใช่สิ!! หนูหมายถึงเรื่องมิดีมิร้ายต่างหาก!!"
"อ เอ๊ะ!?! เห๊ะ!!"
"หนูรู้นะว่าผอ.วางแผนให้หนูมาอยู่ในห้องแล้วจะทำเรื่องไม่ดีกับหนู"
"ห๊ะ?? ไม่จริงนะ!! ไม่ใช่กับเธอ!!"
"แต่หนูดูมาจากในทีวี ทีวีบอกว่าผอ.เป็นคนลามก!!"
"ทีวี?? ทีวีช่วงไหน??"
"ทีวีที่ฉายหลังข่าวตอนเย็น"
ผมยกมือขึ้นกุมหน้าเก็บอารมณ์ เพราะอย่างนี้ไงผมถึงได้เตือนเด็กๆ
ของผมอยู่เสมอว่าอย่าไปดูละครหลังข่าว
"แต่ในทีวีนั่นผอ.ทำเรื่องของผู้ใหญ่กับคนที่ไม่เต็มใจ!!"
"ผมไม่ทำกับเธอหรอก!!"
เราสองคนถกเถียงกันจนผมแทบจะลงไปกองกับพื้น แต่ละอย่างที่
หลุดออกมาจากปากเด็กคนนี้ไม่ได้สมวัยเธอเลยแม้แต่น้อย
"โถ่ ผมก็นึกว่าเธอจะเสียใจหรือรู้สึกว่าโดนทิ้งจากห้องธุรการซะอีก"
"ทำไมล่ะ?"
"เธอไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆเหรอ แน่นะ?"
"ผอ.อยากอยู่กับหนูไหมล่ะ?"
"อยาก"
แพททรีเซียเงียบไปพักหนึ่ง เธอถอนหายใจเชื่องช้าอย่างโล่งอก
"แค่นั้นก็พอแล้ว"
"แต่อย่าลักหลับหนูนะ ไม่งั้นหนูจะฟ้องครูแน่!!"
"โอ๊ย ผมไม่ทำอะไรหรอกน่า แล้วก็ผมเนี่ยแหละที่เป็นครู!!"
ให้ตายสิยัยเด็กคนนี้ นี่ผมเป็นห่วงเก้อใช่ไหมเนี่ย...
ของแถม
หากอยากรู้ว่าแพททรีเซียกำลังพูดถึงละครเรื่องอะไรอยู่ คำตอบอยู่เบื้องล่าง
- Day 20 กระรอกซึนเดเระ:
- 'ก็นี่แหละ ตัวของฉัน ให้เธอเข้าใจ
เพียง… คนๆหนึ่งที่มันต้องการ จะมีความรัก ให้เธอมารัก
OK! ก็รู้ว่ามัน เหวี่ยง-เกิน-ไป
โปรดอย่ารำคาญ ก็รักมากมาย แต่…อาจจะมีที่ปากไม่ตรงกับใจ
ทำเธอวุ่นวาย แค่ให้รู้เอาไว้ ยังไง ก็รักๆ เธอ'
เสียงเพลงดังจากทีวีในช่วงยามดึกของวัน เพราะผมไม่อยากให้แพททรีเซีย
ดูละครไปมากกว่านี้จึงไปสรรหาสารพัดการ์ตูนและเพลงมาให้เธอฟังแทน
และนี่ก็เป็นหนึ่งในเพลงที่ผมเปิดกรอกหูเธอมาได้หลายวันแล้ว ทุกครั้งที่
ได้ยินยัยกระรอกบินจะแสดงท่าทีไม่ชอบ หากผมกลับคิดว่าทำนองเพลง
สดใสขนาดนี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่น่ารอด อีกอย่างส่วนตัวแล้วผมยังคิดว่าเนื้อหา
ของเพลงยังเข้ากับเธอสุดๆไปเลยด้วย ด้วยความอยากรู้จริงเท็จวันนี้ผมจึง
แกล้งหลับเพื่อรอฟังปฏิกริยาของเธอ- แอบฟังแพทฟังเพลง:
เสียงใสที่ขับร้องตามทำนองเพลงทำให้ผมต้องกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย
ถึงผมจะปวดหัวกับความแสบซนของเธอมามากขนาดไหน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึก
เพียงว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่น่ารักและน่าเอ็นดูไม่แพ้เด็กคนอื่นๆ ผมเชื่อว่าทุกอย่าง
บนโลกใบนี้มีจุดเริ่มต้น เพราะมีเหตุจึงมีผล เช่นเดียวกับแพททรีเซีย เธอคงเจอ
เรื่องบางอย่างที่ทำให้ต้องแสดงออกแบบนั้น เดิมที 'สถานสงเคราะห์' ก็ไม่ใช่
ชื่อของสถานที่ที่สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วด้วย.. ผมนอนฟังเสียงใสเจื้อยแจ้วร้อง
เพลงจนเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด
.
.
.
เช้าวันต่อมา ผมตื่นแต่เช้าเพราะมีประชุมนอกสถานที่ หลังจากแต่งตัว
เรียบร้อยแล้วจึงรีบมานั่งทานข้าวเช้าเป็นเพื่อนเจ้าตัวน้อยที่สลึมสลือ
ตื่นมานั่งสัปหงกอยู่ที่เค้าเตอร์อาหาร ตักช้อนเข้าปากไหมยังไม่รู้เลย
"ทำไมวันนี้แพทถึงได้ตื่นเช้าจังเลยล่ะครับ?"
"ก็ผอ.จะไปข้างนอกไม่ใช่เหรอ?"
"ใช่แล้ว ผมมีประชุมนอกสถานที่ แต่เธอไม่ต้องตื่นตามก็ได้นี่นา"
"หนูแค่ตื่นมาส่ง"
บางทีแพทก็ทำตัวน่ารักเสียจนผมอยากจะขยี้เรือนผมนั้นด้วยความเอ็นดู
แต่ในทุกๆครั้งผมก็หยุดมันไว้เป็นเพียงความคิด หลังจากทานข้าวเช้า
ร่วมกันเรียบร้อยแล้วแพททรีเซียจึงเดินมาส่งผมที่หน้าประตูห้องชั้นล่าง
"ถ้าเหงาหรือมีอะไรก็ลงไปบอกคุณรัตติกาลที่ห้องธุรการนะครับรู้มั้ย?"
เด็กสาวไม่ตอบเป็นคำพูดผมจึงต้องฟังเสียงพยักหน้าเอาแทน ผมตรวจ
เช็คความเรียบร้อยของตัวเองก่อนเปิดประตูห้องออก ทว่าอะไรบางอย่าง
ในใจบอกให้ผมยังคงหยุดเท้าไว้ตรงนั้น อะไรบางอย่างแปลกไป..
"แพท มีอะไรรึเปล่า? บอกผมได้นะ?"
ผมย่อตัวลงตรงหน้าแพททรีเซียและส่งยิ้มหวานให้เช่นปกติ
"หนูแค่สงสัย.."
"สงสัยอะไรเหรอครับ ผอ.สุดเก่งคนนี้จะตอบให้เอง"
"อลิซเล่าว่าพี่จิณณ์ลูบหัวเธอเวลาที่ทำอะไรได้ดี โน่ก็บอกว่า
พี่ประธานนักเรียนกอดตอนนอน ส่วนดรีมก็ได้นอนกอดกับคุณครู
เกลินเหมือนกัน แต่ผอ.แทบไม่จับหนูเลย.. หนูเลยสงสัยว่า
มันเป็นเพราะหนูดื้อหรือเปล่า.."
ผมอึ้งไปเล็กน้อยที่เธอสังเกตถึงเรื่องที่ผมพยายามหลีกเลี่ยง แม้ผมจะไม่ได้
หลีกเลี่ยงด้วยเหตุผลที่เธอกล่าวถึงก็ตามแต่
"ผมก็ให้แพทขี่คอนี่นา แพทไม่ชอบเหรอครับ?"
"หนูรู้สึกว่าผอ.จับหนูเท่าที่จำเป็น.."
"ก็แพทเป็นเด็กผู้หญิงนี่นา ร่างกายของเด็กผู้หญิงเป็นสิ่งสำคัญนะครับ"
แพททรีเซียที่ปกติชอบโวยวายวันนี้กลับดูสงบเสงี่ยมจนน่าประหลาด
"เพราะหนูไม่น่ารักเหรอ.."
"ไม่ใช่นะ!! แพทน่ารักสิ น่ารักมาก"
ความลำบากใจวิ่งแล่นอยู่เต็มอก ผมกำลังทำผิดพลาดในฐานะของคนดูแล
แม้แต่เด็กนักเรียนของผมก็ยังทำหน้าที่ได้ดีกว่าตัวผมเสียอีก.. ผมตัดสินใจ
ปิดประตูห้องและช้อนอุ้มแพททรีเซียขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นจึง
ใช้อีกมือลูบเรือนผมแสนยาวนั่นแผ่วเบา มันทั้งฟูนุ่มราวกับขนสัตว์ สมฉายา
กระรอกบิน (ที่ผมเรียกอยู่คนเดียว)
"แพท ฟังนะ.. เธอไม่ได้ผิดอะไรเลย คนที่ผิดคือผมเอง"
"ผอ.ผิดยังไง?"
ผมพาร่างเล็กกลับขึ้นไปบนชั้นสองหวังจะให้เธอได้นอนต่อเนื่องจากเวลา
ตอนนี้ยังเช้าเกินกว่าจะเป็นเวลาตื่นของเด็กวัยกำลังโต พอเดินมาหยุดที่
หน้าเตียงแล้วจึงค่อยๆวางร่างบางลงบนเตียงนุ่ม
"ผมหลีกเลี่ยงการจับต้องเธอเพราะผมไม่สบายน่ะ"
"ผอ.เป็นไข้เหรอ?"
เธอเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผมซึ่งอยู่ในอุณหภูมิปกติ ผมส่ายหน้าเอ็นดู
"ไม่ใช่อย่างนั้น.. ผมเป็นโรคที่ทำให้มีความคิดแปลกๆน่ะ และมีสิทธิ์ที่
จะทำอะไรแปลกๆตามมาด้วย"
"ความคิดแปลกๆยังไงเหรอ?"
"ผมมีความเชื่อว่าไม่มีใครรักผมเลย.."
"ทำไมล่ะ? หนูเห็นทุกคนก็ยิ้มแล้วก็พูดดีกับผอ.ตลอดเลยนะ มีแต่หนู
เนี่ยแหละที่โดนบ่นอยู่ตลอดเวลา หนูต่างหากที่ต้องคิดแบบนั้น.."
"แต่รู้มั้ย หนูไม่คิดแบบนั้นหรอก เพราะอย่างน้อยผอ.ก็สนใจหนู..มั้ง"
ผมลูบไล้เรือนผมนุ่มฟูโดยไม่พูดอะไร แพททรีเซียเป็นเด็กเข้มแข็ง
และผมกำลังทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองด้อยว่าคนอื่นๆ ทั้งๆที่ไม่จริงเลย
แม้จะตัวเล็กแต่เธอก็เป็นเด็กกล้าหาญ กล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะคิด
ไม่เหมือนกับตัวผม.. เธอโน้มตัวมากอดคอผมไว้อย่างกล้าๆเกร็งๆ
ผมรับรู้ได้ถึงความมั่นไม่มั่นใจ ความกลัว และความโหยหาจากอ้อม-
กอดนั้น เธอเองก็เป็นเหมือนผม มนุษย์ทุกคนต้องการความรักจาก
ใครสักคน
"ช่วยสนใจหนูหน่อยได้มั้ย?"
"อืม.. ผมขอโทษนะ เรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีมั้ย?"
- Day 25 กระรอกกับอดีตผอ.:
- หลังจากวันนั้นท่าทีของแพททรีเซียก็เปลี่ยนไปจากเดิม ความหยาบกระด้าง
ในตัวผลันเปลี่ยนเป็นความอ่อนหวาน มันราวกับว่าเธอเปิดใจให้ผมมากขึ้น
แต่ถ้าเอาตามหลักความจริงแล้วแพททรีเซียต่างหากที่เป็นคนเปิดใจผม
เธอต่างหากที่ให้โอกาสผมได้ทบทวนและเปิดใจยอมรับเธอมากขึ้น
"ผอ. หนูใส่ชุดไหนดีกว่ากันเหรอ?"
"ไม่รู้สิครับ แพทใส่ชุดไหนก็สวยทั้งนั้นแหละ"
"โกหก มองไม่เห็นรู้ได้ไง"
"เอ้า ผมก็ใช้ความเชื่อไง เชื่อว่าแพทของผมน่ารัก"
ผมรู้สึกได้ว่ากำลังโดนมองด้วยสายตาเอือมระอา จากนั้นเจ้าตัวน้อยก็หัวเราะ
ชอบใจ หลังจากที่ผมได้ให้ความสนใจเธอมากขึ้น ผมก็รับรู้ว่าเด็กคนนี้มี
ความเป็นผู้ใหญ่อยู่ในตัวสูงมาก สูงเกินกว่าอายุและตัวน้อยๆนั้น
เสียงผ้าขยับไปมาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่
"อันที่จริงชุดนอนจะใส่แบบไหนก็เหมือนกันนี่นา"
"ผอ.เป็นคนไม่ละเอียดอ่อนแบบนี้ระวังไม่มีสาวมาแลนะคะ"
'หึ...'
แพททรีเซียค่อยๆคลานขึ้นมาบนเตียงที่ผมกำลังนั่งอยู่ เสียงข่าวภาคค่ำ
ที่ดังอยู่ในทีวีแสดงให้รู้ช่วงเวลา เด็กสาวคลานมานั่งตักผมแล้วขยับ
ตัวไปมาราวกับกระรอกน้อยที่กำลังหาความอบอุ่น เธอดึงมือผมไปวาง
ไว้บนหน้าตักน้อย ผมจึงขยับสวมกอดเธอไว้หลวมๆอย่างรู้งาน จากนั้นก็
ใช้คางถูบนศีรษะน้อยที่ตอนนี้หอมไปด้วยกลิ่นแชมพูกลิ่นคุ้นเคย
แพททรีเซียหัวเราะพออกพอใจ เธอดีดขาไปมาแสนสุขใจ
"แพท ทำไมเธอไม่ทำตัวน่ารักๆแบบนี้กับคนอื่นบ้างล่ะ?"
"ยังไงเหรอ?"
"ก็เธอมันจอมสร้างปัญหาระดับชาติ ใครๆก็รู้..โอ๊ย อย่าดึงผม!!"
"ว่ายังไงแพท? ทั้งๆที่น่ารักกับผมขนาดนี้ ทำไมไม่ให้คนอื่นเห็นล่ะ?"
"ก็มันน่าเจ็บใจนี่.."
"เจ็บใจเรื่องอะไรครับ?"
กระรอกน้อยมุดหน้าซบอกผม มือน้อยกำเสื้อตัวใหญ่ของผมไว้แน่น
"พ่อแม่ของหนูทิ้งหนูไปตั้งแต่เด็ก เพราะหนูเป็นภาระของพวกเขา"
แพททรีเซียกำมือผมสั่นคลอน ผมค่อยๆจับมือมือเธอออกแล้วเปลี่ยน
เป็นฝ่ายกุมมือน้อยนั้นไว้แทน
"หนูเลยเจ็บใจทุกครั้งที่ต้องให้คนอื่นมาดูแล เพราะหนูเป็นเด็กพ่อแม่
เลยทิ้งหนูไป เพราะว่าหนูไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หนูเลยไม่ชอบ
เวลามีใครมาทำอะไรให้.. หนูไม่ชอบ..ที่ตัวเองอ่อนแอ ถึงหนูจะพูด
ไปก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก ผอ.เองก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก!!"
เสียงใสเริ่มสะอึกสะอื้น ผมกอดเธอไว้แน่นขึ้นไม่ยอมปล่อย
"เข้าใจสิ"
"เอ๋?"
"เข้าใจสิ เพราะผมเองก็โตมาจากสถานสงเคราะห์นี่นา"
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองผม บรรยากาศห้องผลันเงียบกริบไร้การสนทนา
"อันที่จริงถึงผมจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ผมก็ดื้อไม่แพ้เธอเลย ผมไม่ยอม
ให้ใครช่วยเหลืออะไร ไม่ยอมแสดงตัวตนจริงๆให้ใครเห็น"
"ผอ.ก็เป็นเด็กดื้อเหรอ?"
"ครับ"
ผมลูบเรือนผมฟูนุ่มของเธออย่างเอ็นดู สิ่งที่เด็กน้อยพูดออกมากำลัง
สะท้อนอดีตของผมออกมาอย่างชัดเจน พวกเราไม่ได้ต่างไปจากกัน..
"ว่าแล้วแพทก็ทำให้ผมนึกถึงเด็กคนนึที่สนิทด้วยตอนอยู่ในสถาน-
สงเคราะห์ เธอมีชื่อว่าสายไหม ผมทั้งฟูทั้งนุ่มเหมือนกับแพทไม่มีผิด"
"แล้วตอนนี้สายไหมไปไหนแล้วเหรอคะ?"
"มีคนรับเธอไปเลี้ยงแล้วล่ะครับ ตอนนี้เธอคงจะมีความสุขแล้ว"
"แล้วมีคนรับผอ.ไปเลี้ยงรึเปล่า?"
น้ำเสียงเล็กติดสำเนียงห่วงเป็นใยเสียมากกว่าถามใคร่รู้
"ผมเคยสนิทกับคุณลุงใจดีท่านนึง ท่านเป็นหมอสายตาและเป็นคน
ที่คอยสอนวิธีการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องใช้ดวงตา ท่านเป็นเหมือนพ่อ
คนที่สองของผม เป็นคนที่ให้ชีวิตใหม่ เป็นคนที่ทำให้ผมไม่ต้อง
เป็นภาระของใครอีก ผมทั้งรักและสำนึกในบุญคุณของท่านมาก
ท่านมาหาผมแทบทุกวันจนสุดท้ายก็ขอให้ผมไปอยู่ด้วย"
"แล้วคุณลุงคนนั้นอยู่ไหนเหรอคะ? หนูเจอท่านรึยัง?"
ผมส่ายหน้าแล้วกอดร่างเล็กในมือให้กระชับขึ้น
"ท่านไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ.."
"เอ๋? แล้วอยู่ไหนง่ะ? ผอ.ก็ต้องอยู่กับครอบครัวสิ"
"ผมดีใจมากที่ท่านอยากรับผมไปอยู่ด้วย แต่ผมตัดสินใจที่จะบอกท่านว่า
'ได้โปรด ถ้าหากว่าท่านรักผม ได้โปรดรับสายไหมไว้ในการเลี้ยงดูของ
ท่านด้วย เพราะสายไหมเป็นเด็กขี้แยจึงโดนแกล้งเป็นประจำ ผมคงจะอยู่
ไม่สุขถ้าต้องทิ้งเธอไว้คนเดียว เพราะฉะนั้นได้โปรด.. ถ้ารักผม ช่วยผม
ดูแลสายไหมด้วย..'"
เด็กน้อยในอ้อมกอดหันพลิกตัวมากอดผมแทน เธอสะอื้นเบาๆ ผมลูบ
ผมนุ่มอย่างอ่อนโยน ใจนึกถึงสายไหมที่ป่านนี้หวังว่าคงสบายดี
"แพท.. สักวันหนึ่งถ้ามีใครมาหาเธอ เธอจะต้องเป็นเด็กดีกับเขานะรู้มั้ย?"
ร่างในอ้อมแขนพยักหน้าตอบรับ เธอดึงเสื้อผมไปเช็ดน้ำตาปนขี้มูก
ผมดันศีรษะน้อยซบอกตัวเองไว้และกอดรวบร่างเล็กแน่นขึ้น
"งั้นผอ.ก็อยู่สถานสงเคราะห์มาจนโตเลยเหรอ?"
"ครับ"
"ไม่เหงาเหรอ หนูเหงานะ เพื่อนๆเริ่มหายไปทีละคน.."
"ผมตาบอดเลยไม่มีใครคบ เพราะฉะนั้นผมไม่เหงาหรอกครับ"
"......"
แพททรีเซียเริ่มสะอึกสะอื้นมีเสียง และผมก็คอยลูบหลังเล็กนั้นไว้
"แพท.. ฟังผมนะ การที่ผมอยู่ในสถานสงเคราะห์มันทำให้ผมรู้สึกว่า
ไม่มีใครรัก ผมจำฝังใจมาจนบัดนนี้ ตอนนี้แม้ใครจะรักผมขนาดไหน
ผมก็ไม่สามารถมองเห็นมันได้ อดีตกลายเป็นโรคที่ติดตัวผมมาตลอด"
"แต่เธอไม่เหมือนกันนะแพท เธอเป็นเด็กดี เป็นเด็กฉลาด แล้วผม
ก็มั่นใจว่าเธอต้องน่ารักมากแน่ๆ.. เราสองคนเหมือนกัน แล้วผมก็
เข้าใจเธอ ถึงใครไม่เข้าใจก็ขอให้จำไว้ว่าผมเข้าใจเธอและอยู่
ข้างเดียวกับเธอเสมอนะแพททรีเซีย"
นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้พูดเรื่องอดีต นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้
นึกถึงมัน แพททรีเซียไม่ได้มาที่นี่เพื่อก่อกวนผม เธอไม่ได้สร้าง
ความวุ่นวายอย่างที่รัตติกาลหรือใครๆว่าไว้ สำหรับผมแล้วเด็กคนนี้
เป็นผู้ช่วย เป็นกำลังใจ เป็นสิ่งที่ทำให้เดือนนี้ดูสดใสอยู่ตลอดเวลา
"แพท.. ได้โปรด.. อย่าเดินทางเดียวกับผม อย่าโตมาเป็นเช่นผม.."
ยังไม่เสร็จครับ ทยอยลงเรื่อยๆ
Signature ------------------------------------------------>
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Re: Lesson 21 : In your care
Mon 29 Jun 2015, 02:38
- Day 30 กระรอกกับการจากลา:
- วันนี้ผมตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกที่อึมครึมกว่าทุกๆวัน เพราะมันเป็นวันที่ผมต้องพา
กระรอกน้อยกลับสู่รังที่แท้จริง วันที่ผมต้องส่งแพททรีเซียกลับสู่สถานสงเคราะห์
"แพท ไม่ลุกเหรอ เดี๋ยวไม่มีเวลาแต่งตัวสวยๆนะครับ"
"หนูคิดออกแล้ว..."
"คิดอะไรออกเหรอ?"
"วีธีที่ทำให้ไม่ต้องกลับสถานสงเคราะห์"
เธอเอ่ยน้ำเสียงจริงจังไม่เข้ากับร่างเล็กๆนั้น ผมล้มตัวลงนั่งขอบเตียงร่วมสนทนา
"ถ้าหนูเป็นเจ้าสาวให้ผอ.หนูก็จะได้อยู่ที่นี่ตลอดไป"
"พรืดดด!!"
สิ่งที่ได้ยินทำเอาทำกาแฟพุ่งออกจากปาก ผมรีบนำแก้วกาแฟวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง
"พ พูดเรื่องอะไรน่ะครับ!!"
"เรามาแต่งงานกันเถอะ"
เธอพูดโดยที่ยังนอนอยู่บนเตียง แม้จะมองไม่เห็นก็พอจะนึกสภาพกระรอกยั่วสวาทออก
ผมหันไปทำหน้านิ่งๆใส่คนบนเตียงเพราะไม่รู้จะตอบโต้ด้วยอย่างไรดี
"ในละครไม่บอกเหรอครับว่าเป็นสาวเป็นนางไม่ควรขอผู้ชายแต่งงาน"
"แต่หนูอยากกินกับข้าวอร่อยๆฝีมือผอ.ทุกวันนี่นา~"
"สรุปคุณค่าของผมมีแค่นี้จริงๆเร้อ!!"
แพททรีเซียหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนกลิ้งเกือบตกเตียง หัวเราะเสียจนร่างเล็กๆนั้นสั่นคลอน
และไม่มีเรี่ยวแรงที่จะหัวเราะต่อ เมื่อนั้นห้องจึงเหลือแค่เสียงหอบหายใจของเจ้าตัวน้อย
"นี่หนูพูดจริงๆนะ.."
ผมเอื้อมมือลูบผมแม่กระรอกน้อยก่อนจะดึงตัวเธอเข้ามาหา
"เพราะแบบนี้ยังไงล่ะผมถึงไม่อยากสนิทกับเธอ.."
"พ เพราะผอ.ไม่อยากแต่งงานกับหนูเหรอ!!"
"เปล่า เพราะรู้ว่าจะได้อยู่ด้วยกันเพียงเวลาสั้นๆ.. เลยไม่อยากผูกสัมพันธ์"
"เพราะว่าเรามีเวลาเพียงไม่นาน เราถึงต้องรักและดีต่อกันให้มากที่สุดไม่ใช่เหรอ?"
"......"
หลายครั้งที่ทัศนคติของแม่ตัวน้อยทำให้ผมต้องอึ้ง ผมรวบตัวร่างเล็กเข้ามากอด
ร่างในมือสั่นน้อยๆ.. ว่าแล้วว่าผมต้องไม่อยากให้เธอกลับ แต่ผมทำอะไรไม่ได้
เพราะมันจะไม่ยุติธรรมต่อเด็กคนอื่นๆที่เหลือ แพททรีเซียร้องไห้เงียบๆอยู้ใน
อ้อมกอดของผม เธอไม่ได้ร้องไห้โวยวายหรือทำตัวโหวกเหวกเช่นปกติ
มีเพียงเสียงสะอื้นและคราบน้ำตาที่เป็นตัววิงวอนแทนคำพูดทั้งหมดทั้งปวง
ระหว่างที่ลูบผมเด็กสาวก็นั่งคิดไปพลางว่าในเวลาที่เหลืออยู่นี้ตัวเองจะ
สามารถทำอะไรเพื่อแม่กระรอกน้อยได้บ้าง สุดท้ายผมจึงผละเธอออกจาก
พันธนาการและลุกขึ้นไปหยิบบางสิ่งบางอย่าง
"แพท เงยหน้าขึ้นสิ ผมมีอะไรจะให้"
ผมเดินลงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กน้อยที่นั่งอยู่ริมขอบเตียง และหยิบกล่อง
เล็กๆใบหนึ่งยื่นให้กับเธอ
"อะไร?.."
แพททรีเซียแสดงท่าทีสนใจก่อนค่อยๆหยิบกล่องใบน้อยไปเปิดออกดู
"ว้าวว สวยจัง!! นี่มันกำไลนี่นา~"
ผมยิ้มหวานให้กับน้ำเสียงสดใสของเธอ พร้อมทั้งรู้สึกโล่งใจที่ปลอบสำเร็จ
"ผมให้นะ อย่างน้อยพอมองมันแล้วจะได้จำได้ว่าผมอยู่กับเธอตลอด
จะได้นึกถึงคำที่ผมสอน"
"ที่บอกว่าอย่าโตมาเป็นเหมือนผอ.นั่นเหรอคะ?"
"ครับ"
"แต่หนูคิดว่าผอ.เป็นคนดี ทำกับข้าวอร่อย แล้วก็ชอบตอนที่ยิ้มด้วย
ไม่เห็นจะเป็นเรื่องไม่ดีตรงไหนเลย?"
"โถ่ แพท ไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ หมายถึงว่าอย่าคิดว่าไม่มีใครรัก.."
"งั้นผอ.ก็บอกรักหนูสิ"
ผมถอนหายใจเบาๆ ขนาดตัวแค่นี้ยังรับมือด้วยไม่ค่อยไหว ขยันสร้าง
เรื่องมาให้แปลกใจได้ตลอด เดี๋ยวก็ทำตัวน่าปวดหัว เดี๋ยวก็แสนน่ารัก
นี่ขนาดอยู่ด้วยกันไม่นานยังมีเรื่องให้คิดให้จำมากมาย แล้วถ้าได้อยู่
กันนานขนาดนี้มีหวังชีวิตผมคงจะเปลี่ยนไปทั้งชีวิต..
"ผมรักเธอนะรู้มั้ย ยัยกระรอกบิน"
ผมหยิบกำไลในกล่องสวมเข้ากับข้อมือน้อยซึ่งดูจะหลวมอยู่บ้าง
"กลับไปเป็นเด็กดีด้วยล่ะเข้าใจมั้ยครับ?"
"ถ้าอารมณ์ดีๆก็จะเป็นให้นะ"
"....."
ผมหยิกแก้มเนียนนุ่มแล้วดึงออกด้วยความหมั่นไส้
"เง้อออ โอ้ยๆๆๆๆ"
.
.
.
สุดท้ายผมก็นำแพททรีเซียไปส่งยังห้องธุรการ ผมรีบทำเวลาในการบอกลา
และรีบเร่งฝีเท้าเดินจากออกมาไกลๆ เพราะกลัวว่าตัวเองจะนึกคึกทำอะไร
สักอย่างเพื่อรั้งยัยกระรอกบินไว้ ถ้าเธอเริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกผมคงจะทนไม่ได้แน่ๆ
ผมรีบกลับมาบนห้องและทิ้งตัวนั่งบนโซฟารับแขก เสียงถอนหายใจยาวที่สะท้อน
กลับมาทำให้รับรู้ได้ว่าห้องแห่งนี้เงียบขนาดไหน แถมอยู่ๆห้องที่อยู่ทุกวันก็ผลัน
ให้ความรู้สึกกว้างกว่าปกติหลายเท่าตัว ผมล้มตัวลงนอนบนโซฟาและยกมือขึ้น
ก่ายหน้าผาก พอเราตื่นขึ้นมาอีกทีแพททรีเซียและคนอื่นๆก็จะจากไปแล้วสินะ..
.
.
.
'กรี๊งงง'
'เฮือก!!'
เสียงโทรศัพท์มือถือดังปลุกให้ตื่นจากภวังค์ ผมรีบคว้ามันขึ้นและกดรับปลายสาย
"ครับ?..."
"สวัสดีค่ะ เรเน่ กิลเล็ต จากพิซซ่าคอมปานีค่ะ"
"......"
เสียงที่คุ้นเคยเป็นเสียงของผู้เป็นเจ้านายของผม ดูท่าวันนี้จะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ถึงได้เล่นมุขตั้งแต่ต้นสาย
"เอ่อ.. เรเน่ มีอะไรรึเปล่าครับ?"
"โถ่ เย็นชาจังเลย นรินทร์จัดการเรื่องเด็กๆที่สถานสงเคราะห์เรียบร้อยดีไหมคะ?"
"ครับ พวกเขากลับกันไปหมดแล้วเมื่อเย็น ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ"
"เอ้อ จริงสิ!! ผมเอากำไลของคุณที่อยู่ในตู้ไปให้เด็กคนนึงเป็นของที่ระลึก
ผมหวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรนะครับ เห็นได้มาไม่เคยใส่เลย"
เสียงปลายสายเงียบไป เงียบสนิทเสียจนต้องเรียกถามว่ายังถือสายอยู่หรือไม่
"อ..เอ่อ.. น.. นรินทร์คะ.. กำไลนั่น.. เน่เก็บไว้รอนำไปประมูลเร็วๆนี้..
นักประเมินคำนวนว่ามันจะทำเงินได้ประมาณ 13 ล้าน...."
"อะไรน๊าาาาาาา!!!!"
โปรดติดตามตอนต่อไปได้ในนิยายใหม่ 'Project: In Your Care' เร็วๆนี้
(ขอผมแต่ง Narin in Summer จบก่อนนะ)
จองเรปไว้เพิ่ม ใส่ไม่พอจริงๆด้วยแฮะ
Signature ------------------------------------------------>
- EURChairman's Club
Elite Urban Royle
ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง
4711
+3,157 M 523 K
PASSPORT
:
(142575/181250)
:
Re: Lesson 21 : In your care
Mon 29 Jun 2015, 11:29
"เอ๋...เด็กจากสถานสงเคราะห์จะมางั้นเหรอ..? แล้วต้องดูแลด้วย??" ผมพึมพำในใจ
ระหว่างที่กำลังอ่านรายละเอียดที่จะต้องให้นักเรียนในชมรมโสตฯของผมประกาศออกไป
ทั่วโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนและอาจารย์ทุกๆคนในโรงเรียนรับทราบ
ตอนนั้นผมรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้มากๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากที่
ผมรู้เรื่องที่แท้จริงของพี่ชายผมแล้ว ผมได้นั่งทบทวนกับตัวเองแล้วพบว่า ตลอดเวลาที่
ผ่านมานั้น ผมมักเป็นฝ่ายถูกดูแล ถูกปกป้องมาโดยตลอด การดูแลเด็กครั้งนี้มันอาจจะ
เป็นเหตุการณ์ที่เปิดโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่า ผมก็สามารถเป็นฝ่ายที่คอยดูแลและ
คอยปกป้องได้เหมือนกัน ผมจึงเดินไปสมัครรับดูแลเด็กที่ห้องธุรการกับคุณรัตติกาล
แรกพบที่ผมต้องดูแลเด็กน้อยที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นลำดับที่สองจากเด็กทั้งหมด ผมรู้สึก
ลึกๆอยู่ในใจว่า "งานเข้าแล้ว... เจอเด็กระดับเด็กทารกเลย ถึงแม้จะทารกระยะสุดท้าย
ก็เถอะ... หนักแน่ๆ" แต่ผมก็เดินเข้าไปหาเด็กคนนี้ด้วยความยิ้มแย้มพร้อมกับยื่นมือไป
ลูบหัวเด็กน้อยคนนี้ด้วยความเอ็นดู
ฮันเตอร์เริ่มสนใจผมหลังจากที่ผมลูบหัว ผมรู้สึกได้ว่าดวงตาภายใต้แว่นกันแดดนั้นกำลัง
มองมาที่ผมอย่างสงสัยใคร่รู้ และจากนั้นไม่นานฮันเตอร์ก็ยิ้มให้ผมพร้อมกับยื่นตุ๊กตาปลา
นิลสีชมพูให้กับผมเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการจับมือเพื่อปรองดองและยินดีที่ได้รู้จัก
"ดีล่ะ... การเริ่มต้นเป็นไปได้ด้วยดี" ผมพูดกับตัวเองพร้อมความรู้สึกโล่งใจในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับฮันเตอร์ตลอดเวลาก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ตื่นจนถึงเวลา
เข้านอนเลยทีเดียว แต่ฮันเตอร์เป็นเด็กที่ต่างจากเด็กทั่วไป ไม่งอแง ไม่ร้องไห้เลยสักนิด
แม้จะเป็นในเวลากลางคืนก็ตาม ถึงแม้ว่าฮันเตอร์จะชอบทำท่าทางเหมือนพยายามพูดอยู่
กับปลานิลที่เป็นเพื่อนคู่กายของเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดๆ แรกๆผมรู้สึกหลอนๆอยู่บ้าง
กลัวว่าจะมีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้นรอบๆตัวผม แต่สุดท้าย #ฮันเตอร์ก็ไม่ใช่เด็กเห็นผี ผมก็โล่ง
ใจไปหลังจากที่อยู่ด้วยกันจนชิน เลยคิดว่าคงเป็นวัยที่เด็กน่าจะเริ่มหัดพูด และเริ่มที่จะมี
จินตนาการส่วนตัวตามประสาเด็กทั่วไป
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมมีเวลาว่าง ผมพาฮันเตอร์ไปเล่นที่สนามหญ้าของโรงเรียน เผอิญ
เจอกับคุณรัตติกาล เลยได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับฮันเตอร์ที่ถูกพ่อแม่ลืมทิ้งไว้ในขณะที่ย้าย
บ้านออกไป "พ่อแม่ประเภทไหนนะ ที่สามารถลืมลูกตัวเองได้ลงคอ... นี่มันจงใจทิ้งชัดๆ"
ผมพูดกับคุณริตติกาลด้วยความโมโห และไว้อาลัยให้กับความเน่าเฟะของสังคมที่เขาต้อง
เผชิญตั้งแต่ยังเป็นทารก ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมฮันเตอร์ถึงได้หวงปลานิล
ที่อยู่กับเขาตลอดเวลา และพยายามไม่ร้องไห้ เลี้ยงง่าย และมีความเข้มแข็งมากมาตลอด
คงเพราะปลานิลคือเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา และเขาพยายามที่จะเข้มแข็งให้ได้
ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไม่เป็นภาระแก่คนที่อยู่กับตน เพราะไม่อยากที่จะต้องโดนคนอื่นทิ้ง
ตนไว้อย่างไม่ใส่ใจเพียงเพราะความรำคาญหรืออะไรก็ตามที่ฮันเตอร์ได้กระทำออกไป
จะว่าไปแล้วฮันเตอร์ก็ไม่ต่างอะไรกับผมสักเท่าไร เขากำลังพยายามเข้มแข็งและยืนด้วย
ตัวเอง เพราะสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด ถึงแม้จะสูญเสียด้วยวิธีที่ต่างกัน แต่ความเหงา
ของการสูญเสียและความเสียใจนั้นเป็นอย่างไร ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของฮันเตอร์ได้
เป็นอย่างดีมาก คงเพราะแบบนี้ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
จริงๆนั่นเอง
และแล้วก็ถึงเวลาที่คืนสุดท้ายก่อนที่ผมจะจากลากับฮันเตอร์ ผมได้เล่านิทานให้เขาฟัง
จนหลับไปเหมือนทุกๆวัน แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือ ผมได้นั่งเล่าชีวิตของตัวเองให้ฮันเตอร์
ฟังในขณะที่เขาหลับ เพื่อให้เขารู้ว่าไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นนะที่โชคร้ายในโลกอันโหดร้ายนี้
รวมไปถึงพยายามสอนเขาให้มีความเข้มแข็ง ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ยินและไม่เข้าใจหรอก แต่ผม
หวังว่าความรู้สึกตอนที่ผมพูด อาจจะซึมซับเข้าไปในจิตใจของฮันเตอร์แม้กำลังนอนอยู่ก็ได้
จนผมพูดจบแล้วก็จูบลงไปบนหน้าผากของฮันเตอร์ที่กำลังหลับด้วยความเอ็นดู และลุกไป
เขียนจดหมายที่จะมอบ ให้กับฮันเตอร์ในวันพรุ่งนี้ที่เราจะต้องจากลากันจริงๆ ผมไม่อยากให้
จดหมายออกมาเศร้าเพราะชีวิตของฮันเตอร์ที่ผ่านมาเศร้าพอแล้ว ผมจึงพยายามเขียนออก
มาให้เขารู้สึกว่าผมไม่ได้ทอดทิ้งเขานะ ผมจะกลับไปเยี่ยมเขาบ่อยๆอย่างแน่นอน...
แต่ทำไมกันนะ... ทั้งๆที่ข้อความไม่มีอะไรน่าเศร้าใจเลย
...ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมาระหว่างที่กำลังเขียนกันแน่นะ...?
ระหว่างที่กำลังอ่านรายละเอียดที่จะต้องให้นักเรียนในชมรมโสตฯของผมประกาศออกไป
ทั่วโรงเรียนเพื่อให้นักเรียนและอาจารย์ทุกๆคนในโรงเรียนรับทราบ
ตอนนั้นผมรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้มากๆ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากที่
ผมรู้เรื่องที่แท้จริงของพี่ชายผมแล้ว ผมได้นั่งทบทวนกับตัวเองแล้วพบว่า ตลอดเวลาที่
ผ่านมานั้น ผมมักเป็นฝ่ายถูกดูแล ถูกปกป้องมาโดยตลอด การดูแลเด็กครั้งนี้มันอาจจะ
เป็นเหตุการณ์ที่เปิดโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่า ผมก็สามารถเป็นฝ่ายที่คอยดูแลและ
คอยปกป้องได้เหมือนกัน ผมจึงเดินไปสมัครรับดูแลเด็กที่ห้องธุรการกับคุณรัตติกาล
แรกพบที่ผมต้องดูแลเด็กน้อยที่มีอายุน้อยที่สุดเป็นลำดับที่สองจากเด็กทั้งหมด ผมรู้สึก
ลึกๆอยู่ในใจว่า "งานเข้าแล้ว... เจอเด็กระดับเด็กทารกเลย ถึงแม้จะทารกระยะสุดท้าย
ก็เถอะ... หนักแน่ๆ" แต่ผมก็เดินเข้าไปหาเด็กคนนี้ด้วยความยิ้มแย้มพร้อมกับยื่นมือไป
ลูบหัวเด็กน้อยคนนี้ด้วยความเอ็นดู
ฮันเตอร์เริ่มสนใจผมหลังจากที่ผมลูบหัว ผมรู้สึกได้ว่าดวงตาภายใต้แว่นกันแดดนั้นกำลัง
มองมาที่ผมอย่างสงสัยใคร่รู้ และจากนั้นไม่นานฮันเตอร์ก็ยิ้มให้ผมพร้อมกับยื่นตุ๊กตาปลา
นิลสีชมพูให้กับผมเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของการจับมือเพื่อปรองดองและยินดีที่ได้รู้จัก
"ดีล่ะ... การเริ่มต้นเป็นไปได้ด้วยดี" ผมพูดกับตัวเองพร้อมความรู้สึกโล่งใจในระดับหนึ่ง
หลังจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตอยู่กับฮันเตอร์ตลอดเวลาก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ตื่นจนถึงเวลา
เข้านอนเลยทีเดียว แต่ฮันเตอร์เป็นเด็กที่ต่างจากเด็กทั่วไป ไม่งอแง ไม่ร้องไห้เลยสักนิด
แม้จะเป็นในเวลากลางคืนก็ตาม ถึงแม้ว่าฮันเตอร์จะชอบทำท่าทางเหมือนพยายามพูดอยู่
กับปลานิลที่เป็นเพื่อนคู่กายของเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดๆ แรกๆผมรู้สึกหลอนๆอยู่บ้าง
กลัวว่าจะมีเรื่องลี้ลับเกิดขึ้นรอบๆตัวผม แต่สุดท้าย #ฮันเตอร์ก็ไม่ใช่เด็กเห็นผี ผมก็โล่ง
ใจไปหลังจากที่อยู่ด้วยกันจนชิน เลยคิดว่าคงเป็นวัยที่เด็กน่าจะเริ่มหัดพูด และเริ่มที่จะมี
จินตนาการส่วนตัวตามประสาเด็กทั่วไป
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมมีเวลาว่าง ผมพาฮันเตอร์ไปเล่นที่สนามหญ้าของโรงเรียน เผอิญ
เจอกับคุณรัตติกาล เลยได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับฮันเตอร์ที่ถูกพ่อแม่ลืมทิ้งไว้ในขณะที่ย้าย
บ้านออกไป "พ่อแม่ประเภทไหนนะ ที่สามารถลืมลูกตัวเองได้ลงคอ... นี่มันจงใจทิ้งชัดๆ"
ผมพูดกับคุณริตติกาลด้วยความโมโห และไว้อาลัยให้กับความเน่าเฟะของสังคมที่เขาต้อง
เผชิญตั้งแต่ยังเป็นทารก ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมฮันเตอร์ถึงได้หวงปลานิล
ที่อยู่กับเขาตลอดเวลา และพยายามไม่ร้องไห้ เลี้ยงง่าย และมีความเข้มแข็งมากมาตลอด
คงเพราะปลานิลคือเพื่อนคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา และเขาพยายามที่จะเข้มแข็งให้ได้
ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไม่เป็นภาระแก่คนที่อยู่กับตน เพราะไม่อยากที่จะต้องโดนคนอื่นทิ้ง
ตนไว้อย่างไม่ใส่ใจเพียงเพราะความรำคาญหรืออะไรก็ตามที่ฮันเตอร์ได้กระทำออกไป
จะว่าไปแล้วฮันเตอร์ก็ไม่ต่างอะไรกับผมสักเท่าไร เขากำลังพยายามเข้มแข็งและยืนด้วย
ตัวเอง เพราะสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด ถึงแม้จะสูญเสียด้วยวิธีที่ต่างกัน แต่ความเหงา
ของการสูญเสียและความเสียใจนั้นเป็นอย่างไร ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของฮันเตอร์ได้
เป็นอย่างดีมาก คงเพราะแบบนี้ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
จริงๆนั่นเอง
และแล้วก็ถึงเวลาที่คืนสุดท้ายก่อนที่ผมจะจากลากับฮันเตอร์ ผมได้เล่านิทานให้เขาฟัง
จนหลับไปเหมือนทุกๆวัน แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นคือ ผมได้นั่งเล่าชีวิตของตัวเองให้ฮันเตอร์
ฟังในขณะที่เขาหลับ เพื่อให้เขารู้ว่าไม่ได้มีแต่เขาเท่านั้นนะที่โชคร้ายในโลกอันโหดร้ายนี้
รวมไปถึงพยายามสอนเขาให้มีความเข้มแข็ง ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ยินและไม่เข้าใจหรอก แต่ผม
หวังว่าความรู้สึกตอนที่ผมพูด อาจจะซึมซับเข้าไปในจิตใจของฮันเตอร์แม้กำลังนอนอยู่ก็ได้
จนผมพูดจบแล้วก็จูบลงไปบนหน้าผากของฮันเตอร์ที่กำลังหลับด้วยความเอ็นดู และลุกไป
เขียนจดหมายที่จะมอบ ให้กับฮันเตอร์ในวันพรุ่งนี้ที่เราจะต้องจากลากันจริงๆ ผมไม่อยากให้
จดหมายออกมาเศร้าเพราะชีวิตของฮันเตอร์ที่ผ่านมาเศร้าพอแล้ว ผมจึงพยายามเขียนออก
มาให้เขารู้สึกว่าผมไม่ได้ทอดทิ้งเขานะ ผมจะกลับไปเยี่ยมเขาบ่อยๆอย่างแน่นอน...
แต่ทำไมกันนะ... ทั้งๆที่ข้อความไม่มีอะไรน่าเศร้าใจเลย
...ทำไมผมถึงร้องไห้ออกมาระหว่างที่กำลังเขียนกันแน่นะ...?
- รูปภาพประกอบเนื้อหา:
- bluebearz
Bonita Blanchett
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
1313
+128 M 935 K 310
PASSPORT
:
(550/2125)
:
Re: Lesson 21 : In your care
Mon 29 Jun 2015, 18:40
- เหตุการณ์ตอนที่พบกับเด็กเป็นครั้งแรก / ความรู้สึกที่มีต่อเด็ก
“อะ..นี่” คุณครูประจำชั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหัวโต๊ะพร้อมกับกระแทกกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งลงกับผิวไม้เสียงดังจนเจ้าของโต๊ะอย่างผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยได้ที่อยู่ต้องสะดุ้งตัวสุดขีดแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนใหม่ด้วยความสงสัยทันที
“นั่นใบอะไรหรอครับ?” ผมถามออกไปก่อนจะหยิบกระดาษที่ถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนยับหน่อยๆ ขึ้นมาไล่สายตาดูอย่างคร่าวๆ พร้อมกับพลิกกระดาษที่มีข้อความค่อนครึ่งอยู่หน้าเดียวไปมา
“ใบรายชื่อเด็กที่เธอจะต้องดูแลไง อ่านให้เข้าใจแล้วไปรับเด็กที่ห้องธุรการซะนะ”
“ครับ” ผมขานรับไปพร้อมกับถอนหายใจอันแสนเบื่อหน่ายออกมา ทั้งที่วันนี้ตั้งใจจะอยู่ในห้องเรียนทั้งวันอยู่แล้วเชียว แต่เห็นท่าคงจะไม่ได้แล้วล่ะผมคงต้องเดินไปห้องธุรการสินะ...
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อ’รัตนา’ มาจากสถานสงเคราะห์เด็กค่ะ”
เมื่อมาถึงห้องธุรการผมก็ทิ้งตัวลงนั่งยองๆ มองคนตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สูงขึ้นจากระดับสายตาผมไม่มากเท่าไรแต่ก็ต้องเงยหน้าคุยด้วยอยู่ดี เด็กคนนี้น่ะหรอที่ผมต้องดูแลเป็นเวลาครึ่งเดือนน่ะ! เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตยาวลากพื้น ผูกโบว์ลายชาติไทยขนาดใหญ่เอาไว้บนหัว ดวงตาขวามีผ้าพันแผล ดวงตาซ้ายสีเขียวมรกตดูสดใส หน้าตาน่ารัก โดยรวมดูแล้วเธอจะเหมือนลูกคุณหนูมากถ้าไม่ติดที่ว่าไม่มีขาเลยทั้งสองข้าง...
ผมเลื่อนสายตามามองใบหน้ากลมของเด็กสาวด้วยความอึกอักเล็กน้อย แม้ใจจะไม่อยากรับหน้าที่นี้แต่เมื่อเป็นคำสั่งจากทางโรงเรียนผมก็ไม่สามารถขัดได้ ยังนึกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้เลย...
“พี่ชื่อสุภะอยู่มอหนึ่ง....ยินดีทีได้รู้จักครับ”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างดูแลเด็ก วิธีที่ทำให้เด็กเปิดใจ
ผมเดินหอบถุงใส่ก้อนขนมปังจำนวนมากมายในอ้อมแขนซึ่งซื้อมาจากเซเว่นใกล้บ้านแล้วเอาไปฝากไว้กับป้าแม่ครัวที่โรงอาหารเมื่อเช้ามาตามระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียนระดับชั้นมอหนึ่ง เดินไปก็หันซ้ายหันขวามองห้องต่างๆ ผ่านกระจกใสไปด้วยท่าทางเหม่อลอยตามฉบับของตัวเอง รู้สึกตัวอีกทีขาและไม้ค้ำยันก็พาร่างทั้งร่างมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนแล้ว
“รัตนา..วันนี้พี่ได้ขนมปังมาเยอะแยะเลย อยากกินรสไห---” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคถุงใส่ขนมปังและไม้ค้ำยันในอ้อมแขนก็ร่วงหล่นลงพื้นจนไม้ค้ำยันกลิ้งไปอยู่มุมห้อง ส่วนขนมปังกระเด็นออกมาจากถุงกระจัดกระจายกันไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องไปสนใจเพราะว่า...
“อึ้บ..คุณกระต่า--- เหวอ!!”
พรึบ!!
“รัตนา!” ผมถลาตัวเข้าไปคว้าเอวเล็กของเด็กสาวที่ตอนนี้ร่างของเธอกำลังจะไถลออกนอกหน้าต่างให้กลับเข้ามาในห้องตามเดิมได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะกดตัวเธอให้นั่งลง...ผมหอบหายใจพร้อมกับใจเต้นแรงเพราะความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่หาย “เธอทำอะไรน่ะครับ!? คิดจะฆ่าตัวตายหรือไง!!”
ผมตวาดใส่เด็กสาวตรงหน้าอย่างเหลืออดแต่ด้วยความที่ยังเกิดอาการใจตกชั่ววูบ เสียงของผมเลยออกมาสั่นเครือจนดูไม่น่าเชื่อถือเลย…
“หนูจะเก็บคุณกระต่ายต่างหาก! หนูแค่เขยิบเก้าอี้มานั่งริมหน้าต่างเพราะอยากเห็นวิวข้างนอก แล้วจู่ๆ คุณกระต่ายก็หลุดจากมือกระเด็นออกไปนอกหน้าต่าง หนูไม่ได้ตั้งใจ...ฮืออออ....” หลังจากเล่าความจริงเด็กสาวก็ร้องไห้โฮออกมา มือน้อยๆ ปัดน้ำตาสะเปสะปะไปทั่วใบหน้าแต่น้ำตาก็ยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ ผมเกาหัวแกรกๆ เบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่รู้จะปลอบคนตรงหน้าอย่างไรดี ผมไม่ค่อยถนัดปลอบใจเวลาคนร้องไห้เสียเท่าไร ตอนเด็กๆ เวลาผมโดนชาวบ้านแกล้งแล้วร้องไห้ ผมไม่เคยปลอบใจตัวเองจนกระทั่งหยุดร้องไปแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นคนอื่นและเป็นคนแรกด้วยสิ...ผมคงจะปล่อยให้หยุดร้องเองไม่ได้หรอก...
ผมตัดสินใจคลานไปเก็บไม้ค้ำยันที่กลิ้งอยู่ตรงประตูห้อง เก็บขนมปังใส่ถุงแล้ววางไว้ตรงหัวเข่าของเด็กสาวผมน้ำตาลที่บัดนี้ร้องไห้งอแงไม่หยุดก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างเงียบๆ
“อยู่ไหนกันแน่เนี่ย...” เมื่อลงมาถึงบริเวณหน้าสนามฟุตบอลผมก็ก้มลงมองหาตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดของรัตนาพร้อมกับบ่นอุบอิบไปด้วย เพราะอากาศมันร้อนมากตามประสาแดดประเทศไทยจึงทำให้ผมไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับตัวเองเลย ถึงจะรู้สึกตาลายแต่ก็ยังหาต่อไปจนสุดท้ายก็พบว่ามันหล่นอยู่ข้างหลังผมเอง
พอมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นรัตนายื่นหน้าโผล่ออกมา มือเกาะขอบหน้าต่างแน่น ผมชูตุ๊กตากระต่ายสีเหลืองอ่อนที่ร้อนนิดหน่อยจากการถูกแสงแดดเป็นเวลานานให้เธอดู พอเธอเห็นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจจนออกหน้าออกตา มันเป็นรอยยิ้มครั้งแรกที่ผมได้เห็นจากใบหน้ากลมของเธอ ปกติเธอจะชอบทำหน้าบูดบึ้งจนคิดว่ายิ้มไม่เป็น แต่ผมว่าถ้าเธอลองยิ้มให้มากกว่านี้เธอจะน่ารักมากกว่าปกติหลายเท่าเลยล่ะ
“ขอบคุณนะคะที่เก็บมาให้ หนูจะยอมรับพี่ก็ได้แต่แค่นิดเดียวเท่านั้นนะ!” เด็กสาวตัวน้อยว่าพลางรับตุ๊กตาตัวโปรดมากอดไว้ในอ้อมแขนเล็ก ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยแสดงถึงความสุขสม มุมปากยิ้มกระตุกอยู่ไม่เลิกจนผมสังเกตได้
“อุตส่าห์เก็บมาให้ไม่คิดจะยอมกันบ้างเลยนะ ฮะๆ” ผมว่าพลางหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดที่ออกมาจากความปากแข็งของเด็กตรงหน้า ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองจะได้ยิ้มและหัวเราะอย่างเต็มปากเต็มคอแบบนี้มาก่อน ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่านอกจากที่ผมจะช่วยเธอแล้ว...
เธอเองก็ยังช่วยผมอีกด้วย...
การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันระหว่างคนสองคนที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นราวกับดอกไม้กำลังผลิบาน...
กลับต้องผลัดใบร่วงโรยสู่ความจากลา...
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- เหตุการณ์ช่วงที่กำลังจะจากลากับเด็ก
ย้อนไป1วันก่อน...
“พี่สุภะคะ พรุ่งนี้พี่จะไปส่งหนูไหม?” เด็กสาวเอ่ยถามพลางสะกิดแขนเสื้อของผมเบาๆ ผมละความสนใจจากกระดาษและดินสอที่ตัวเองกำลังใช้วาดรูปอยู่เงยหน้าขึ้นมองเธอซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะเรียนของผม
ผมครุ่นคิดอยู่สักพักหลังจากเจอคำถามศึกหนักเข้าไป...จะว่าไปพรุ่งนี้แล้วสินะที่เธอต้องกลับสถานสงเคราะห์...
“อืม...พี่ไม่ได้ค้างที่โรงเรียนซะหน่อย...” ผมว่าอย่างคิดหนักพลางใช้นิ้วควงดินสอหมุนไปมา
“โธ่! ก็จะไปส่งหนูหน่อยไม่ได้เลยหรือไงกัน?” คนเซ้าซี้เริ่มทำท่างอนด้วยการอมแก้มป่องแล้วกอดอกจ้องหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เห็นอย่างงั้นผมก็เริ่มลังเลขึ้นมา
สุดท้ายก็อดสงสารไม่ได้จึงต้องตอบตกลงกลับไป “ก็ได้ครับ จะพยายามนะ”
“จริงหรอคะ!” เด็กสาวทำหน้าตายิ้มแย้มกะทันหันทั้งที่เมื่อกี้ยังหน้าบูดอยู่เลย “ต้องไปให้ได้นะ เอ้อ พี่สุภะขอกระดาษกับดินสอแท่งหนึ่งหน่อยสิ”
ผมหันขวับไปมองคนข้างกายอีกครั้ง “เอ๋? จะเอาไปทำอะไรหรอครับ?”
“เถอะน่า” เธอซี้เซ้าพลางทำหน้าตาดุใส่ เห็นอย่างนั้นผมก็ขัดไม่ได้ต้องสนองความต้องการให้เธอแบบปลงๆ ผมน่าจะขอเวลากับผอ.อีกสักอาทิตย์หนึ่งพาเด็กคนนี้ไปฝึกมารยาทสักหน่อยจะดีไหมเนี่ย
แล้วรัตนาก็ขอให้ผมพาเธอและเก้าอี้ที่นั่งย้ายไปอยู่หลังห้องแทน ในตอนนั้นผมต้องทำใจปลงอย่างแท้จริงเพราะนอกจากขาและแขนจะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องมาแบกเด็กผู้หญิงกับเก้าอี้อย่างละหนึ่งซึ่งถ้าเอามาชั่งรวมกับคงจะหนักหลายกิโลย้ายจากกหน้าห้องไปหลังห้องอีก ไม่ต้องดูสีหน้าตัวเองก็รู้ว่ามันทรมานขนาดไหน
ผมกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะหันหลังกลับไปมองเด็กสาวหลังห้องที่บัดนี้กำลังจดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นหนึ่งไม่แพ้ผมในตอนแรก ผมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางของเธอที่ดูจะตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจเพราะลิ้นเล็กที่เลียริมฝีปากไปมาของเจ้าตัวก่อนจะหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ
วันสุดท้ายที่เด็กจะได้กลับสู่สถานสงเคราะห์...
แย่แล้วๆ…!!!!
ผมเหลือบมองหอนาฬิกาประจำหมู่บ้านเป็นครั้งสุดท้ายบอกเวลาเจ็ดโมงตรง ผมรีบเดินออกมาจากบ้าน โบกมือเรียกวินมอเตอร์ไซค์ข้างทางเพื่อเดินทางมาโรงเรียนให้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพวกเด็กแท้ๆ แถมยังรับปากว่าจะไปส่งรัตนาอีกด้วย ไม่ได้การล่ะ! ต้องทำตัวให้สมเป็นพี่เลี้ยงเสียหน่อย
“แฮ่กๆ” เมื่อผมมาถึงบริเวณใกล้หน้าโรงเรียนก็ทิ้งตัวเหนื่อยหอบอยู่ตรงนั้นได้สักพัก พอได้ยินเสียงเหมือนรถอะไรสักอย่างจะสตาร์ทเครื่องห่างออกไปไม่ไกลผมก็รีบลุกขึ้นเดินต่อด้วยความฮึดสู้ทันที อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงหน้าโรงเรียนแล้ว
บรืนนนน!
รถเคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงเรียนเฉียดฉิวหน้าของผมห่างไปไม่กี่เมตร ผมหยุดชะงักร่างไว้ตรงนั้น ได้แต่มองรถที่บรรทุกเด็กพากลับสถานสงเคราะห์ออกห่างไปเรื่อยๆ ด้วยความตกใจปนเสียดายที่มาช้าไปเฉียดนาทีเดียวเอง...
ได้แต่ยืนตาละห้อยมองรถที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตา...
“เฮ้อ...”
ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างรวดเร็วเพราะยังเหนื่อยจากการวิ่งขั้นแมกซ์มากโรงเรียนในตอนเช้าไม่หาย ด้วยความที่ขี้เกียจฝืนทิ้งตัวลงดีๆ จึงทำให้ขาไปกระแทกกับโต๊ะอย่างจังจนมันล้มลงกับพื้นเสียงดังพร้อมกับที่ร่างของผมก็ล้มตามไปด้วยคน แต่โชคดีที่ตอนนี้ในห้องมีแค่ผมคนเดียวจึงไม่ต้องมุดหน้าหลบอายใคร
พรึบ!!
“เอ๋?”
ทัศนียภาพเบื้องหน้าของผมมืดดำลงกะทันหันเพราะมีอะไรบางอย่างปลิวมาบังเอาไว้ ผมหยิบสิ่งที่ว่านั่นออกมาสำรวจดู มันเป็นกระดาษจากร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านที่ผมชอบเข้าไปซื้อบ่อยๆ พอพลิกไปด้านหลังก็เจอกับรูปวาดอันแสนน่ารัก(?)รูปหนึ่งพร้อมกับที่มีกระดาษอีกแผ่นที่ถูกพับเป็นใบเล็กๆ ติดเทปใสไว้มุมขวาล่างของกระดาษ
ผมหัวเราะน้อยๆ กับรูปวาดที่ดูเหมือนจะสวยแต่ก็ไม่สวย(?)แถมยังชี้ตัวคนทำได้อย่างง่ายดายก่อนจะแกะกระดาษที่ถูกพับคลี่ออกมา มันคือจดหมายที่มีข้อความเรียงประทับอยู่ประมาณครึ่งหน้ากระดาษ ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ที่บางทีก็อ่านไม่ค่อยจะออก...
เมื่อผมอ่านจดหมายเสร็จก็เผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำไมเด็กคนนี้ถึงชอบทำให้ผมต้องขยับปากยิ้มอยู่บ่อยๆ กันนะ? อยากจะถามออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่เจ้าตัวก็ไม่อยู่แล้ว ณ ตอนนี้ เลยได้แต่เก็บเอาไว้ในใจรอคอยสักวันว่าคงจะได้คำตอบ...
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นเก็บโต๊ะและเก้าอี้ให้เข้าที่ก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมานั่งที่ให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนเรียบเรียงเป็นข้อความเพื่อส่งต่อไปยังเด็กสาวที่อยู่อีกฟากหนึ่ง...
A. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
“อะ..นี่” คุณครูประจำชั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหัวโต๊ะพร้อมกับกระแทกกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งลงกับผิวไม้เสียงดังจนเจ้าของโต๊ะอย่างผมที่กำลังนั่งเหม่อลอยได้ที่อยู่ต้องสะดุ้งตัวสุดขีดแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนใหม่ด้วยความสงสัยทันที
“นั่นใบอะไรหรอครับ?” ผมถามออกไปก่อนจะหยิบกระดาษที่ถูกกระแทกลงบนโต๊ะจนยับหน่อยๆ ขึ้นมาไล่สายตาดูอย่างคร่าวๆ พร้อมกับพลิกกระดาษที่มีข้อความค่อนครึ่งอยู่หน้าเดียวไปมา
“ใบรายชื่อเด็กที่เธอจะต้องดูแลไง อ่านให้เข้าใจแล้วไปรับเด็กที่ห้องธุรการซะนะ”
“ครับ” ผมขานรับไปพร้อมกับถอนหายใจอันแสนเบื่อหน่ายออกมา ทั้งที่วันนี้ตั้งใจจะอยู่ในห้องเรียนทั้งวันอยู่แล้วเชียว แต่เห็นท่าคงจะไม่ได้แล้วล่ะผมคงต้องเดินไปห้องธุรการสินะ...
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อ’รัตนา’ มาจากสถานสงเคราะห์เด็กค่ะ”
เมื่อมาถึงห้องธุรการผมก็ทิ้งตัวลงนั่งยองๆ มองคนตัวเล็กซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สูงขึ้นจากระดับสายตาผมไม่มากเท่าไรแต่ก็ต้องเงยหน้าคุยด้วยอยู่ดี เด็กคนนี้น่ะหรอที่ผมต้องดูแลเป็นเวลาครึ่งเดือนน่ะ! เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตยาวลากพื้น ผูกโบว์ลายชาติไทยขนาดใหญ่เอาไว้บนหัว ดวงตาขวามีผ้าพันแผล ดวงตาซ้ายสีเขียวมรกตดูสดใส หน้าตาน่ารัก โดยรวมดูแล้วเธอจะเหมือนลูกคุณหนูมากถ้าไม่ติดที่ว่าไม่มีขาเลยทั้งสองข้าง...
ผมเลื่อนสายตามามองใบหน้ากลมของเด็กสาวด้วยความอึกอักเล็กน้อย แม้ใจจะไม่อยากรับหน้าที่นี้แต่เมื่อเป็นคำสั่งจากทางโรงเรียนผมก็ไม่สามารถขัดได้ ยังนึกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้เลย...
“พี่ชื่อสุภะอยู่มอหนึ่ง....ยินดีทีได้รู้จักครับ”
- เจอกันครั้งแรก:
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างดูแลเด็ก วิธีที่ทำให้เด็กเปิดใจ
ผมเดินหอบถุงใส่ก้อนขนมปังจำนวนมากมายในอ้อมแขนซึ่งซื้อมาจากเซเว่นใกล้บ้านแล้วเอาไปฝากไว้กับป้าแม่ครัวที่โรงอาหารเมื่อเช้ามาตามระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียนระดับชั้นมอหนึ่ง เดินไปก็หันซ้ายหันขวามองห้องต่างๆ ผ่านกระจกใสไปด้วยท่าทางเหม่อลอยตามฉบับของตัวเอง รู้สึกตัวอีกทีขาและไม้ค้ำยันก็พาร่างทั้งร่างมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนแล้ว
“รัตนา..วันนี้พี่ได้ขนมปังมาเยอะแยะเลย อยากกินรสไห---” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคถุงใส่ขนมปังและไม้ค้ำยันในอ้อมแขนก็ร่วงหล่นลงพื้นจนไม้ค้ำยันกลิ้งไปอยู่มุมห้อง ส่วนขนมปังกระเด็นออกมาจากถุงกระจัดกระจายกันไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะต้องไปสนใจเพราะว่า...
“อึ้บ..คุณกระต่า--- เหวอ!!”
พรึบ!!
“รัตนา!” ผมถลาตัวเข้าไปคว้าเอวเล็กของเด็กสาวที่ตอนนี้ร่างของเธอกำลังจะไถลออกนอกหน้าต่างให้กลับเข้ามาในห้องตามเดิมได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะกดตัวเธอให้นั่งลง...ผมหอบหายใจพร้อมกับใจเต้นแรงเพราะความกลัวจากเหตุการณ์เมื่อกี้ไม่หาย “เธอทำอะไรน่ะครับ!? คิดจะฆ่าตัวตายหรือไง!!”
ผมตวาดใส่เด็กสาวตรงหน้าอย่างเหลืออดแต่ด้วยความที่ยังเกิดอาการใจตกชั่ววูบ เสียงของผมเลยออกมาสั่นเครือจนดูไม่น่าเชื่อถือเลย…
“หนูจะเก็บคุณกระต่ายต่างหาก! หนูแค่เขยิบเก้าอี้มานั่งริมหน้าต่างเพราะอยากเห็นวิวข้างนอก แล้วจู่ๆ คุณกระต่ายก็หลุดจากมือกระเด็นออกไปนอกหน้าต่าง หนูไม่ได้ตั้งใจ...ฮืออออ....” หลังจากเล่าความจริงเด็กสาวก็ร้องไห้โฮออกมา มือน้อยๆ ปัดน้ำตาสะเปสะปะไปทั่วใบหน้าแต่น้ำตาก็ยังคงไหลอยู่เรื่อยๆ ผมเกาหัวแกรกๆ เบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่รู้จะปลอบคนตรงหน้าอย่างไรดี ผมไม่ค่อยถนัดปลอบใจเวลาคนร้องไห้เสียเท่าไร ตอนเด็กๆ เวลาผมโดนชาวบ้านแกล้งแล้วร้องไห้ ผมไม่เคยปลอบใจตัวเองจนกระทั่งหยุดร้องไปแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นคนอื่นและเป็นคนแรกด้วยสิ...ผมคงจะปล่อยให้หยุดร้องเองไม่ได้หรอก...
ผมตัดสินใจคลานไปเก็บไม้ค้ำยันที่กลิ้งอยู่ตรงประตูห้อง เก็บขนมปังใส่ถุงแล้ววางไว้ตรงหัวเข่าของเด็กสาวผมน้ำตาลที่บัดนี้ร้องไห้งอแงไม่หยุดก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างเงียบๆ
“อยู่ไหนกันแน่เนี่ย...” เมื่อลงมาถึงบริเวณหน้าสนามฟุตบอลผมก็ก้มลงมองหาตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดของรัตนาพร้อมกับบ่นอุบอิบไปด้วย เพราะอากาศมันร้อนมากตามประสาแดดประเทศไทยจึงทำให้ผมไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับตัวเองเลย ถึงจะรู้สึกตาลายแต่ก็ยังหาต่อไปจนสุดท้ายก็พบว่ามันหล่นอยู่ข้างหลังผมเอง
พอมองขึ้นไปข้างบนก็เห็นรัตนายื่นหน้าโผล่ออกมา มือเกาะขอบหน้าต่างแน่น ผมชูตุ๊กตากระต่ายสีเหลืองอ่อนที่ร้อนนิดหน่อยจากการถูกแสงแดดเป็นเวลานานให้เธอดู พอเธอเห็นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจจนออกหน้าออกตา มันเป็นรอยยิ้มครั้งแรกที่ผมได้เห็นจากใบหน้ากลมของเธอ ปกติเธอจะชอบทำหน้าบูดบึ้งจนคิดว่ายิ้มไม่เป็น แต่ผมว่าถ้าเธอลองยิ้มให้มากกว่านี้เธอจะน่ารักมากกว่าปกติหลายเท่าเลยล่ะ
“ขอบคุณนะคะที่เก็บมาให้ หนูจะยอมรับพี่ก็ได้แต่แค่นิดเดียวเท่านั้นนะ!” เด็กสาวตัวน้อยว่าพลางรับตุ๊กตาตัวโปรดมากอดไว้ในอ้อมแขนเล็ก ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยแสดงถึงความสุขสม มุมปากยิ้มกระตุกอยู่ไม่เลิกจนผมสังเกตได้
“อุตส่าห์เก็บมาให้ไม่คิดจะยอมกันบ้างเลยนะ ฮะๆ” ผมว่าพลางหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดที่ออกมาจากความปากแข็งของเด็กตรงหน้า ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองจะได้ยิ้มและหัวเราะอย่างเต็มปากเต็มคอแบบนี้มาก่อน ผมเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่านอกจากที่ผมจะช่วยเธอแล้ว...
เธอเองก็ยังช่วยผมอีกด้วย...
การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันระหว่างคนสองคนที่เพิ่งจะเริ่มขึ้นราวกับดอกไม้กำลังผลิบาน...
กลับต้องผลัดใบร่วงโรยสู่ความจากลา...
- ตุ๊กตาคือต้นเหตุ:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
- เหตุการณ์ช่วงที่กำลังจะจากลากับเด็ก
ย้อนไป1วันก่อน...
“พี่สุภะคะ พรุ่งนี้พี่จะไปส่งหนูไหม?” เด็กสาวเอ่ยถามพลางสะกิดแขนเสื้อของผมเบาๆ ผมละความสนใจจากกระดาษและดินสอที่ตัวเองกำลังใช้วาดรูปอยู่เงยหน้าขึ้นมองเธอซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะเรียนของผม
ผมครุ่นคิดอยู่สักพักหลังจากเจอคำถามศึกหนักเข้าไป...จะว่าไปพรุ่งนี้แล้วสินะที่เธอต้องกลับสถานสงเคราะห์...
“อืม...พี่ไม่ได้ค้างที่โรงเรียนซะหน่อย...” ผมว่าอย่างคิดหนักพลางใช้นิ้วควงดินสอหมุนไปมา
“โธ่! ก็จะไปส่งหนูหน่อยไม่ได้เลยหรือไงกัน?” คนเซ้าซี้เริ่มทำท่างอนด้วยการอมแก้มป่องแล้วกอดอกจ้องหน้าผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ เห็นอย่างงั้นผมก็เริ่มลังเลขึ้นมา
สุดท้ายก็อดสงสารไม่ได้จึงต้องตอบตกลงกลับไป “ก็ได้ครับ จะพยายามนะ”
“จริงหรอคะ!” เด็กสาวทำหน้าตายิ้มแย้มกะทันหันทั้งที่เมื่อกี้ยังหน้าบูดอยู่เลย “ต้องไปให้ได้นะ เอ้อ พี่สุภะขอกระดาษกับดินสอแท่งหนึ่งหน่อยสิ”
ผมหันขวับไปมองคนข้างกายอีกครั้ง “เอ๋? จะเอาไปทำอะไรหรอครับ?”
“เถอะน่า” เธอซี้เซ้าพลางทำหน้าตาดุใส่ เห็นอย่างนั้นผมก็ขัดไม่ได้ต้องสนองความต้องการให้เธอแบบปลงๆ ผมน่าจะขอเวลากับผอ.อีกสักอาทิตย์หนึ่งพาเด็กคนนี้ไปฝึกมารยาทสักหน่อยจะดีไหมเนี่ย
แล้วรัตนาก็ขอให้ผมพาเธอและเก้าอี้ที่นั่งย้ายไปอยู่หลังห้องแทน ในตอนนั้นผมต้องทำใจปลงอย่างแท้จริงเพราะนอกจากขาและแขนจะไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องมาแบกเด็กผู้หญิงกับเก้าอี้อย่างละหนึ่งซึ่งถ้าเอามาชั่งรวมกับคงจะหนักหลายกิโลย้ายจากกหน้าห้องไปหลังห้องอีก ไม่ต้องดูสีหน้าตัวเองก็รู้ว่ามันทรมานขนาดไหน
ผมกลับมานั่งที่เดิมก่อนจะหันหลังกลับไปมองเด็กสาวหลังห้องที่บัดนี้กำลังจดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นหนึ่งไม่แพ้ผมในตอนแรก ผมยิ้มน้อยๆ กับท่าทางของเธอที่ดูจะตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจเพราะลิ้นเล็กที่เลียริมฝีปากไปมาของเจ้าตัวก่อนจะหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ
วันสุดท้ายที่เด็กจะได้กลับสู่สถานสงเคราะห์...
แย่แล้วๆ…!!!!
ผมเหลือบมองหอนาฬิกาประจำหมู่บ้านเป็นครั้งสุดท้ายบอกเวลาเจ็ดโมงตรง ผมรีบเดินออกมาจากบ้าน โบกมือเรียกวินมอเตอร์ไซค์ข้างทางเพื่อเดินทางมาโรงเรียนให้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพวกเด็กแท้ๆ แถมยังรับปากว่าจะไปส่งรัตนาอีกด้วย ไม่ได้การล่ะ! ต้องทำตัวให้สมเป็นพี่เลี้ยงเสียหน่อย
“แฮ่กๆ” เมื่อผมมาถึงบริเวณใกล้หน้าโรงเรียนก็ทิ้งตัวเหนื่อยหอบอยู่ตรงนั้นได้สักพัก พอได้ยินเสียงเหมือนรถอะไรสักอย่างจะสตาร์ทเครื่องห่างออกไปไม่ไกลผมก็รีบลุกขึ้นเดินต่อด้วยความฮึดสู้ทันที อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงหน้าโรงเรียนแล้ว
บรืนนนน!
รถเคลื่อนตัวออกจากหน้าโรงเรียนเฉียดฉิวหน้าของผมห่างไปไม่กี่เมตร ผมหยุดชะงักร่างไว้ตรงนั้น ได้แต่มองรถที่บรรทุกเด็กพากลับสถานสงเคราะห์ออกห่างไปเรื่อยๆ ด้วยความตกใจปนเสียดายที่มาช้าไปเฉียดนาทีเดียวเอง...
ได้แต่ยืนตาละห้อยมองรถที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตา...
“เฮ้อ...”
ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างรวดเร็วเพราะยังเหนื่อยจากการวิ่งขั้นแมกซ์มากโรงเรียนในตอนเช้าไม่หาย ด้วยความที่ขี้เกียจฝืนทิ้งตัวลงดีๆ จึงทำให้ขาไปกระแทกกับโต๊ะอย่างจังจนมันล้มลงกับพื้นเสียงดังพร้อมกับที่ร่างของผมก็ล้มตามไปด้วยคน แต่โชคดีที่ตอนนี้ในห้องมีแค่ผมคนเดียวจึงไม่ต้องมุดหน้าหลบอายใคร
พรึบ!!
“เอ๋?”
ทัศนียภาพเบื้องหน้าของผมมืดดำลงกะทันหันเพราะมีอะไรบางอย่างปลิวมาบังเอาไว้ ผมหยิบสิ่งที่ว่านั่นออกมาสำรวจดู มันเป็นกระดาษจากร้านขายเครื่องเขียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านที่ผมชอบเข้าไปซื้อบ่อยๆ พอพลิกไปด้านหลังก็เจอกับรูปวาดอันแสนน่ารัก(?)รูปหนึ่งพร้อมกับที่มีกระดาษอีกแผ่นที่ถูกพับเป็นใบเล็กๆ ติดเทปใสไว้มุมขวาล่างของกระดาษ
- รูปวาดของรัตนา:
ผมหัวเราะน้อยๆ กับรูปวาดที่ดูเหมือนจะสวยแต่ก็ไม่สวย(?)แถมยังชี้ตัวคนทำได้อย่างง่ายดายก่อนจะแกะกระดาษที่ถูกพับคลี่ออกมา มันคือจดหมายที่มีข้อความเรียงประทับอยู่ประมาณครึ่งหน้ากระดาษ ถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ที่บางทีก็อ่านไม่ค่อยจะออก...
- จดหมายของรัตนา:
- ‘ถ้าพี่ได้อ่านจดหมายนี้แสดงว่าเราจากกันอย่างเป็นทางการแล้ว...แต่หนูก็หวังไว้ว่าเราคงจะได้พบกันอีก... รูปวาดของหนูสวยไหม? เพราะหนูเห็นพี่นั่งวาดอยู่บ่อยๆ ก็เลยอยากทำบ้างถึงจะไม่สวยเท่าของพี่ก็เถอะ หนูรู้ว่าแค่วาดรูปใบเดียวคงทดแทนตัวพี่ไม่ได้ เพราะพี่ดูแลหนูมาตลอด3สัปดาห์ ช่วยนั่นช่วยนี่เสมอ สอนอะไรเยอะแยะ(แต่ไม่เคยเข้าหัว)เลย แต่หนูก็พยายามสุดความสามารถวาดรูปนี้ออกมา หนูอยากให้พี่เก็บมันไว้ ถ้าหนูโตขึ้นฝีมือของหนูจะต้องพัฒนาขึ้นมากกว่ารูปนี้แน่นอน
....คนพิการก็เหมือนกับนกปีกหัก แต่ถ้าใจคงรักปีกที่หักจะกลายเป็นพลังให้เราสู้ต่อไป...
ถึงหนูจะลืมคำสอนที่ผ่านๆ มาแต่หนูยังจำคำพูดนี้ของพี่ได้เสมอเลยนะ เพราะคำพูดนี้หนูถึงยังอยู่ต่อไป ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่พี่มาเป็นพี่เลี้ยงของหนูเราคงจะได้พบกันอีกนะคะ
RATANA…’
เมื่อผมอ่านจดหมายเสร็จก็เผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำไมเด็กคนนี้ถึงชอบทำให้ผมต้องขยับปากยิ้มอยู่บ่อยๆ กันนะ? อยากจะถามออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่เจ้าตัวก็ไม่อยู่แล้ว ณ ตอนนี้ เลยได้แต่เก็บเอาไว้ในใจรอคอยสักวันว่าคงจะได้คำตอบ...
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นเก็บโต๊ะและเก้าอี้ให้เข้าที่ก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นมานั่งที่ให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนเรียบเรียงเป็นข้อความเพื่อส่งต่อไปยังเด็กสาวที่อยู่อีกฟากหนึ่ง...
- จดหมายตอบกลับของสุภะ:
- ‘เธอเองก็สอนผมไว้มากมายเช่นกัน ทั้งยังชอบหาเรื่องมาเซอร์ไพส์ให้บ่อยๆ จนต้องกินพาราเป็นระยะ แต่ว่านะผมก็มีความสุขมากที่ได้ดูแลเธอมาตลอด3สัปดาห์ หวังว่าถ้าโชคชะตาจะยังเข้าใจให้เราได้พบกันอีกสักครั้งก็ยังดีนะครับ
...และหวังว่าเธอคงจะได้อานจดหมายฉบับนี้นะ...ขอบคุณที่มาเป็นเด็กเลี้ยงของผม
SUPHA…’
A. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
- S - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีนิล
สุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp.จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็ค
เป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,500,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's Comment:
- ภารกิจนี้เป็นภารกิจเขียนงานแรกของสุภะ ซึ่งต้องขอบอกว่า
อลังการงานสร้างมากจริงๆครับ กฏของสุภะออกจะแหวกแนว
จากคนอื่นไปเล็กน้อยเพราะงานหนักขึ้นในส่วนที่ต้องคิด
คาแรคเตอร์เด็กขึ้นมาใหม่เองทั้งหมด แต่ก็ทำออกมาได้ดี
ทั้งตัวคาแรคเตอร์เองแล้วก็ตัวภารกิจเองด้วย ผมชอบตรง
ที่สุภะมักจะบอกเสมอว่าน้องเป็นคนให้อะไรต่างๆกับเขา
ทำให้เขายิ้ม ให้เขาได้เรียนรู้ ซึ่งเป็นแนวคิดที่อบอุ่นมาก
ตัวรูปเองก็เป็นงานตั้งใจ ผมชอบรูปที่สุภะชูกระต่ายจังเลย
รู้สึกว่ามุมมันใช่ วาดมุมสูงได้ดูดีดูเป๊ะ สรุปคือสุดยอดครับ!!
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 21 : In your care
Tue 30 Jun 2015, 22:32
เรื่องราวการเลี้ยงเด็กของธานินทร์
“ต้องไปรับเด็กที่ห้องธุรการ เอ...” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางอ่านคำสั่งในกระดาษเอสี่สีขาว ที่บอกให้ไปที่ห้องธุรการเพื่อรับเด็กมาดูแล
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ระหว่างที่เดินไปตามทางเดิน ธานินทร์ตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อคิดว่าจะได้พบกับเด็ก ซึ่งเขาไม่มีความรู้ด้านการเลี้ยงเด็กเลยซักนิด
จะว่าเขายังเป็นเด็กผู้ชายอายุ 13 เท่านั้นเอง ก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่นะ แล้วเราจะเลี้ยงน้องเขาไหวงั้นเหรอ? ยิ่งเราเป็นโรคไม่ถูกกับเชื้อโรคอีกด้วย
หวังว่าจะไม่เป็นเด็กที่ซน ชอบเลอะนู่น เลอะนี่ ก็ยังดี
มีหวังเขาจิตตกแหงๆ
พอเด็กหนุ่มเดินมาถึงห้องธุรการก็เข้ามาพบกับคุณรัตติกาล ก่อนจะยื่นเอกสารรับเด็กให้เลขาผู้อำนวยการสาวสวย
“ชื่อตะวันสินะ วิ่งเล่นอยู่ด้านในเลยจ๊ะ เด็กที่ใส่หมวกคนนั้นไง” คุณรัตติกาลชี้ให้ธานินทร์ดู
เด็กชายตัวเล็กสวมหมวกโดดเด่นมาแต่ไกลด้วยเสียงหัวเราะแสนร่าเริง วิ่งเล่นกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน
“ซนใช่เล่นพอๆกับยัยแพทเลยนะ” เลขาสาวพึมพำข้างกายเขา ก่อนนะเดินไปเรียกเด็กชายที่ชื่อตะวัน
ธานินทร์ยืนนิ่งค้างตึง เขาไม่กล้าเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเขากลัวเด็กหรอกนะ แต่ว่า....
เด็กคนนี้ ...สกปรก มอมแมมที่สุด
และแน่นอนไม่ถูกกับคนที่เป็นโรคไมโซโฟเบียอย่างเขาเลย
“อา...เราเริ่มมองเห็นอนาคตใน 20 วันนี้ซะแล้วสิ” เขาพึมพำอย่างจิตตก
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ธานินทร์เรื้อยๆ จนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้า ตะวันเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าธานินทร์ (แน่นอนสิ)
สวมเสื้อเชิ้ตสีเหลืองมีฮู้ดมีรอยเปื้อนดินหลายจุด ทั้งกางเกงและรองเท้าผ้าใบก็เช่นกัน และเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้มีแผลเป็นหลายจุด ทั้งรอยยาวและรอยไหม้เป็นวงๆ
“พี่คือคนที่จะมารับผมไปอยู่ด้วยสินะ” เด็กชายถาม
“ชะ..ใช่ครับ พี่ชื่อธานินทร์ครับ”
“ปลานิล?” ตะวันเลิกคิ้ว “คนอะไรชื่อปลานิล”
“ชะ ชื่อธานินทร์ครับ ไม่ใช่ปลานิล”
“พี่ปลานิล”
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จำผิดไปซะแล้วสิ
“โทษทีนะจ๊ะ ธานินทร์ ดูเหมือนว่าจะมีคนรับเด็กคนสุดท้ายไปแล้วล่ะจ๊ะ”
เพราะเหตุนั่น เขาจึงต้องอดทนดูแลตะวันแสนซนต่อไปหลายวัน
“เหมือนพี่ชายกับน้องชายเลยเนอะ”
“ครับ?”
“นายกับตะวันไง” ปักษ์เพื่อนร่วมชั้นธานินทร์เอ่ยขึ้น “นายคอยดูแลตะวันเหมือนพี่ชายคอยดูแลน้องชายเลย”
“คุณปักษ์ก็เหมือนกันครับ ผมว่า”
“สลับกันมากกว่า” เขาตอบ “ผู้การนะ เหมือนพี่ชายฉันซะมากกว่า”
ธานินทร์หัวเราะ ก่อนจะคิดถามตัวเองในใจ
พี่น้องงั้นเหรอ?
เราฝังใจเรื่องพี่น้องตัวเองมาตลอด บางทีการที่มองแผ่นหลังของตะวันก็เหมือนมองตัวเองวัยเด็กๆวิ่งเล่นโดยมีพี่สาวคอยวิ่งระวังตามหลัง
“นี่ๆ ปลานิล”
ตะวันร้องเรียกในขณะที่ธานินทร์กำลังอาบน้ำให้เด็กน้อย เขาไม่ขานรับกำลังง่วนสระผมให้กับเด็กน้อยอยู่
“นี่!”
“คะ ครับ มีอะไรเหรอ ตะวัน ฟองเข้าตาเหรอ”
ตะวันเบ้ปากไม่พอใจใส่พี่เลี้ยงตนที่เหม่อลอยสระผมให้เขา “ปลานิลสระผมให้ผมมานานมากกกกกกกกแล้วนะ”
“เอ๋? แต่ว่า ยังไม่สะอาด—“
“ไม่เอาแล้ว ผมหนาว”
นิสัยรักสะอาดของปลานิลผู้หวาดกลัวเชื้อโรคเป็นสิ่งที่ตะวันไม่ชอบมากเลยสินะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็พากันแต่งตัว และเข้าหอพัก ตะวันโดดลงเตียงของธานินทร์อย่างร่าเริง ส่วนธานินทร์กลับเดินไปที่โต๊ะทำงานตนแล้วเริ่มทำการบ้าน
“นี่ ปลานิล”
“ครับ?” เขาขานรับแต่ไม่ได้หันไปหา
“ปลานิลเป็นโรคอะไรเหรอ?”
เขาหันไปมองเด็กน้อยบนเตียง “ว่าอะไรนะครับ?”
“ก็ในโรงเรียนนี่นะ ผมเป็นมีแต่คนประหลาดๆทั้งนั้นเลย”
“ประหลาด ยังไงเหรอครับ?”
“ก็ บางคนไม่มีแขน บางคนมองไม่เห็น แต่ปลานิลไม่เห็นเหมือนพวกเขาเลยนี่” ตะวันตอบอย่างสงสัย
ดูภายนอกเราก็เหมือนคนปกติสินะ
“ผมเป็นโรคพิการภายในครับ จะว่าจิตใจของผมไม่สมประกอบเหมือนคนปกติทั่วไปนะครับ”ธานินทร์ตอบ “ตอนเด็กๆ อายุเท่าตะวัน ผมถูกพี่สาวทำร้ายครับ”
ทำร้ายทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ
“พี่สาวงั้นเหรอ? ปลานิลมีพี่สาวด้วยเหรอ?”
เขาพยักหน้า “สองคนครับ แต่พวกเขาเป็นคนปกติต่างจากพวกเรา”
“ปลานิลโดนพี่สาวทำร้ายยังไง แล้วปลานิลเป็นอะไรไหม?” ดวงตาของตะวันฉายแววเป็นห่วงธานินทร์อย่างสุดฤทธิ์ จนธานินทร์อดอึ้งไม่ได้
“ผม...เป็นโรคกลัวเชื้อโรคครับ มันค่อนข้างซับซ้อน แต่ว่าถ้าเปื้อนอะไรนิดหน่อยผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้”
มันฝังใจ ที่โดนกล่าวหาว่าน่ารังเกียจ
เด็กน้อยเงียบกริบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง “ถ้างั้นพี่ปลานิลก็เหมือนผมน่ะสิ”
“เอ๋? เหมือน” เธอออกจะร่าเริงขนาดนี้ เข้าหาคนอื่นได้ง่ายดายขนาดนี้ จะเหมือนเขาได้ยังไง
“ถ้าพี่กลัวพี่สาวของพี่ล่ะก็ ผมจะปกป้องพี่เอง”
ตะวันทำท่าเป็นฮีโร่ปกป้องความชั่วร้าย ทำให้ธานินทร์หัวเราะออกมา “ทำไมถึงอยากปกป้องพี่ล่ะ เราน่ะตัวเล็กกว่าพี่ซะอีก”
“ก็เพราะผม....เป็นน้องชายของพี่ไงล่ะ”
ธานินทร์มองตาปริบๆ
“พี่น้องกันก็ต้องปกป้องกันไม่ใช่เหรอ?”
เช้าวันต่อมา
ในคาบพละอันแสนร้อนระอุ ธานินทร์วิ่งมาหลบแดดพักเหมือนในที่ร่มข้างตึกระหว่างคาบ ก่อนจะรีบเช็ดเหงื่อตัวเองออกไป ...
“ร้อนชะมัด..”
กุกกัก กุกกัก
“หืม?” ธานินทร์เงยหน้ามองตามเสียงก็เจอะกับดวงตากลมโตใสแป๋วจ้องมองเขาเขม็ง
เจ้าของดวงตากลมโตนั้นจ้องตอบธานินทร์ก่อนจะแก้มป๋องอย่างน่ารักน่าชัง
“พี่คือคนดูแลตะวันสินะ”
“ตะ..ตะวัน? อื้ม ใช่แล้วล่ะ” พอเขาตอบ เด็กสาวคนนั้นก็โดดลงมาจากตึกมาเหยียบพื้นหญ้า “มันอันตรายนะครับ แบบนั้น”
“หนูชื่อแพททริเซีย พี่ล่ะ?”
“ธานินทร์ครับ”
แพททริเซียเป็นเด็กผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลมันเป็นแกละสองข้าง เธอใส่ชุดกระโปรงระบายดูน่ารักเหมาะสมกับวัย ดูจากวัยแล้วอายุมากกว่าตะวันมาก
ถ้าจำไม่ผิดเธออยู่ในความดูแลของผอ.นรินทร์
ธานินทร์นึกถึงกิตติศัพท์ที่ได้ยินมาของเด็กสาวแสนเกรียนคนนี้ก็อดที่จะสงสารผอ.ที่ต้องดูแลเด็กซนอย่างเธอ
“เอ่อ..มาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ น้องน่าจะอยู่ที่ห้องผอ.ไม่ใช่เหรอ”
“หนีออกมา”
“เอ่อ...ครับ” เป็นเด็กแสบพอตัวเลยสินะ ธานินทร์คิดในใจ “ถ้างั้นพี่พาไปส่งนะ เดินป่วนเปี้ยนในโรงเรียนคนเดียวแบบนี้เดี๋ยวหลงทางเอานะครับ”
แพททรีเซียไม่ตอบแต่ก็ยื่นมือมา
“ครับ?”
“จับมือไงล่ะ” แพททรีเซียตอบ “ถ้าจะพาไปส่งก็จับมือกัน ผอ.ก็ทำแบบนั้นกับหนูบ่อยๆ”
ธานินทร์ ยื่นมือที่สวมถุงมือไปหาเด็กสาวช้าๆไม่ทันใจเด็กสาว เธอจึงดึงมือร่างสูงเดินตามเข้าไปให้อาคารเรียนที่เงียบสงัดเพราะยังอยู่ในคาบเรียนกันอยู่
“ว่าแต่น้องแพท รู้ได้ไงว่าพี่เป็นคนดูแลตะวัน”
“แอบอ่านเอกสารบนโต๊ะในห้องธุรการ” แพททรีเซียตอบ
แก่นจริงๆเด็กคนนี้
“พี่อย่าเกลียดตะวันเลยนะ”
“ครับ?”
ทั้งคู่เดินช้าลง เดินเลียบไปตามระเบียงทางเดินที่เงียบสงัด แล้วเด็กสาวก็เริ่มเล่า
“ตะวันเป็นเด็กที่น่าสงสารนะ ถึงจะซนไปบ้าง เป็นเขาก็เป็นเด็กดีมากๆเลย เขาเอาใจใส่คนรอบข้างเสมอ” เด็กสาวเล่าเรื่องด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ก่อนที่เขาจะมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ เขาถูกพ่อแม่แท้ทำร้ายร่างกายจนมีแผลเต็มตัวไปหมด ตะวันน่ะเป็นคนที่ภายนอกดูเข้มแข็งมากนะ แต่จริงๆแล้วเขาอ่อนไหวกว่าที่เห็นนะคะ”
ที่บอกว่าเราเหมือนกับเขา ตรงจุดนี่สินะ
“อา ...พี่เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะแพท ถึงห้องผอ.แล้วล่ะ”
เด็กสาวหันไปมองหน้าประตูห้องก่อนจะยิ้มให้กับธานินทร์ “ขอบคุณมากนะคะ พี่ฮันนี่”
“ห๊ะ?” ฮะ...ฮันนี่?
แพททรีเซียยิ้มกว้างก่อนะเปิดประตูเข้าห้องไป
“แพทครับ หายไปไหนมา ผมเป็นห่วงแทบแย่” พอเปิดประตูก็มีเสียงผอ.แว่วเออกมา
“แบร่ ผอ. จะไปรู้อะไร”
ธานินทร์ได้ยินเสียงกวนโอ๊ยของเด็กสาวก็หลุดขำออกมา แล้วเขาหันหลังเดินกลับไปคาบเรียนตัวเองอย่างเงียบๆ
ตกดึก
“วันนี้เด็กที่ชื่อแพททรีเซียเล่าเรื่องของตะวันให้พี่ฟังด้วยล่ะครับ ตะวัน” ธานินทร์เอ่ยขึ้นขณะที่ตะวันกำลังเต้นตามเพลงของบียอนเซ่ (?)
“ยัยแพท ยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว” ตะวันเบ้ปากงอนตุ้บป่อง
มีเขินซะด้วย
“ตะวันอยากเป็นฮีโร่ของทุกคนใช่ไหม”
“อื้ม! อยากให้ทุกคนมีความสุข รวมทั้งปลานิลด้วย”
“ผมชื่อธานินทร์ครับ ตะวัน”
นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ทั้งเขาและตะวันต่างเปิดใจให้กันมากขึ้นเรื้อยๆ เพราะความที่เขาสองคนมีอดีตที่คล้ายกันก็เป็นได้ จึงทำให้ทั้งสองดูสนิทมากขึ้น และตะวันก็ดูสะอาดมากกว่าวันแรกๆอีกด้วย
และแล้วก็มาถึงวันสุดท้าย ....วันตรวจสุขภาพของตะวันวันสุดท้าย...
วันนี้เป็นวันที่ตะวันต้องฉีดวัคซีน ธานินทร์พาเด็กน้อยมาต่อแถวรอ ผ่านไปนานเรื้อยทั้งสองก็เห็นเด็กแต่ล่ะคนที่โดนฉีดวัคซีนร้องไห้จ้ากันออกมาเต็มไปหมด
เขามองเด็กที่อยู่ความดูแลของตัวเอง
“ตะวันกลัวไหมครับ เข็มฉีดยา”
“ไม่กลัวหรอก ฮีโร่ที่ไหนกลัวเข็มกัน”
ตะวันยิ้มแป้นให้ธานินทร์ และพอถึงคิวของตะวัน เด็กน้อยขึ้นไปนั่งบนเตียงพยาบาลถกแขนเสื้อเป็นเชิงว่าพร้อมแล้ว
“เจ็บนิดหน่อยนะค่ะ น้องตะวัน” พยาบาลสาวบอก พร้อมหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา
ตะวันมองเข็มฉีดยาสลับกับธานินทร์ พร้อมหน้าซีดเผือด
“ปลานิล...” เขาร้องเสียงอ๋อย
“ไม่เจ็บหรอกครับ ตะวัน”
“แต่เขาบอกเจ็บนิดหน่อยนะ”
“มะ..ไม่หรอกครับ”
พอนางพยาบาลเอาเข็มมาใกล้ๆตะวัน เด็กน้อยก็รีบเกาะเอวธานินทร์ไว้ แล้วร้องโวยวาย “กริ๊ดดดดดดดดดด ปลานิลลลลล ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยย”
แล้วนางร้องลั่นกว่าทุกคนที่ผ่านการฉีดวัคซีนในวันนี้เกือบทั้งหมด
คืนก่อนที่ตะวันจะกลับสถานสงเคราะห์ ธานินทร์ได้ชวนตะวันดูหนังฮีโร่เรื่องกัปตันอเมริกาด้วยกัน แล้วพอดูจบทั้งสองคนก็พล่อยหลับไป
วันกลับสถานสงเคราะห์
ธานินทร์จูงมือตะวันพามาส่งหน้าโรงเรียนที่มีเด็กเล็กส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเต็มไปหมด ตะวันบีบมือเขาแน่นมองเขาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“จะไม่ได้เจอปลานิลอีกแล้วเหรอ?”
ธานินทร์ย่อตัวลงให้เท่ากับระดับของตะวัน ก่อนจะลูบหัวเด็กน้อย “ต้องได้เจออีกแน่ๆครับ ผมสัญญา”
“เมื่อไหร่...”
“เรื่องนั่นผมก็ไม่รู้ครับ แต่ว่าถ้าคิดถึงผมล่ะก็...” เขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าตัวเอง มันคือหมวกลายการ์ตูนใบใหม่ “รักษาเจ้าสิ่งนี้ดีๆล่ะกันนะ”
ตะวันรับมันมาก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “อื้ม ผมจะรักษามันอย่างดีเลย”
งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา แต่ความทรงจำที่ทำร่วมกันนั้นไม่เคยจางหายไป...
เมื่อเด็กๆต่อแถวขึ้นรถกันเรื่อยๆ ธานินทร์ยืนโบกมือลาเด็กน้อยพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ
“ปลานิล!!”
“คะ..ครับ” เขาขานรับอย่างเขินๆ เมื่อเพื่อนๆของเขาพอได้ยินชื่อที่ตะวันตั้งให้กลับขำแล้วหัวเราะออกมา
“ผมว่านะ...พี่น่ะ เป็นพี่ชายที่ดีมากเลยล่ะ” ตะวันโบกมืออย่างสุดฤทธิ์แล้วก็ขึ้นรถไป
แล้วรถของสถานสงเคราะห์ก็แล่นออกจากโรงเรียนควินท์แห่งนี้ไปจนลับตา
“ปลานิลเหรอ ชื่อน่ารักดีนะ”
“คุณปักษ์ครับ ผมไม่ตลกด้วยนะ” ถึงพูดไปอย่างนั้นแต่เขาก็อมยิ้มเบาๆ
หวังว่าตะวันจะเป็นฮีโร่ของทุกคนได้นะครับ ...
B. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม 80% ขึ้นไป
“ต้องไปรับเด็กที่ห้องธุรการ เอ...” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง พลางอ่านคำสั่งในกระดาษเอสี่สีขาว ที่บอกให้ไปที่ห้องธุรการเพื่อรับเด็กมาดูแล
ตึกตัก.. ตึกตัก..
ระหว่างที่เดินไปตามทางเดิน ธานินทร์ตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อคิดว่าจะได้พบกับเด็ก ซึ่งเขาไม่มีความรู้ด้านการเลี้ยงเด็กเลยซักนิด
จะว่าเขายังเป็นเด็กผู้ชายอายุ 13 เท่านั้นเอง ก็ยังเป็นเด็กอยู่นี่นะ แล้วเราจะเลี้ยงน้องเขาไหวงั้นเหรอ? ยิ่งเราเป็นโรคไม่ถูกกับเชื้อโรคอีกด้วย
หวังว่าจะไม่เป็นเด็กที่ซน ชอบเลอะนู่น เลอะนี่ ก็ยังดี
มีหวังเขาจิตตกแหงๆ
พอเด็กหนุ่มเดินมาถึงห้องธุรการก็เข้ามาพบกับคุณรัตติกาล ก่อนจะยื่นเอกสารรับเด็กให้เลขาผู้อำนวยการสาวสวย
“ชื่อตะวันสินะ วิ่งเล่นอยู่ด้านในเลยจ๊ะ เด็กที่ใส่หมวกคนนั้นไง” คุณรัตติกาลชี้ให้ธานินทร์ดู
เด็กชายตัวเล็กสวมหมวกโดดเด่นมาแต่ไกลด้วยเสียงหัวเราะแสนร่าเริง วิ่งเล่นกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน
“ซนใช่เล่นพอๆกับยัยแพทเลยนะ” เลขาสาวพึมพำข้างกายเขา ก่อนนะเดินไปเรียกเด็กชายที่ชื่อตะวัน
ธานินทร์ยืนนิ่งค้างตึง เขาไม่กล้าเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นเลยสักนิด ไม่ใช่ว่าเขากลัวเด็กหรอกนะ แต่ว่า....
เด็กคนนี้ ...สกปรก มอมแมมที่สุด
และแน่นอนไม่ถูกกับคนที่เป็นโรคไมโซโฟเบียอย่างเขาเลย
“อา...เราเริ่มมองเห็นอนาคตใน 20 วันนี้ซะแล้วสิ” เขาพึมพำอย่างจิตตก
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ธานินทร์เรื้อยๆ จนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้า ตะวันเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าธานินทร์ (แน่นอนสิ)
สวมเสื้อเชิ้ตสีเหลืองมีฮู้ดมีรอยเปื้อนดินหลายจุด ทั้งกางเกงและรองเท้าผ้าใบก็เช่นกัน และเขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้มีแผลเป็นหลายจุด ทั้งรอยยาวและรอยไหม้เป็นวงๆ
“พี่คือคนที่จะมารับผมไปอยู่ด้วยสินะ” เด็กชายถาม
“ชะ..ใช่ครับ พี่ชื่อธานินทร์ครับ”
“ปลานิล?” ตะวันเลิกคิ้ว “คนอะไรชื่อปลานิล”
“ชะ ชื่อธานินทร์ครับ ไม่ใช่ปลานิล”
“พี่ปลานิล”
ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จำผิดไปซะแล้วสิ
- ภาพปลากรอบ:
“โทษทีนะจ๊ะ ธานินทร์ ดูเหมือนว่าจะมีคนรับเด็กคนสุดท้ายไปแล้วล่ะจ๊ะ”
เพราะเหตุนั่น เขาจึงต้องอดทนดูแลตะวันแสนซนต่อไปหลายวัน
“เหมือนพี่ชายกับน้องชายเลยเนอะ”
“ครับ?”
“นายกับตะวันไง” ปักษ์เพื่อนร่วมชั้นธานินทร์เอ่ยขึ้น “นายคอยดูแลตะวันเหมือนพี่ชายคอยดูแลน้องชายเลย”
“คุณปักษ์ก็เหมือนกันครับ ผมว่า”
“สลับกันมากกว่า” เขาตอบ “ผู้การนะ เหมือนพี่ชายฉันซะมากกว่า”
ธานินทร์หัวเราะ ก่อนจะคิดถามตัวเองในใจ
พี่น้องงั้นเหรอ?
เราฝังใจเรื่องพี่น้องตัวเองมาตลอด บางทีการที่มองแผ่นหลังของตะวันก็เหมือนมองตัวเองวัยเด็กๆวิ่งเล่นโดยมีพี่สาวคอยวิ่งระวังตามหลัง
“นี่ๆ ปลานิล”
ตะวันร้องเรียกในขณะที่ธานินทร์กำลังอาบน้ำให้เด็กน้อย เขาไม่ขานรับกำลังง่วนสระผมให้กับเด็กน้อยอยู่
“นี่!”
“คะ ครับ มีอะไรเหรอ ตะวัน ฟองเข้าตาเหรอ”
ตะวันเบ้ปากไม่พอใจใส่พี่เลี้ยงตนที่เหม่อลอยสระผมให้เขา “ปลานิลสระผมให้ผมมานานมากกกกกกกกแล้วนะ”
“เอ๋? แต่ว่า ยังไม่สะอาด—“
“ไม่เอาแล้ว ผมหนาว”
นิสัยรักสะอาดของปลานิลผู้หวาดกลัวเชื้อโรคเป็นสิ่งที่ตะวันไม่ชอบมากเลยสินะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็พากันแต่งตัว และเข้าหอพัก ตะวันโดดลงเตียงของธานินทร์อย่างร่าเริง ส่วนธานินทร์กลับเดินไปที่โต๊ะทำงานตนแล้วเริ่มทำการบ้าน
“นี่ ปลานิล”
“ครับ?” เขาขานรับแต่ไม่ได้หันไปหา
“ปลานิลเป็นโรคอะไรเหรอ?”
เขาหันไปมองเด็กน้อยบนเตียง “ว่าอะไรนะครับ?”
“ก็ในโรงเรียนนี่นะ ผมเป็นมีแต่คนประหลาดๆทั้งนั้นเลย”
“ประหลาด ยังไงเหรอครับ?”
“ก็ บางคนไม่มีแขน บางคนมองไม่เห็น แต่ปลานิลไม่เห็นเหมือนพวกเขาเลยนี่” ตะวันตอบอย่างสงสัย
ดูภายนอกเราก็เหมือนคนปกติสินะ
“ผมเป็นโรคพิการภายในครับ จะว่าจิตใจของผมไม่สมประกอบเหมือนคนปกติทั่วไปนะครับ”ธานินทร์ตอบ “ตอนเด็กๆ อายุเท่าตะวัน ผมถูกพี่สาวทำร้ายครับ”
ทำร้ายทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ
“พี่สาวงั้นเหรอ? ปลานิลมีพี่สาวด้วยเหรอ?”
เขาพยักหน้า “สองคนครับ แต่พวกเขาเป็นคนปกติต่างจากพวกเรา”
“ปลานิลโดนพี่สาวทำร้ายยังไง แล้วปลานิลเป็นอะไรไหม?” ดวงตาของตะวันฉายแววเป็นห่วงธานินทร์อย่างสุดฤทธิ์ จนธานินทร์อดอึ้งไม่ได้
“ผม...เป็นโรคกลัวเชื้อโรคครับ มันค่อนข้างซับซ้อน แต่ว่าถ้าเปื้อนอะไรนิดหน่อยผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้”
มันฝังใจ ที่โดนกล่าวหาว่าน่ารังเกียจ
เด็กน้อยเงียบกริบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง “ถ้างั้นพี่ปลานิลก็เหมือนผมน่ะสิ”
“เอ๋? เหมือน” เธอออกจะร่าเริงขนาดนี้ เข้าหาคนอื่นได้ง่ายดายขนาดนี้ จะเหมือนเขาได้ยังไง
“ถ้าพี่กลัวพี่สาวของพี่ล่ะก็ ผมจะปกป้องพี่เอง”
ตะวันทำท่าเป็นฮีโร่ปกป้องความชั่วร้าย ทำให้ธานินทร์หัวเราะออกมา “ทำไมถึงอยากปกป้องพี่ล่ะ เราน่ะตัวเล็กกว่าพี่ซะอีก”
“ก็เพราะผม....เป็นน้องชายของพี่ไงล่ะ”
ธานินทร์มองตาปริบๆ
“พี่น้องกันก็ต้องปกป้องกันไม่ใช่เหรอ?”
เช้าวันต่อมา
ในคาบพละอันแสนร้อนระอุ ธานินทร์วิ่งมาหลบแดดพักเหมือนในที่ร่มข้างตึกระหว่างคาบ ก่อนจะรีบเช็ดเหงื่อตัวเองออกไป ...
“ร้อนชะมัด..”
กุกกัก กุกกัก
“หืม?” ธานินทร์เงยหน้ามองตามเสียงก็เจอะกับดวงตากลมโตใสแป๋วจ้องมองเขาเขม็ง
เจ้าของดวงตากลมโตนั้นจ้องตอบธานินทร์ก่อนจะแก้มป๋องอย่างน่ารักน่าชัง
“พี่คือคนดูแลตะวันสินะ”
“ตะ..ตะวัน? อื้ม ใช่แล้วล่ะ” พอเขาตอบ เด็กสาวคนนั้นก็โดดลงมาจากตึกมาเหยียบพื้นหญ้า “มันอันตรายนะครับ แบบนั้น”
“หนูชื่อแพททริเซีย พี่ล่ะ?”
“ธานินทร์ครับ”
แพททริเซียเป็นเด็กผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลมันเป็นแกละสองข้าง เธอใส่ชุดกระโปรงระบายดูน่ารักเหมาะสมกับวัย ดูจากวัยแล้วอายุมากกว่าตะวันมาก
ถ้าจำไม่ผิดเธออยู่ในความดูแลของผอ.นรินทร์
ธานินทร์นึกถึงกิตติศัพท์ที่ได้ยินมาของเด็กสาวแสนเกรียนคนนี้ก็อดที่จะสงสารผอ.ที่ต้องดูแลเด็กซนอย่างเธอ
“เอ่อ..มาทำอะไรแถวนี้เหรอครับ น้องน่าจะอยู่ที่ห้องผอ.ไม่ใช่เหรอ”
“หนีออกมา”
“เอ่อ...ครับ” เป็นเด็กแสบพอตัวเลยสินะ ธานินทร์คิดในใจ “ถ้างั้นพี่พาไปส่งนะ เดินป่วนเปี้ยนในโรงเรียนคนเดียวแบบนี้เดี๋ยวหลงทางเอานะครับ”
แพททรีเซียไม่ตอบแต่ก็ยื่นมือมา
“ครับ?”
“จับมือไงล่ะ” แพททรีเซียตอบ “ถ้าจะพาไปส่งก็จับมือกัน ผอ.ก็ทำแบบนั้นกับหนูบ่อยๆ”
ธานินทร์ ยื่นมือที่สวมถุงมือไปหาเด็กสาวช้าๆไม่ทันใจเด็กสาว เธอจึงดึงมือร่างสูงเดินตามเข้าไปให้อาคารเรียนที่เงียบสงัดเพราะยังอยู่ในคาบเรียนกันอยู่
“ว่าแต่น้องแพท รู้ได้ไงว่าพี่เป็นคนดูแลตะวัน”
“แอบอ่านเอกสารบนโต๊ะในห้องธุรการ” แพททรีเซียตอบ
แก่นจริงๆเด็กคนนี้
“พี่อย่าเกลียดตะวันเลยนะ”
“ครับ?”
ทั้งคู่เดินช้าลง เดินเลียบไปตามระเบียงทางเดินที่เงียบสงัด แล้วเด็กสาวก็เริ่มเล่า
“ตะวันเป็นเด็กที่น่าสงสารนะ ถึงจะซนไปบ้าง เป็นเขาก็เป็นเด็กดีมากๆเลย เขาเอาใจใส่คนรอบข้างเสมอ” เด็กสาวเล่าเรื่องด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ก่อนที่เขาจะมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ เขาถูกพ่อแม่แท้ทำร้ายร่างกายจนมีแผลเต็มตัวไปหมด ตะวันน่ะเป็นคนที่ภายนอกดูเข้มแข็งมากนะ แต่จริงๆแล้วเขาอ่อนไหวกว่าที่เห็นนะคะ”
ที่บอกว่าเราเหมือนกับเขา ตรงจุดนี่สินะ
“อา ...พี่เข้าใจแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะแพท ถึงห้องผอ.แล้วล่ะ”
เด็กสาวหันไปมองหน้าประตูห้องก่อนจะยิ้มให้กับธานินทร์ “ขอบคุณมากนะคะ พี่ฮันนี่”
“ห๊ะ?” ฮะ...ฮันนี่?
แพททรีเซียยิ้มกว้างก่อนะเปิดประตูเข้าห้องไป
“แพทครับ หายไปไหนมา ผมเป็นห่วงแทบแย่” พอเปิดประตูก็มีเสียงผอ.แว่วเออกมา
“แบร่ ผอ. จะไปรู้อะไร”
ธานินทร์ได้ยินเสียงกวนโอ๊ยของเด็กสาวก็หลุดขำออกมา แล้วเขาหันหลังเดินกลับไปคาบเรียนตัวเองอย่างเงียบๆ
ตกดึก
“วันนี้เด็กที่ชื่อแพททรีเซียเล่าเรื่องของตะวันให้พี่ฟังด้วยล่ะครับ ตะวัน” ธานินทร์เอ่ยขึ้นขณะที่ตะวันกำลังเต้นตามเพลงของบียอนเซ่ (?)
“ยัยแพท ยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว” ตะวันเบ้ปากงอนตุ้บป่อง
มีเขินซะด้วย
“ตะวันอยากเป็นฮีโร่ของทุกคนใช่ไหม”
“อื้ม! อยากให้ทุกคนมีความสุข รวมทั้งปลานิลด้วย”
“ผมชื่อธานินทร์ครับ ตะวัน”
นับตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ทั้งเขาและตะวันต่างเปิดใจให้กันมากขึ้นเรื้อยๆ เพราะความที่เขาสองคนมีอดีตที่คล้ายกันก็เป็นได้ จึงทำให้ทั้งสองดูสนิทมากขึ้น และตะวันก็ดูสะอาดมากกว่าวันแรกๆอีกด้วย
และแล้วก็มาถึงวันสุดท้าย ....วันตรวจสุขภาพของตะวันวันสุดท้าย...
วันนี้เป็นวันที่ตะวันต้องฉีดวัคซีน ธานินทร์พาเด็กน้อยมาต่อแถวรอ ผ่านไปนานเรื้อยทั้งสองก็เห็นเด็กแต่ล่ะคนที่โดนฉีดวัคซีนร้องไห้จ้ากันออกมาเต็มไปหมด
เขามองเด็กที่อยู่ความดูแลของตัวเอง
“ตะวันกลัวไหมครับ เข็มฉีดยา”
“ไม่กลัวหรอก ฮีโร่ที่ไหนกลัวเข็มกัน”
ตะวันยิ้มแป้นให้ธานินทร์ และพอถึงคิวของตะวัน เด็กน้อยขึ้นไปนั่งบนเตียงพยาบาลถกแขนเสื้อเป็นเชิงว่าพร้อมแล้ว
“เจ็บนิดหน่อยนะค่ะ น้องตะวัน” พยาบาลสาวบอก พร้อมหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา
ตะวันมองเข็มฉีดยาสลับกับธานินทร์ พร้อมหน้าซีดเผือด
“ปลานิล...” เขาร้องเสียงอ๋อย
“ไม่เจ็บหรอกครับ ตะวัน”
“แต่เขาบอกเจ็บนิดหน่อยนะ”
“มะ..ไม่หรอกครับ”
พอนางพยาบาลเอาเข็มมาใกล้ๆตะวัน เด็กน้อยก็รีบเกาะเอวธานินทร์ไว้ แล้วร้องโวยวาย “กริ๊ดดดดดดดดดด ปลานิลลลลล ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยยยย”
แล้วนางร้องลั่นกว่าทุกคนที่ผ่านการฉีดวัคซีนในวันนี้เกือบทั้งหมด
คืนก่อนที่ตะวันจะกลับสถานสงเคราะห์ ธานินทร์ได้ชวนตะวันดูหนังฮีโร่เรื่องกัปตันอเมริกาด้วยกัน แล้วพอดูจบทั้งสองคนก็พล่อยหลับไป
วันกลับสถานสงเคราะห์
ธานินทร์จูงมือตะวันพามาส่งหน้าโรงเรียนที่มีเด็กเล็กส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเต็มไปหมด ตะวันบีบมือเขาแน่นมองเขาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“จะไม่ได้เจอปลานิลอีกแล้วเหรอ?”
ธานินทร์ย่อตัวลงให้เท่ากับระดับของตะวัน ก่อนจะลูบหัวเด็กน้อย “ต้องได้เจออีกแน่ๆครับ ผมสัญญา”
“เมื่อไหร่...”
“เรื่องนั่นผมก็ไม่รู้ครับ แต่ว่าถ้าคิดถึงผมล่ะก็...” เขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าตัวเอง มันคือหมวกลายการ์ตูนใบใหม่ “รักษาเจ้าสิ่งนี้ดีๆล่ะกันนะ”
ตะวันรับมันมาก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “อื้ม ผมจะรักษามันอย่างดีเลย”
งานเลี้ยงย่อมมีการเลิกรา แต่ความทรงจำที่ทำร่วมกันนั้นไม่เคยจางหายไป...
เมื่อเด็กๆต่อแถวขึ้นรถกันเรื่อยๆ ธานินทร์ยืนโบกมือลาเด็กน้อยพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ
“ปลานิล!!”
“คะ..ครับ” เขาขานรับอย่างเขินๆ เมื่อเพื่อนๆของเขาพอได้ยินชื่อที่ตะวันตั้งให้กลับขำแล้วหัวเราะออกมา
“ผมว่านะ...พี่น่ะ เป็นพี่ชายที่ดีมากเลยล่ะ” ตะวันโบกมืออย่างสุดฤทธิ์แล้วก็ขึ้นรถไป
แล้วรถของสถานสงเคราะห์ก็แล่นออกจากโรงเรียนควินท์แห่งนี้ไปจนลับตา
“ปลานิลเหรอ ชื่อน่ารักดีนะ”
“คุณปักษ์ครับ ผมไม่ตลกด้วยนะ” ถึงพูดไปอย่างนั้นแต่เขาก็อมยิ้มเบาๆ
หวังว่าตะวันจะเป็นฮีโร่ของทุกคนได้นะครับ ...
- ภาพปลากรอบ:
B. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับยอดเยี่ยม 80% ขึ้นไป
- A - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม
สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็น
ที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1.250,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's Comment:
- โอ้โห ภารกิจเขียนชิ้นแรกของธานินท์ ทำเอายิ้มไม่หุบตั้งแต่
ต้นจนจบเลยครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความน่ารักของตะวันหรือ
เป็นเพราะเคมีที่ดูไม่ตรงกันของตะวันและธานินท์ บางทีอาจ
จะรวมความเกรียนของยัยแพทเข้าไปอีกหน่อย ทำให้งาน
เขียนชิ้นนี้ดูเฮฮาปาจิงโกะมากแม้แทบจะไม่มีการเล่มมุข
แบบจงใจเลย ก่อนอื่นเลยต้องขอชมเรื่องการเข้าถึงตัว
ละครของตะวันได้ลึก และนำเสนอตะวันได้อย่างน่ารัก
น่าเอ็นดู แถมยังใช้ตะวันในการเล่าสะท้อนกลับไปหา
อดีตของตัวธานินท์ได้อย่างแนบเนียนสมบูรณ์แบบ
เขาบอกว่าการเขียนบทที่ลึกซึ้งที่สุดคือการเล่าเรื่อง
ของตนเองผ่านตัวผู้อื่น ซึ่งธานินท์และตะวันเล่าเรื่อง
ของกันและกันสะท้อนผ่านตัวตนอีกฝ่ายได้ดีมาก
ไม่ใช่แค่ฮา แต่ยังมีสาระและได้รู้จักตัวละครมากขึ้นด้วย
ผมไม่คิดว่าจะมีใครเล่นตะวันได้ดีเท่าคุณอีกแล้ว
ขอชมเชยจริงๆครับ
ปล. ได้ A เพราะเผารูปส่งนะครับ ไม่งั้น S ไปแล้ว
- peemung
Phee
อาจารย์เกษตรกรรม
3537
+675 M 108 K 756
PASSPORT
:
(3060/20000)
:
Re: Lesson 21 : In your care
Tue 30 Jun 2015, 23:54
- แรกพบสบตา:
เดือนนี้ทางโรงเรียนมีโครงการให้เด็กๆจากสถานสงเคราะห์มาตรวจสุขภาพพร้อมทั้งเลี้ยงดูตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน จนถึงสิ้นเดือน และผู้ที่จะมาคอยดูแลเด็กๆเหล่านี้คือคณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนักเรียนส่วนหนึ่งที่ทางโรงเรียนคัดเลือกมาโดยเห็นว่ามีความรับผิดชอบพอที่จะดูแลเด็กได้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้..ไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย อย่างมากผมก็แค่เห็นเด็กๆวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวกันในโรงเรียนคงได้บรรยากาศที่ต่างไปก็เท่านั้น ..ผมก็คิดแบบนั้นนะ จนกระทั่ง...
“...อนันดา ภูมินทร์ แล้วก็พี พวกเธอมารับรายชื่อเด็กๆได้ตอนหลังจบคาบนะ” ครูประจำชั้นบอกระหว่างคาบโฮมรูมพร้อมส่งยิ้มกดดันให้ “ครูหวังว่าพวกเธอจะดูแลเด็กๆได้ดี สมกับความไว้วางใจที่พวกครูมีให้นะ”
ด้วยเหตุนี้ผม ภูมิ และดา เลยไปรับเด็กที่จะต้องดูแลที่ห้องธุรการกันตอนหลังเลิกเรียน ผมดูข้อมูลเด็กที่ครูประจำชั้นให้มา เป็นรูปเด็กน้อยอายุประมาณประถมต้น ผิวสีเข้ม แต่ผมกลับเป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับไข่มุกยาวถึงสะโพก พลิดไปหลังรูปก็มีเขียนบอกไว้ว่าชื่อน้องชีต้าห์ อยู่ชั้นป.2....มีแค่นั้นแหละฮะ ครูบอกว่าจะให้ค่อยๆเรียนรู้น้องจากการดูแลในแต่ละวันกันเอง จะได้สนิทสนมกันมากขึ้นด้วย
พอไปถึงห้องธุรการคุณรัตติกาล เลขาของผอ.ก็เช็คใบรายชื่อแล้วชี้เป้าให้เราไปรับน้องมาฮะ ภูมิไปหาเด็กฝรั่งคนหนึ่ง ที่ขาหายไปข้างแต่ก็ท่าทางร่าเริงสดใสเหมือนเด็กทั่วไป ดูแล้วน่าจะอายุพอๆกับน้องชีต้าที่ผมต้องดูแลเลย ส่วนเด็กของดายังเป็นทารกอยู่เลยฮะ กางเกงก็ลายปลา แถมยังนอนกอดตุ๊กตาปลา นี่ถ้าชื่อปลาด้วยผมคงไม่แปลกใจเท่าไหร่เลย (ผมมารู้ทีหลังว่าชื่อลูกปลาด้วยล่ะ เหมาะจริงๆเลยฮะ)
ผมเดินไปหาน้องชีต้าห์ เธอนั่งหันหลังให้อยู่ผมเลยสะกิดไหล่เธอเบาๆ น้องเขาสะดุ้งโหยงเลยฮะ พอหันมาเจอผมก็กระดึ๊บถอยหลังไปอีก2-3กระดึ๊บ ม..ไม่เห็นต้องกลัวผมขนาดนั้นเลยนะน้อง ;-;
ผมยิ้มให้แล้วเขียนใส่สมุดคู่กายไป
‘สวัสดี พี่ชื่อพี จะเป็นคนคอยดูแลน้องระหว่างทีน้องอยู่ที่นี่ตลอดทั้งเดือนนะ’
น้องเขาอ่านแล้วทำหน้าแปลกๆกับการเขียนสื่อสารของผม
‘ไม่ต้องกลัวนะ พี่ไม่ได้จะงับน้องนะ’ ผมรีบเขียนบอกเมื่อเห็นว่าน้องตั้งท่าจะกระดึ๊บหนีอีก ‘ไม่เชื่อก็ถามพี่คนนี้ได้เลย’
ผมเห็นพี่แคลมาพอดีเลยลากเธอมายืนยันความน่ารักของผม สงสัยจะเป็นด้วยออร่าความใจดีและร่าเริงที่แผ่ออกมาจากตัวพี่เขาทำให้น้องเขาดูไว้ใจเธอมากกว่าผมเสียอีก
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะคนดี พี่พีเขาใจดี ไม่ต้องกลัวไปนะ” น่ารักด้วยสิฮะ พี่ลืมไปได้ไง พี่แคลส่งสายตาเอือมมาใส่ผมแวบหนึ่งแล้วหันไปยิ้มกล่อมน้องต่อ
ชีต้าห์ลังเลอยู่หน่อย แต่สุดท้ายก็ยอมกลับหอกับผมจนได้ ดูเหมือนจะยังกลัวๆผมอยู่เลย ช่วยไม่ได้แฮะ สำหรับเด็กแล้วคนที่เอาแต่เขียนสื่อสารคงดูแปลกพิลึก ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ แถมผมยังมนุษยสัมพันธ์ไม่ได้ดีอะไรด้วย พอต้องดูแลเด็กที่ท่าทางเงียบๆขี้กลัวแบบนี้แล้วคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอนเลย
ระหว่างเดินกลับหอ ผมสังเกตุว่าชีต้าห์มักกำชายกระโปรงไว้เสมอ น้องเขาเป็นเด็กขี้กลัวขี้อาย จริงๆก็ไม่ได้ต่างจากผมในตอนแรกมากนัก ผมเลยพอเข้าใจความรู้สึกของเธอ ผมยืนมือให้เธอแล้วบอกไปว่ามาจับมือพี่ก็ได้นะ พร้อมโปรยรอยยิ้มพิมพ์ใจที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดแล้วไปให้ แต่ดูน้องเขาจะกลัวที่จะจับมือคนอื่นเลยมาจับชายเสื้อผมแทน ผมเองก็ไม่อยากฝืนใจอะไรเธอมาก เดี๋ยวจะกลัวจนวิ่งหนีไป ยิ่งชื่อชีต้าห์ด้วย ท่าทางจะต้องวิ่งเร็วมากแน่ๆเลยล่ะ
- แต่เราสองคนจับมือกัน ยอมรับและเข้าใจ:
ชีต้าห์ดูไม่ชอบผมของตัวเองเอามากๆ
ด้วยความที่เธอมีผมขาวตัดกับสีผิวที่เข้มทำให้เธอดูเด่นมากและเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ยิ่งเป็นเด็กขี้ตื่นคนแบบนี้คงยิ่งรู้สึกไม่ดีสินะ ผมจำได้ว่าเคยถามน้องเขาอยู่เหมือนกันว่าทำไมผมถึงเป็นสีขาว แพ้สารอะไรหรือเปล่าผมจะได้เลี่ยงสารนั้น ชีต้าห์บอกว่าเธอเป็นโรคเซลล์เม็ดสีผมตายตั้งแต่เกิดก็เลยมีเส้นผมสีขาวตั้งแต่เด็กๆ
‘อย่าสนใจสายตาของคนอื่นเลยหน่า มีผมสวยๆแบบนี้ใครๆเขาก็สะดุดตาทั้งนั้นแหละ’ ผมพยายามปลอบใจน้อง แหม่ ผมเองก็ปลอบคนเป็นซะที่ไหนกันล่ะ มันก็เลยดูไม่ค่อยได้ผลนัก
“หนูเกลียดผมแบบนี้” ชีต้าห์เอ่ยขึ้น ผมถามไปว่าทำไมถึงไม่ชอบด้วยความอยากรู้ พีชรูมเมทผมนี่ตวัดสายตามาดุผมทันทีเลย แต่ก็ดูจะสายไปซะแล้ว
“มันทำให้คนอื่นรังเกียจหนู” ชีต้าห์พูดด้วยเสียงสั่นเครือก่อนจะเริ่มร้องไห้ “ที่พ่อแม่ยังทนไม่ไหวจนทิ้งหนูไว้ที่สถานสงเคราะห์เลย”
แล้วเธอก็ร้องไห้จ้าเลย ผมก็พยายามปลอบ จะหันไปหาตัวช่วยอย่างพีชก็ดันไม่อยู่เสียแล้ว สงสัยจะพาน้องญายะออกไปเดินเล่นข้างนอก สุดท้ายน้องก็ร้องไห้จนหลับไป
พอตกดึกชีต้าห์ตื่นขึ้นมา เธอลูบผมสีขาวบริสุทธิ์ของเธอ แววตาดูเศร้าหมอง ดูท่าทางจะยังคิดมากเรื่องผมตัวเองไม่หาย เห็นอย่างนั้นผมก็นึกอยากเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้ฟัง ผมเขียนเป็นภาพไว้ตอนที่น้องหลับไป
'นอนไม่หลับหรอ เดี๋ยวพี่เล่านิทานให้อ่านดีมั้ย'
น้องเขาพยักหน้าเป็นการตอบรับ- นิทาน ลูกเป็ดขี้เหร่:
'รู้มั้ยว่าไข่ที่ออกมาเป็นตัวอะไร'
"..เป็ด"
'ใช่แล้ว ไข่ที่ฟักออกมาย่อมเป็นเหล่าลูกเป็ดน่ารักๆ..'
"น้องเป็ดผิดตรงไหนที่ขี้เหร่ เกลียดกันทำไม" ชีต้าห์แย้งขึ้นด้วยความไม่พอใจ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลริน ผมเลยปลอบเธอไปหน่อยก่อนจะเล่าต่อ
'ทายซิว่าน้องเป็ดเราเห็นอะไร'
ชีต้าห์ทำหน้างงไปสักพักก็ตอบมาว่า "เป็ดโตขี้เหร่"
ผม...ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการกลั่นไม่ให้ขำคำตอบน้องเลยทีเดียว..
'เกือบถูกแล้วล่ะ...แต่ว่าที่มันเห็นไม่ใช่เป็ดขี้เหร่แล้วล่ะ'
คราวนี้ผมจะไม่ทำพลาดเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว ผมเสิร์จเน็ตหาวิธีปลอบเด็ก เขาบอกว่าเด็กๆต้องการการสัมผัส ต้องการความอบอุ่น ผมเลยยิ้มแล้วลูบหัวน้องเขาอย่างแผ่วเบาไม่ให้น้องกลัว กุมมือเธอเอาไว้ไม่ปล่อยจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น ให้น้องเขารู้สึกอบอุ่น รู้สึกว่ายังมีคนอยู่ข้างๆนะไม่ทิ้งไปไหน
'เห็นมั้ยว่าถึงเราจะแตกต่างกับคนอื่น แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่คิดไปเอง น้องหงส์เราที่ถูเจ้าพวกเป็ดรังเกียจก็เพราะแค่ว่ามันแตกต่าง แต่ดูสิ สุดท้ายแล้วน้องหงส์เราก็ได้เจอคนที่ยอมรับในตัวมัน ได้พบกับความสุขที่แท้จริง' ผมสรุปข้อคิดที่ได้ตามความเข้าใจของผม 'เพราะงั้นอย่าไปใส่ใจคำพูดที่มาทำร้ายเราเลยนะ พี่ว่าผมของเธอน่ะขาวบริสุทธิ์อย่างกับไข่มุก สวยมากเลยล่ะ'
แล้วก็คว้าเอาแป้งมาเทใส่หัวตัวเองจนขาววอก แน่นอนว่าผมต้องส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้อีกตามเคย ‘นี่ไง เรามาหัวขาวไปด้วยกันนะ’
แล้วน้องเขาก็ขำออกมาจนได้ เธอเปลี่ยนจากกุมชายกระโปรงตัวเองมาจับแขนเสื้อผม...แล้วก็เอาไปเช็ดน้ำตาทิ้ง ขอบคุณนะที่ไม่สั่งน้ำมูกใส่ด้วย แล้วเธอก็ซุกหัวกับแขนผมอยู่อย่างนั้น
"..........อื้ม.."
ผมลูบหัวน้องไปพลาง จนกระทั้งน้องเขาผลอยหลับไปอีกรอบ แต่ครั้งนี้น้องเขาหลับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ได้ทำให้น้องสบายใจขึ้นผมเองก็ดีใจ คุ้มค่ากับที่เสื้อผมต้องเปื้อนน้ำตา น้ำมูก น้ำลาย ของน้องละฮะ
- นับเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุด แม้เป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆ:
หลังจากคืนที่ผมเล่านิทานให้น้องฟังไป น้องก็เริ่มเปิดใจกับผมมากขึ้น จากที่เงียบๆก็พูดมากขึ้น แถมยังให้ผมเรียกว่า ”น้องเสือ” เป็นชื่อเล่นได้ด้วยล่ะ และที่ผมดีใจมากคือ ไม่ว่าผมจะให้ จะเล่น จะทำอะไร น้องเขาก็ดูชอบใจไปเกือบทุกอย่างเลยล่ะฮะ มันทำให้ผมรู้สึกดีที่สามารถทำให้น้องมีความสุขได้
โชคดีที่น้องญายะที่พีชเป็นคนดูแลอายุใกล้เคียงกับน้องเสือของผม พอมาอยู่ห้องเดียวกันเลยเล่นด้วยกันได้ดี อย่างตอนที่ผมเปิดมินิซาลอน สระ ไดร์ กับชีต้า บางวันพีชก็พาน้องญายะมาร่วมแจมกันด้วย
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเปิดโดเรมอนให้น้องดูน้องเขาชอบจนติดงอมไปเลย มันเลยกลายเป็นกิจวัตรของพวกเราเลยล่ะฮะที่จะมานั่งดูโดเรมอนกัน ญายะเองก็มานั่งดูด้วยกันบ้าง บางวันก็ไประรานดูห้องชาวบ้านบ้าง
จริงๆผมเองก็กลัวน้องสายตาเสียอยู่เหมือนกันถ้าเอาแต่ดูทีวีเลยกำหนดเวลาดูอยู่ไม่ให้นานเกินไป และพยายามหากิจกรรมอื่นๆมาทำด้วย ว่างๆก็จับมาเล่นโยคะบ้าง ไปว่ายน้ำบ้าง ไปเดินเล่นบ้าง บางทีก็มานั่งอ่านหนังสือกัน ผมกับพีชชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วเลยมีหนังสือให้น้องๆเลือกอ่านอยู่ไม่น้อยเลยล่ะฮะ
พอผมมีน้องต้องดูแล ค่าใช้จ่ายต่างๆก็ตามมา อย่างน้อยก็ค่าข้าวนี่แหละฮะ ผมเลยมีมาตรการประหยัดเงินด้วยการทำอาหารกินเองที่หอบ้างแทนที่จะซื้อกินอยู่ตลอด จริงๆเวลาตังหมดผมก็ต้มมาม่ากินเอานะ แต่ครั้นจะให้น้องมานั่งซดมาม่าด้วยกันก็คงเสียสุขภาพกันหมด แล้วผมก็อาจโดนคุณรัตโบกเอาได้ โทษฐานเอาเด็กมาตรวจสุขภาพแต่ดันทำสุขภาพเด็กเสียซะเอง
บางวันน้องๆก็มาช่วยผมทำด้วย คงเป็นเพราะตอนแรกผมทำเองคนเดียวแล้วรสชาติไม่ถูกปาก น้องเสือเลยชวนพีชกับญายะมาเข้าครัวด้วยกัน อย่างกับเล่นพ่อแม่ลูกเลย จะติดตรงที่ไม่มีคุณแม่นี่แหละฮะ
ว่ากันว่าเวลามีความสุขจะรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็ว ผมใช้ชีวิตอยู่กับน้องอย่างลั้ลลาจนลืมดูปฏิทินไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็...วันที่ 30... หรือเอาให้ตรงประเด็นกว่านั้นคือรู้ตอนพีชมาปลุกผมแล้วบอกว่าวันนี้พวกน้องจะกลับสถานสงเคราะห์กันแล้วนั่นแหละ พอผมทำหน้าเหวอใส่พีชก็ทำท่าเหมือนอยากกระโดดงับหัวผม
ผมปลุกน้องมาอาบน้ำแต่งตัวตามปกติ เราก็ใช้ชีวิตยามเช้ากันตามปกติ จนกระทั่งผมพาชีต้าห์มาส่งห้องธุรการเป็นครั้งสุดท้าย แล้วน้องเขาก็เห็นคนอื่นๆบอกลากัน เธอก็ทำหน้าช็อกไปเหมือนเพิ่งรู้ว่าวันนี้ต้องกลับแล้ว..อา ไม่ใช่ผมคนเดียวสินะที่ลืม
“หนูต้องกลับแล้วจริงๆหรอ” นั่น...พูดมาจนได้ ผมก็อุตส่าห์เลี่ยงแล้วนะ ไอ้เรารึก็อยากจากกันแบบชิลๆ จะให้มาทำดราม่าปลอบเด็กอะไรก็ทำไม่เป็นหรอกนะ อย่านะ อย่าร้องไห้อย่างนั้นเซ่ คิดว่าน้องเป็นคนเดียวที่ช็อกหรอ ผมเองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี้เหมือนกันนะ เดี๋ยวปั๊ดร้องตามเลยนิ
‘ร้องไห้ขี้แยแบบนี้หมดสวยเลยนะ~’ ผมแซวน้องไม่อยากให้เธอเครียดแต่ดูเธอจะร้องหนักกว่าเดิมซะงั้น
‘เอาหน่าๆ ได้กลับบ้านแล้วไม่ดีใจหรอ’ แล้วผมก็พยายามเค้นสมองหาข้อดีของการกลับมาให้หมด ‘กลับไปก็ได้นอนเตียงกว้างๆแผ่หราได้สบายเลยนะ ไม่ต้องทำอาหารกินเองด้วย แถมยังได้วิ่งเล่นกับเพื่อนๆอย่างอิสระด้วยนะ ไม่ต้องมานั่งอุดอู้อยู่ในห้องแล้ว ไม่คิดว่ามันชิลดีหรอ’
“หนูมารบกวนพี่หรอค่ะ” เดี๋ยวววๆๆ ทำอิท่าไหนถึงตีความแบบนั้นไปได้ล่ะคร้าบบบ
‘พี่ไม่เคยคิดแบบนั้นสักหน่อย ถึงมันจะเป็นเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่วัน แต่พี่น่ะมีความสุขมากเลยนะที่ได้มาดูแลน้อง’
ผมปาดน้ำตาออกจากแก้มเธอเบาๆ ใบหน้าเธอยามเศร้าสร้อยมันช่างดูเปราะบางจนน่ากลัวว่าจะแตกสลายไปง่ายๆ
“หนู....คิดถึงพี่”
‘เราไม่ได้จะไปออกรบสักหน่อย เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกนั่นแหละ’
“จริงเหรอคะ”
‘อื้ม จริงสิ’
ผมพยายามปั้นหน้ายิ้มให้ดูร่าเริง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันเป็นยิ้มที่ออกเศร้ามากกว่า ชีต้าห์กอดผมไว้เหมือนจะรั้งไม่ให้ผมไป แต่น้องลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าคนที่จะไปน่ะ คือน้องนะ ไม่ใช่พี่ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยลูบหัวเธอเบาๆ นี่ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้ลูบหัวเธอแบบนี้ แล้วผมก็คิดอะไรได้
ผมแกะหนังยางที่มัดจุกออกแล้วเอามามัดจุดให้น้องแทน
‘ถ้าคิดถึงพี่ก็มัดจุกแบบนี้แล้วส่องกระจกนะ’ แล้วเธอจะเห็นทรงผมที่น่ารักที่สุดในโลก ‘ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ตัวแทนของพี่ก็ยังคงอยู่กับน้องนะ’
น้องมองผมเหมือนจะพูดอะไร ผมเลยเขียนบอกเธอไว้ก่อน ‘ไม่ต้องห่วง พี่ยังมีหนังยางสำรองอีกเพียบ’ พร้อมชูนิ้วโป้งให้เสริมความมั่นใจ
ชีต้าห์หลุดขำออกมานิดหน่อย แล้วก็กอดผมอีกครั้ง
“...ขอบคุณนะคะ...”
ในที่สุดคุณรัตพาเด็กๆขึ้นรถกลับสถานสงเคราะห์ไป สุดท้ายก็ต้องลากันจริงๆสินะ กิจวัตรต่างๆคงกลับมาเป็นเหมือนก่อน..ก่อนที่น้องๆจะมาก ต่อจากนี้ไปพอกลับถึงหอก็คงไม่มีน้องๆมานั่งเล่นอยู่ในห้อง ไม่มีซาลอนในห้องน้ำ ไม่มีคนมานั่งดูโดเรมอนด้วยกัน ไม่มีเด็กน้อยที่มาคอยช่วยทำอาหารกัน ไม่มีผมขาวๆที่นอนอยู่ข้างๆชวนหลอนตอนดึกๆ ไม่มีอีกแล้ว...
ยังคงเดินเตร่ๆไม่ยอมกลับหอ เดินไปตามทางที่เคยพาน้องมาเดินเล่น ตอนนี้ผมเอาหนังยางสำรองมาผูกจุกไว้เหมือนเดิมแล้ว บอกแล้วว่ามีสำรองฮะ
“กลับมาผูกจุกเหมือนเดิมแล้วแฮะ ไม่ได้ให้หนังยางน้องไปแล้วหรอ” พี่จิณณ์นั่นเอง ได้ทีก็แซวได้แซวดีเลยนะฮะ แหวนตัวเองก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกันน่ะแหละ แหม่
“พี..”
พี่เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วตบบ่าผมคล้ายจะปลอบใจ..
“นายไม่คิดบ้างหรอว่าน้องเขาอาจจะไม่ชอบมัดจุกก็ได้นะ”
.....
A. รางวัลสำหรับนักเรียนที่ทำภารกิจได้อยู่ในระดับเพอร์เฟ็ค 100%
- S - CLASS STAMP
[ STUDENT CLASS ONLY ]
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไปสำหรับนักเรียนเท่านั้น มีลักษณะเป็นดาวสีนิล
สุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp.จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็ค
เป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- Spirit Point +1,500,000
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
GOLDEN HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองคำแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทาง
โรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก
- Narin's Comment:
- อนุภาพและพลังงานของคนปิดเทอมนี่ช่างน่ากลัวจริงๆครับ..
งานอลังการงานสร้างบานตะทัยมากจนไม่รู้จะพูดยังไง
จริงๆสำหรับพีนี่ผมชอบการนำนิทานเรื่องลูกเป็ดขี้เหร่มาผูก
เรื่องเข้ากับชีต้าห์ตั้งแต่ตอนกิจกรรมแล้ว ไม่นึกว่าจะนำมา
ลงในภารกิจอีก แต่มันเป็นจุดแข็งมากจริงๆครับ นี่เล่นเล่า
พร้อมภาพประกอบเต็มยศครบเซ็ตด้วยแล้ว คอมโบแรงมาก
ถ้วยทองใบนี้ได้มาจากไอเดียการวาดภาพประกอบนิทานนะครับ
จริงๆภาพที่ผมชอบมากที่สุดในภารกิจนี้คือภาพตอนที่ชีต้าห์
นอนกอดแขนพี ให้ความรู้สึกเหมือนภาพประกอบหนังสือ
มากเลยครับ จริงๆแล้วผมจะประทับใจกับงานเขียนพีเป็น
พิเศษ แต่ภารกิจรอบนี้ต้องบอกว่างานภาพเองก็เด่นมาก
เด่นทุกชิ้นเลย ภาพที่นำห้องเรียนมาประกอบก็เข้าใจคิด
ใช่เล่นเช่นกัน
แต่ไม่ว่ายังไงจุดที่ประทับใจที่สุดในภารกิจนี้คงเป็นการที่
นำชีต้าห์ไปผูกกับนิทานจริงๆนั่นแหละครับ ตีคาแรคเตอร์
แตก นำจุดด้อยมาใช้เป็นจุดเด่น ประทับใจจุดนี้มากครับ
ปล.ที่บอกปลอบน้องไม่เก่งนี่ไม่จริงเลย หวานกันมากๆ
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|