สวัสดี! ผู้มาเยือน ยินดีต้อนรับสู่ Quaint School Community คอมมูโรงเรียนสำหรับผู้พิการ

Go down
avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 16 Nov 2014, 17:02
สวัสดีทุกคนที่ผ่านเข้ามาอ่านครับ
นี่คือนิยายเป็นตอนซึ่งผมกับจินตุงร่วมลงทุน(?)ทำขึ้นมา โดยจะพูดถึงกันและกันในแง่ของแต่ละคน
รวมไปถึงคนอื่นๆ และเรื่องซุบซิบๆ ในโรงเรียนในมุมมองของพวกเราด้วย

ติดตามอ่านกันด้วยนะครับ ^^

=================================================
Ein's Part
ตอนที่ 1 "ครั้งแรกที่เจอกัน"

ผมไม่ใช่คนพูดเก่งหรอก

คุณตาเป็นคนพาผมเข้าโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่มีชื่อว่า Quaint โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความพิการ
ทางด้านร่างกาย(หรืออาจจะรวมไปถึงจิตใจด้วย) ความรู้สึกแรกที่ผมย่างก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้คือ

'ได้กลิ่นของความสดใหม่และหรูหราอลังการ'


ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ นะ เพราะระหว่างที่กำลังลงทะเบียนเรียนตรงล็อบบี้ มีแอร์เย็นๆ อยู่ตลอด ที่บ้านผม
ไม่มีแอร์เลยนะครับ เบาะก็นุ่มดีด้วย แล้วเวลาเดินไปไหนมาไหนก็ไม่ยักกะรู้สึกถึงแดด แสดงว่าที่เดินๆ อยู่
เป็นทางเดินในร่มทั้งหมด แถมยังมีพนักงานที่คอยอำนวยความสะดวกอยู่ตลอดเลยด้วย

"สวัสดีครับ"

คุณพนักงานของโรงเรียนพาผมกับคุณตาไปยังห้องๆ หนึ่ง ผมได้ยินคุณพี่พนักงานแนะนำผู้ชายที่กล่าวทักทาย
ด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าเป็น 'ผู้อำนวยการของโรงเรียน' ผมได้ยินแค่เสียง ก็พอรู้ว่าน่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง น้ำเสียง
เวลาเขาพูดคุยกับคุณตาดูเป็นกันเองแต่มีความสุภาพอยู่ในที...แต่ผมสัมผัสได้ว่าเขามีออร่าของความขี้เล่น
มากกว่ามาดของผู้บริหารแหะ

"อืม...ตาบอดงั้นเหรอครับ? เหมือนผมเลย"

จู่ๆ ขณะที่คุณตากับผอ.กำลังคุยกัน ผอ.ก็เบนเรื่องที่คุยมาเป็นตัวผม ผมที่เหม่อๆ อยู่เพราะกำลังคิดอะไร
ไปเรื่อยเปื่อยก็เผยท่าทีเลิกลั่กเพราะดันถูกพูดถึงโดยไม่ทันตั้งตัว

"อะ...เอ่อ ครับ"
"คุณอิสราเป็นตั้งแต่เกิดเลยเหรอครับ?"

ผมนิ่งเงียบไปซักพัก ด้วยไม่แน่ใจว่าเขาถามคุณตาหรือว่าถามผม ในเมื่อคุณตาไม่ตอบ แสดงว่าเขากำลัง
ถามผมอยู่สินะ

"ผมเป็นตั้งแต่เกิดครับ"
"อย่างนั้นเหรอ คงลำบากมากเลยสินะ"
"เอ่อ...ไม่หรอกครับ"
"...เก่งจังเลยครับ"

ผมรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มที่มุมปาก ไม่ใช่ยิ้มขำหรืออะไรนะ แต่เป็นยิ้มที่เอ็นดูผม อืม...คงเอ็นดูมากๆ เลยด้วย
แล้วเขาก็หันกลับไปคุยเรื่องทั่วไปอีกนิดหน่อยกับคุณตาต่อ ซึ่ง ณ จุดๆ นี้ผมไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณตากับผอ.
กำลังคุยกันอีกต่อไป เพราะผมกำลังตั้งใจฟังเสียงที่อยู่ข้างนอกมากกว่า ผมเป็นคนที่ชอบฟังเสียงรอบๆ ตัวอยู่
แล้ว แต่ก็ได้แค่ฟังเฉยๆ หรอกนะ ไม่ค่อยมีความกล้าเข้าไปร่วมวงเท่าไหร่

ผมเข้าโรงเรียนหลังเปิดเทอมไปแล้วไม่นาน ฉะนั้นจึงมีคนที่เข้าโรงเรียนมาก่อนผมบ้างแล้ว ผมต้องเรียนอยู่ที่นี่
และต้องอยู่หอพักของโรงเรียน ผมตื่นเต้นมากๆ เกิดมา 13 ปีไม่เคยอยู่นอกบ้านนานๆ เลย จะเรียกว่าไม่ออกไป
ไหนเลยก็ได้ คุณตาที่ตอนแรกรู้ว่าหลานซึ่งตาบอดต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ คุณตาจับที่แขนผม
ให้ผมรู้ว่าเขากำลังต้องการคุยด้วย ผมได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำซึ่งบ่งบอกถึงความกังวล

"อยู่ได้ใช่มั้ยไอน์"
"ผมอยู่ได้ครับ"

คุณตาเงียบไปซักพัก ชั่วครู่ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกอดของคุณตา ตาเป็นคนตัวโต(แถมอ้วน)อยู่แล้ว เขาจึงกอดผม
ได้รอบตัว ผมกอดคุณตาตอบพร้อมกับซุกหน้าลงที่อกของคุณตา

"ตั้งใจเรียนนะ ได้เรียนสมใจแล้ว แล้วก็อย่าดื้อล่ะ ไม่มีคนมาคอยระวังให้แล้วนะ"
"ครับ"

ผมพูดทั้งๆ ที่หน้ายังซุกอยู่กับอกของคุณตา ขณะนั้นเสียงของพนักงานประจำเค้าน์เตอร์ส่วนของล็อบบี้ก็
ดังแทรกขึ้นมา

"คุณตาไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับ โรงเรียนของเราจะดูแลบุตรหลานของคุณตาให้ดีที่สุด วางใจได้เลยครับ"

หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้เข้าโรงเรียนแห่งนี้เต็มตัว ผมเพิ่งเคยเป็นนักเรียน อะไรๆ ก็ดูน่าสนใจไปหมด
ตั้งแต่ทางเดินในโรงเรียน เสียงเอะอะของเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน รวมไปถึงเครื่องแบบ เครื่องแบบที่นี่...
เหมือนชุดของโรงพยาบาลเลย แต่มันไม่มีกลิ่นฉุนๆ เหมือนยาแบบนั้นหรอกนะ
.
.
.
.
.
ตอนแรกที่เข้าอยู่หอผมยังไม่มีรูมเมท ไม่รูู้จักใครเป็นการส่วนตัวเลย... และวันนี้ก็เป็นวันหยุด แต่ตอนนี้ผม
กำลังหนักใจครับ

คือผมลืมวิธีผูกเนคไท

ไม่นะ...ทำไงดี มองก็ไม่เห็น รูมเมทก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่รู้จักซักคน เอายังไงดี ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย
ทำไมถึงลืมไปได้นะ หลังจากนั่งนิ่งๆ อยู่นาน ผมก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้า หยิบเอาไม้เท้าขาวประจำตัว
พร้อมเนคไทที่คุณพนักงานอำนวยความสะดวกเคยบอกผมตอนเข้าหอใหม่ๆ ว่าเป็นเนคไทสีขาวของเด็กม.1
เดินไปยังประตูห้อง แล้วตอนที่เปิดประตูออกไปนั้น ผมก็ได้ยินเสียงใครซักคนเดินผ่านหน้าผมไป
ไวเท่าความคิด ผมส่งเสียงเรียกพร้อมกับเอื้อมมือไปข้างหน้า

"ดะ-เดี๋ยวก่อน!"

ได้ผลครับ ผมคว้าเสื้อของอีกฝ่ายไว้ได้ ไม่รู้ว่าคว้าถูกตรงไหนแต่คงเป็นซักที่ของเสื้อแน่ๆ ผมเกิดอาการ
อึกอักขึ้นมาเพราะเก้อเขินที่จู่ๆ ก็ตะโกนเรียกแถมจับตัวคนที่ไม่รู้จักเอาไว้

"เอ่อ..."
"มีอะไรเหรอฮะ?"

สะ-เสียงเด็กผู้ชาย รุ่นเดียวกับผมแน่ๆ เลย น้ำเสียงกับการพูดไม่ได้ดูดุหรือโมโหอะไรด้วย ผมแอบถอนหายใจเบาๆ

"ผูก...ผูกเนคไทเป็นใช่มั้ย?"
"...อืม จะให้สอนเหรอฮะ?"
"ใช่ๆ ช่วยหน่อยสิ ดันลืมซะงั้นอ่ะ"

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ขยับตัวเล็กน้อย จากการกะตำแหน่งในตอนนี้ที่ผมจับเสื้อของเขาอยู่ เขากำลังขยับมาอยู่ที่
ด้านหน้าของผม

"มองไม่เห็น?"

เพื่อนผู้ชายคนนั้นส่งเสียงขึ้น ผมพยักหน้าตอบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงครางอืมๆ ในคอเบาๆ เขานิ่งเงียบไปซักพัก
ก่อนจะเอ่ยขึ้น

"จับดูตรงนี้นะ แล้วทำแบบนี้..."

แล้วเขาก็สอนผมอย่างใจเย็นเลยครับ ว้าว....ผูกไทก็ไม่ยากนี่นา แต่ทำไมผมลืมไปได้นะ ตาก็เคยสอนแล้วแท้ๆ
เขาสอนผมอยู่ไม่นานก็ให้ผมลองทำเอง ผมก็ทำได้นะ อืมๆ โอเคเลย

"เอ่อ มันอาจจะเบี้ยวหน่อยเพราะ...ชื่ออะไรฮะ?"
"อิสรา เรียกไอน์ก็ได้"
“อืม...ไอ...”
“ไม่ใช่ไอ ไอน์” (เสียงจะยาวกว่า)

ผมย้ำชื่อเล่นของตัวเองอีกครั้ง เพื่อนคนนั้นชะงักไปนิดหน่อย

“ขอโทษฮะ ผมอ่านปากเอาน่ะ”

มะ...ไม่ได้ยินเหรอเนี่ย ผมเองก็ชะงักไปนิดนึงแล้วขอโทษที่ดันไปติงเรื่องการออกเสียงของเพื่อนที่
ไม่ได้ยินเสียงแต่อาศัยการปาก แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร ด้วยความที่ผมเป็นจุกจิกในบ้างเรื่อง ผมเลยให้เขา
ออกเสียงชื่อผมอีกครั้งจนถูก

"อ้อ เอ้อ...ไอน์มองไม่เห็น งั้นผูกแล้วคลายปมตรงนี้แล้วถอดห้อยไว้ละกัน จะได้ไม่ต้องผูกใหม่หลายรอบ
เวลาจะใส่ก็เอามาคล้องคอแล้วก็รูดขึ้น"

เขาสาธิตพร้อมกับจับมือผมว่าควรจะทำอะไรยังไง ใจดีจัง (ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล)

จากที่แค่สอนผูกไท ไปๆ มาๆ ผมกับเขา(ยังไม่รู้จักชื่อ)ก็คุยกันสัพเพเหระไปเรื่อย แล้วก็เหมือนว่าจะคุยกัน
ถูกคอเสียด้วย พวกเรายืนเสวนากันอยู่หน้าพักของผมอย่างออกรส

"ชุดอย่างกับคนป่วยแหนะ ไอน์ว่ามั้ย?"
"มันก็ความรู้สึกนั้นนะ แต่เรามองไม่เห็น"
"เอ้อ นั่นสิ... แต่มันคนป่วยจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่โรงเรียนออกจะอลังการขนาดนี้"
"อืม อลังจริงๆ"
"ดีที่ให้ใส่ไท เลยดูไม่ป่วยเท่าไหร่"
"ฮะๆ นั่นสิ..."

พวกเราคุยอะไรกันนิดหน่อย จากนั้นก็แยกตัวกันกลับ เพราะที่จริงเขาตั้งใจจะออกไปหาอะไรทานตอนเที่ยง
แต่นี่จะบ่ายแล้ว แต่เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนผมจะลืมถามอะไรไปอย่าง...

"ชื่ออะไร?"
"จิณณ์ ผมชื่อจิณณ์"
"อ่าฮะ... จินตุง"
"ฮะ! ทำไมเป็นจินตุง?"
"นึกได้นะ..."
"เอ่อ..."

เจ้าตัวเงียบเสียงไปเล็กน้อย

"เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่จินตราหรือจินนี่..."

เหมือนว่าจิณณ์จะบ่นงึมงำกับตัวเองคนเดียว แต่ผมได้ยินชัดแจ๋วเลยนะ

"งั้นผมไปล่ะ หิวมากแล้ว"
"ทะ-โทษทีนะ ดันไปรบกวนซะได้"
"ไม่เป็นไรๆ"

ผมดันเป็นพวกขี้เกรงใจคนซะด้วย ที่ไม่ค่อยพูดหรืออะไรกับใครเพราะคำว่าเกรงใจมันค้ำคอเนี่ยแหละ เวลา
จะขอร้องให้ช่วยเหลืออะไรผมเลยคิดแล้วคิดอีก เรียกว่าต้องใช้ความกล้าในการขอความช่วยเหลือเลยล่ะ
แม้คุณตากับคุณยายจะบอกอยู่เสมอว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกเถอะ ไม่มีใครเขาว่า...แต่ไอ้นี่นิสัยขี้เกรงใจ
ของผมนี่ก็แก้ไม่หายซะที ไม่รู้ว่าไปติดมาจากใคร

"ไว้เจอกัน"
"อื้ม"

และนี่ก็คือเพื่อนคนแรกในโรงเรียนที่ผมพูดคุยด้วยมากที่สุดตั้งแต่ยังไม่เริ่มเรียนในห้องครับ ผมหวังเอาไว้ว่า
เปิดเรียนครั้งแรกของผมจะได้เขาเป็นเพื่อนโต๊ะข้างๆ จะได้ลดความประหม่าลง แล้วจะได้สะกิดให้จิณณ์หัน
มาคุยด้วยง่ายๆ เพราะตอนนี้ผมประหม่าเอามาๆ ไม่กล้าคุยกับใคร ป๊อดขนาดต้องยืนหยุดอยู่กับที่ก่อนจะเข้าห้อง
เรียน แต่ว่าน่าเสียดายที่ในห้องเรียนผมกับจิณณ์นั่งอยู่ห่างกัน คนที่นั่งข้างๆ ผมคือเพื่อนที่ท่าทางขี้อาย(กว่าผม)
ชื่ออนันดา ส่วนข้างหลังเป็นเพื่อนผู้หญิงซึ่งเป็นใบ้ชื่อว่าเซย์ แหม่....ถ้าผมนั่งติดกับจิณณ์คงคุยกันไฟแลบ
จนไม่ได้เรียนแน่ๆ เลย

คิดว่างั้นนะ


แก้ไขล่าสุดโดย EinZ เมื่อ Sun 16 Nov 2014, 17:29, ทั้งหมด 1 ครั้ง
dedog
dedog
เทียบเท่า ศาสตราจารย์อาวุโส / ผู้บริหารอาวุโส
INFO.Jinn Watinpol
อาจารย์ศิลปะ

Star Piece5262
CHIPS+1,074 M 191 K 627
Credit
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp111100 / 100100 / 100บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp211

-30% Grade Exp. สูงสุด

PASSPORT
 :
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp1119911/28000บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Bar-em13  (9911/28000)
 :

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 16 Nov 2014, 17:53
Jinn's Part
(1)แรกพบสบตาเมื่อเจอหน้าเธอ~

หลังจากได้นามบัตรจากผู้หญิงสวยๆ คนนั้นวันนั้น (จาก lession1 : ย้อนรอยอดีต) จนถึงวันนี้คงจะบอกว่าชีวิตผมไม่ต่างจากเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปแน่ๆ คือผมได้เข้าโรงเรียนอีกครั้ง เป็นโรงเรียนที่หรูหราจนน่ากลัวเชียวแหละครับ

....น่ากลัวว่าถ้าซุ่มซ่ามเผลอไปทำแจกันใบหรูนั่นตกแตก หรือเผลอไปชนหุ่นจำลองที่วางประดับไปตามทางเดินล้ม ล้างจานใช้หนี้ทั้งชาติก็คงไม่พอชดใช้

“จินนี่อยู่ได้แน่นะ” คุณแม่ถามคำนี้กับผมมาเป็นรอบที่ห้าสิบสี่หลังจากสมัครและจ่ายเงินอะไรต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

“อยู่ได้ฮะ ใช่ว่าผมจะไม่เคยไปโรงเรียนซักหน่อย” ผมบอกด้วยรอยยิ้มขำๆ

“มันเหมือนกันซะทีไหนเล่า” ป๊าพึมพำ
แน่นอนว่าผมไม่ได้ยินแต่ก็ทันเหลือบไปเห็นและอ่านปากเขา ป๊าเห็นผมมองอยู่ก็บอก “ตั้งใจเรียนนะไอ้ลูกชาย ค่าเทอมที่นี่มหาโหดมากเลย เข้ามาได้แล้วก็ต้องทำให้ดีรู้มั้ย”

“ฮะ” ผมตอบแค่นั้น ค่าเทอมที่นี่แพงระยับไม่แพ้ความหรูหราอลังการของสถานที่เลยฮะ ไม่ทันตั้งตัวคุณแม่ก็ดึงผมเข้าไปกอด

....แม่รักลูกนะ

ผมคิดว่าผมได้ยินคำนั้นจากอ้อมกอดนี้

น้องสาวฝาแฝดวัยอนุบาลของผม น้ำหวานกับน้ำผึ้ง เห็นแม่เข้ามากอดก็ตามมากอดด้วย ป๊ากอดทุกคนจากวงนอกอีกที
...ตอนนี้ครอบครัวเรากลายเป็นลูกบอลขนาดใหญ่ไปแล้ว

นี่คือสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไป และจะไม่เปลี่ยนตลอดไปก็คือความรักความห่วงใยจากครอบครัว

เมื่อคลายอ้อมกอด ผมก็เห็นน้องสาวตัวเล็กสองคนจับมือผมเอาไว้แล้วแย่งกันพูด

“พี่น้ำตาลสู้ๆ”

“พี่น้ำตาลกลับบ้านบ่อยๆ นะ”

“พี่น้ำตาลต้องคิดถึงน้ำผึ้งด้วยนะ”

“ต้องคิดถึงน้ำหวานด้วยๆๆ”

การมีน้องสาวที่ช่างพูดช่างคุยทำให้คนบกพร่องทางการได้ยินอย่างผมเหนื่อยเล็กน้อยกับการอ่านปาก แค่เล็กน้อยจริงๆ นะเมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับ
เรื่องที่ผมเสียใจที่สุดคือน้องดันเกิดมาหลังจากที่หูผมไม่ได้ยินแล้ว บางทีผมก็ได้ยินเสียงของเจ้าตัวป่วนสองคนนี่ซักครั้งเหมือนกัน

“คิดถึงทั้งสองคนนั่นแหละ” ผมลูบหัวพวกเธอ น้องสาวสองคนกอดผมอีกครั้งหนึ่ง
จนกระทั่งป๊าเรียกให้กลับบ้านพวกเธอจึงยอมปล่อยมือจากผมแล้วไปจูงมือคุณแม่แทน

“ดูแลตัวเองดีๆ นะ” ป๊าบอก จากนั้นคุณแม่ก็เข้ามาหอมแก้มผมตามด้วยเจ้าตัวเล็กสองคนที่ไม่ยอมพลาด

ป๊าลูบหัวผมอีกทีเป็นการส่งท้ายจากนั้นทุกคนก็ขึ้นรถและป๊าก็ขับออกไป

ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าฝ่ายนั้นขับช้ากว่าปกติ


ผมมองส่งจนรถของที่บ้านออกจากโรงเรียนไปจนสุดสายตา รู้สึกเหงานิดหน่อยแฮะ
อีกสิ่งที่เปลี่ยนคือก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เคยห่างบ้านนานๆ เลย อย่างมากก็ไปเข้าค่ายสัปดาห์นึง

ย้อนนึกถึงคำถามที่คุณแม่ที่ว่าผมอยู่ได้แน่เหรอ... ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ


“ขอโทษครับ” ผมรีบบอกเมื่อเหม่อจนเดินไปชนใครซักคนเข้า

“ไม่เป็นไร” ฝ่ายนั้นยิ้ม เป็นเด็กผู้ชายอายุพอๆ กับผม เมื่อสำรวจดีๆ จึงเห็นว่าส่วนที่ควรจะเป็นแขนทั้งสองข้างนั้นว่างเปล่า
แม้เจ้าตัวจะใส่เสื้อแขนยาวปิดเอาไว้แต่ก็ยังพอมองออกว่ามันไม่มี
เมื่อรู้ตัวว่าจ้องนานไปผมก็ชักรู้สึกผิด ที่นี่เป็นโรงเรียนคนพิการจะมีคนที่ร่างกายไม่ครบถ้วนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมเองยังบกพร่องทางการได้ยินเลย
พอเงยหน้าจะขอโทษก็เห็นฝ่ายนั้นกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่ ผมจับใจความไม่ทันแล้วทำไงดีเนี่ย

“ขอโทษนะฮะ ผมอ่านปากไม่ทัน ช่วยพูดใหม่ได้มั้ยครับ”
รู้สึกผิดเล็กน้อยแต่จำเป็นต้องขอร้องไปแบบนี้ อย่างน้อยก็ดีกว่าคุยกันไม่รู้เรื่องละนะ

“อ่านปาก?” ผมเห็นเขาทำหน้าสงสัย

“หูผมไม่ได้ยินน่ะฮะ” ผมบอกยิ้มๆ ขณะชี้หูตัวเองเป็นท่าทางประกอบ

“ผมไม่รู้เลย ขอโทษนะ” ไหงกลายเป็นผมทำให้อีกฝ่ายขอโทษไปแทนละเนี่ย

ผมหัวเราะและบอกอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไร”

“ผมชื่ออนันดา”

“ผมชื่อจิณณ์” ผมยิ้มให้เขา

จิณณ์นะครับ ไม่ใช่จินนี่หรือจินตหราอะไรทั้งนั้น ส่วนน้ำตาลที่น้องๆเรียกเป็นชื่อเล่นฮะ มันยาวกว่าชื่อจริงซะอีก
แถมคนที่บ้านผมนอกจากป๊ากับน้องสาวแล้วก็ไม่มีใครเรียกชื่อนี้ เพราะชื่อน้ำตาลดันไปออกเสียงคล้ายน้ำหวาน
ทำให้ผมเข้าใจผิดได้ง่ายๆ พวกเขาเลยตัดสินใจเรียกชื่อจริงของผมแทน

เป็นผู้ชายชื่อน้ำตาลออกจะแปลกๆ ว่ามั้ย ผมก็ว่างั้นแหละ ป๊าเคยเล่าให้ฟังว่าป๊ากับแม่เจอกันครั้งแรกในซูเปอร์มาเก็ต
เป็นช่วงที่น้ำตาลทรายขาดตลาดและเหลือถุงสุดท้ายจึงต้องแย่งกัน ทำให้รู้จักกันและรักกันนี่สุด....
เป็นตำนานรักที่ผมออกจะสตั๊นเล็กน้อย เอาเถอะ อย่างน้อยผมว่าก็ดีกว่าเค้าไปเจอกันที่เชลต์ขายน้ำปลาละนะ

และด้วยความที่ทั้งผมและอนันดาไม่รู้จะคุยอะไรกันจึงได้แต่ยิ้มบอกลาแล้วแยกย้ายกันไป

..................................

หลายวันต่อมา ด้วยความที่ยังไม่เปิดเทอมผมจึงชอบเดินเล่นสำรวจโน่นนี่นั่นไปทั่ว มีโอกาสได้รู้จักคนโน้นคนนี้แต่ก็ยังไม่ค่อยได้คุยอะไรเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ ผมก็โดนคว้าชายเสื้อเอาไว้

“ด..เดี๋ยวก่อน” เป็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกับผม ท่าทางลำบากใจปนประหม่า ดูอึกอักๆ ชอบกล “เอ่อ..”

“มีอะไรเหรอฮะ?” ผมถามออกไป คิดว่ารอให้อีกฝ่ายพูดออกมาเองคงอีกนาน

ฝ่ายนั้นถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถาม “ผูก...ผูกเน็กไทด์เป็นใช่มั้ย?”

ผมเอียงคอมองอีกฝ่ายที่ถือเน็กไทด์ไว้แล้วจึงถามกลับไป “จะให้สอนเหรอฮะ?”

“ใช่ๆ” อีกฝ่ายพยักหน้ารัวๆ “ช่วยสอนหน่อยสิ ดันลืมซะงั้นอ่ะ”

ผมขยับเข้าไปใกล้ๆ แล้วจึงเห็นไม้เท้าวางอยู่ ประกอบกับการพูดคุยที่แทบจะไม่มองหน้ากันเลย ผมเลยเดาเอาว่า “มองไม่เห็น?”
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ อืมมม.. เอาอย่างนี้แล้วกัน “จับดูตรงนี้นะ... ทำแบบนี้”

ผมค่อยๆ สอนไปทีละขั้น โชคดีที่ป๊าเคยสอนวิธีผูกเอาไว้ ไม่งั้ผมก็คงไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน

สอนๆ ไปก็ลองให้เขาทำเองดู แค่แปบเดียวทำตามได้แล้ว เก่งแฮะ

“มันอาจจะเบี้ยวหน่อยนะ” ผมบอก แล้วจึงนึกได้ว่ายังไม่รู้ชื่อีกฝ่ายเลย “ชื่ออะไรฮะ?”

“อิสรา.. เรียกไอน์ก็ได้”

ยากตรงนี้แหละ ผมไม่แน่ใจซักนิดว่าเพื่อนใหม่ชื่ออะไร จะให้เขาเขียนให้ดูก็คงเป็นไปไม่ได้ จึงลองสุ่มออกไปซักชื่อ

“อืม...ไอ”

“ไม่ใช่ไอ ...ไอนนนน” เหมือนจะไม่ผิดแต่ออกเสียงสั้นไปสินะ

“ขอโทษฮะ ผมอ่านปากเอาน่ะ” ผมบอกเหตุผลที่ออกเสียงชื่อเขาผิดไป ไอน์นิ่งไปแวบหนึ่ง คล้ายจะรู้สึกผิด...
ก่อนที่บรรยากาศระหว่างเราจะตึงไปมากกว่านี้ผมก็เลยเปลี่ยนเรื่องซะเลย
“ไอน์มองไม่เห็น งั้นผูกแล้วคลายปมตรงนี้แล้วถอดห้อยไว้นะ จะได้ไม่ต้องผูกใหม่หลายรอบ”
ไม่พูดเปล่ายังจับมืออีกฝ่ายวางตรงปมที่พูดถึง จับมือเขาดึงขึ้นดึงลงให้รู้ว่าเป็นตรงนี้นะ “เวลาจะใส่ก็เอาคล้องคอแล้วรูดขึ้น”

แน่นอนว่าแปบเดียวไอน์ก็จำได้ หลังจากนั้นเราก็คุยสัพเพเหระกันพักนึง ไอน์คล้ายจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมถามชื่อผม เขาก็ถามขึ้นมาดื้อๆ นั่นแหละ
“ชื่ออะไร?”

แวบแรกผมก็งงนะว่าเขาถามชื่อใคร ต่อมาถึงนึกได้ว่าผมยังไม่เคยบอกชื่อตัวเองเลย “จิณณ์ ผมชื่อจิณณ์”

“อ่าฮะ... จินตุง”

“ฮะ! ทำไมเป็นจินตุง” ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับการเรียกของเขา

“นึกได้น่ะ” ไอน์บอกง่ายๆ

“เอ่อ...” ผมถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้ชื่อแปลกๆ มาอีกแล้วไง ...เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่จินตหราหรือจินนี่

หลังจากเงียบกันอยู่ซักพักผมก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย จะชวนก็เกรงใจเพราะนี่ก็ไม่ใช่เวลากินข้าวของคนทั่วไปซักเท่าไหร่ ผมเลยบอกไปว่า
“งั้นผมขอตัวไปกินข้าวก่อนนะฮะ”

“โทษทีนะ ดันไปรบกวนซะได้” ไอน์พูด ท่าทางขี้เกรงใจกว่าผมซะอีกนะเนี่ย

“ไม่เป็นไร” ผมยิ้มให้ทั้งที่ก็รู้ว่าเขามองไม่เห็นเนี่ยแหละ “แล้วเจอกัน”

“อื้ม” ไอน์ยิ้มรับ




นี่เป็นคนแรกที่ผมคุยด้วยนานขนาดนี้เลยนะเนี่ย น่าเสียดายที่ตอนเปิดเทอมเรานั่งไกลกัน...

ไม่สิ ถ้านั่งติดกันจริงมีหวังผมต้องหันไปคุยกับเขาจนไม่ได้เรียนแน่ๆ


แต่ก็นะ เวลานอกคาบเรียนมีตั้งเยอะแยะ ไว้ค่อยคุยกันตอนนั้นก็ได้ :)
dedog
dedog
เทียบเท่า ศาสตราจารย์อาวุโส / ผู้บริหารอาวุโส
INFO.Jinn Watinpol
อาจารย์ศิลปะ

Star Piece5262
CHIPS+1,074 M 191 K 627
Credit
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp111100 / 100100 / 100บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp211

-30% Grade Exp. สูงสุด

PASSPORT
 :
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp1119911/28000บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Bar-em13  (9911/28000)
 :

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 16 Nov 2014, 18:02
jinn's Part
(2) จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน~

เปิดเทอมได้ไม่นานโรงเรียนก็จัดกิจกรรมกีฬาสี โดยแบ่งเป็นสองสีคือสีชมพูกับสีฟ้า
โดยทีมสีชมพูมีหัวหน้าสีคือผอ.นรินทร์ และทีมสีฟ้ามีหัวหน้าสีคือคุณเอลิท หัวหน้าฝ่ายปกครองตัวเล็กหน้าเด็กที่ผมไม่ค่อยเจอซักเท่าไหร่

ผมกับไอน์ได้อยู่สีเดียวกันคือสีชมพู โดยมีเพื่อนร่วมทีมคือเซย์ เจ้า ครูเนฟสอนวิทย์ และคุณเลย์ภารโรง


จู่ๆ วันหนึ่งไอน์ก็บอกผมว่า “นายช่วยเป็นไกด์ให้เราได้มั้ย”

ผมงงไปแวบนึงจนเห็นไอน์ทำหน้าไม่สบายใจนั่นแหละถึงนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนผมคนนี้โคตรขี้เกรงใจขนาดไหน แถมมองไม่เห็นด้วย คงตีความไปแล้วว่าผมไม่โอเค

“เป็นไกด์อะไรเหรอ” ผมถามก่อนที่เพื่อนจะกังวลไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“คือเราลงชื่อแข่งวิ่งไปน่ะ” ไอน์บอก ท่าทางประหม่าเล็กน้อย “คือ..คือถ้านายไม่โอเคก็ไม่เป็นไรนะ เราหาคนใหม่ก็ได้ เอ่อ แต่จะหาใครดีล่ะ..”

“เรายังไม่ได้บอกไม่ตกลงเลยนะ” ผมบอกไอน์ที่กังวลไปถึงไหนแล้วไม่รู้

“ก็นายเงียบอ่ะ” ไอน์ว่า

“เรายังงงอยู่นี่” ผมบอกขำๆ อีกฝ่ายทำหน้างอนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมจึงถามต่อ “ว่าแต่ไกด์นี่ต้องทำอะไรบ้างอ่ะ”

“ก็...วิ่งไปด้วยกันน่ะ” ไอน์บอกง่ายๆ “ไกด์ว่าเราควรจะวิ่งไปทางไหน”

ดูไม่ยากนะ แถมผมก็ไม่ได้ลงกีฬาอะไรไปด้วย ผมตอบรับหน้าที่ไกด์ไปโดยไม่คิดอะไรมาก
ไม่ได้คิดซักนิดว่าการเอาคนตาบอดกับคนหูหนวกมาวิ่งด้วยกันเป็นอะไรที่ผิดอย่างมหาศาล


การซ้อมวันแรกเป็นไปอย่างทุลักทุเลเพราะเราไม่เข้าขากันเลย
หลายครั้งที่ไอน์บอกให้ผมหยุด แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้ยินและไม่ได้หันไปมองเขาจึงไม่รู้ นั่นทำให้ผมทำเขาล้มบ่อยมาก
และหลังจากไอน์ล้มเป็นรอบที่แปด เราก็ตัดสินใจหยุดซ้อมกันก่อน

“นายไม่เคยวิ่งทำไมไม่บอกเรา” ผมถาม ที่จริงก็ผิดเองที่ลืมไปว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นมาตั้งแต่แรกแล้วจะไปวิ่งตอนไหน

ไอน์อึกอักอยู่แปบนึงก็บอกว่า “เรากลัวนายจะไม่ยอมเป็นไกด์ให้เรา”

“เป็นสิ ก็ตกลงกันไปแล้วนี่นา”

“งั้นเอาไงกันดีล่ะ” ไอน์ถาม “อาทิตย์หน้าจะแข่งแล้ว”

ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างได้แต่เงียบ ผมละสายตาจากไอน์มองไปที่สนามกีฬา เหม่อไปแวบนึงจนรู้สึกได้ว่าเพื่อนกระตุกเสื้อผมอยู่นั่นแหละถึงได้หันไปมอง

“นายสอนเราได้มั้ย” ไอน์พูดซ้ำอีกครั้ง “สอนเราวิ่ง”

“ได้..ได้อยู่แล้ว” ผมตอบรับทันที “มาจัดตารางฝึกซ้อมกัน”

“อื้ม” ไอน์ยิ้มรับข้อเสนอนั้น

เราได้ผลสรุปกันออกมาว่าจะฝึกวิ่งกันทุกเช้าก่อนเข้าเรียนและจะซ้อมวิ่งด้วยกันตอนเย็นหลังเลิกเรียน...
ที่จริงผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าทั้งสองอย่างมันต่างกันตรงไหนอ่ะนะ


เช้าวันต่อมาที่นัดมาฝึกวิ่งกัน ไอน์ดูไม่มั่นใจเมื่อผมบอกให้เขาวางไม้เท้าขาวนั่นเอาไว้ก่อนแล้วเปลี่ยนมาจับมือผมแทน

“นายเชื่อใจเรามั้ย” เมื่อผมถามออกไปแบบนั้นไอน์ดูอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาเบาๆ

“เชื่อ”

ผมเริ่มจากการจับมือนำเขาเดินไปเดินมาให้ชินกันก่อน
แรกๆ ไอน์ดูเกร็งกับการเดินโดยไม่มีไม้เท้าขาว แต่ไม่นานเขาก็เริ่มไว้ใจผมมากพอที่จะเดินตามที่ผมนำโดยไม่เกร็งอีก
เมื่อเห็นไอน์ชินแล้วผมก็เปลี่ยนเป็นการวิ่งเหยาะๆ ไปพร้อมๆ กันแทน
ไอน์ไม่เคยวิ่งมาก่อนจึงยากเล็กน้อยในการเริ่ม แต่เขาเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย ดังนั้นแค่แปบเดียวเขาก็วิ่งเป็นแล้ว

นอกจากนี้เรายังมีสัญญาณมือเล็กๆ น้อยๆ กันพอให้เราทั้งคู่รู้ว่าต้องหยุดต้องไปอย่างไรโดยที่ผมไม่ต้องมองไอน์อยู่ตลอดเวลา

เราวิ่งๆ เดินๆ กันอยู่ซักพักก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้าเรียน


เราตกลงกันว่าไอน์จะใช้ผมแทนไม้เท้าเพื่อความเข้าขากันยิ่งขึ้นในการวิ่ง
ช่วงนี้จึงกลายเป็นช่วงที่ใครต่อใครจะเห็นเด็กผู้ชายสองคนจูงมือกันไปไหนต่อไหน นั่นทำให้เราสนิทกันมากขึ้น
และการวิ่งก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันในช่วงอาทิตย์นี้ของพวกเราไปโดยปริยาย บางวันวิ่งๆ กันอยู่ก็เจอผอ.มาวิ่งด้วยอีกต่างหาก


เราซ้อมวิ่งกันทุกวัน... จนกระทั่งถึงวันแข่งจริง ทีมสีฟ้าส่งคนผมขาวท่าทางน่ากลัวๆ มาแข่ง
ผมเห็นฝ่ายนั้นมองไอน์อยู่เกือบตลอด แต่คนตาบอดก็ไม่รู้หรอกว่ามีคนมองอยู่ และสายตาที่มองมานั่นก็น่ากลัวเกินกว่าผมจะบอกเพื่อนให้กลัวไปด้วย

“เราตื่นเต้นจัง” ไอน์บอก มือของเขาเย็นเฉียบเลย

“นายจะตื่นเต้นไปทำไม นายมองไม่เห็นซักหน่อย” ผมบอกขำๆ

“นายคงไม่ได้ยินสินะ เสียงเชียร์นี่กระหึ่มเลย” ไอน์บอก ซึ่งผมก็ไม่ได้ยินจริงๆ นั่นแหละ

“เอาน่า แข่งแปบเดียวก็จบแล้ว อย่าเครียดสิ”

“อีกสีเป็นไงบ้างอ่ะ” ไอน์ถาม ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วหันไปมองเพื่อนอีกสีอีกรอบหนึ่ง แน่นอนว่าฝ่ายนั้นยังคงมองมาที่ไอน์

“ก็.. เป็นคนผมขาวๆ หน้าโหดๆ หน่อย” ผมบอกตามตรง ไอน์พยักหน้ารับ ทำท่าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างจนกระทั่งมีคนเรียกให้เราไปเตรียมตัวแข่ง


ผลการแข่งออกมาน่าเสียดายที่พวกเราแพ้ ไอน์ดูเสียใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

ถึงจะแพ้แต่ ไอน์ก็ได้รางวัลนักกีฬาแห่งยุคไปครองจากการแข่งขันชนิดอื่นๆ ที่รวมกันแล้วคะแนนสะสมของเขาเยอะที่สุด



จากกิจกรรมนี้ทำให้ผมเห็นว่าเพื่อนตาบอดของผมก็ชอบท้าทายตัวเองและชอบเอาชนะไม่เบาเลย...

ไม่ได้หมายถึงในทางที่ไม่ดีนะ ผมว่าจุดนี้น่าชื่นชมด้วยซ้ำ เขาต่างกับผมที่ชอบทำตัวเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่ค่อยสนใจอะไรก็ตรงนี้แหละ



avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 16 Nov 2014, 18:12
Ein's Part

ตอนที่ 2 จับมือแล้ววิ่งไป

‘นายเชื่อใจเรามั้ย’

น้ำเสียงของจินตุงที่ดูมั่นคงถูกส่งผ่านออกมา เขายกมือที่จับมือขวาผมขึ้นเล็กน้อยคล้ายจะถามผม
เพื่อความแน่ใจ ผมนิ่งเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับเพื่อนด้วยเสียงแผ่วเบา
‘เชื่อ’
ผมเชื่ออยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้จะเป็นคนนำทางให้ผมวิ่งไปถึงจุดหมายได้โดยที่ไม่ล้มแม้สักครั้ง

เปิดเทอมได้แป๊บเดียว ทางโรงเรียนก็มีอีเว้นท์หรรษาที่เรียกว่า 'กีฬาสี' ขึ้น โดยมีสีที่ต้องแข่งขันกันอยู่ 2 สี
คือสีชมพูกับสีฟ้า ตัวผมแรนด้อมได้สีชมพู มีเพื่อนร่วมชั้นม.1 อย่างเซย์ (ที่ในห้องเรียนนั่งอยู่ข้างหลังผม)
กับจินตุง ที่ตอนนี้เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น จนเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวจาก 'ผม' เป็น 'เรา' และ 'นาย' แทน

ผมตื่นเต้นมากๆ กับการเข้าร่วมกิจกรรมใหญ่ของโรงเรียน ผมรู้สึกว่ารอบตัวของผมมีชีวิตชีวามากกว่าปกติ
บางคนก็ซ้อมเชียร์ร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ส่วนบางคนก็ซ้อมกีฬาอย่างมุ่งมั่นเพื่อหวังจะนำชัยชนะมาให้กับ
สีที่ตัวเองสังกัดอยู่ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนมา ที่แห่งนี้มีอะไรให้ผมตื่นเต้นอยู่ตลอดเลย

และแน่นอนว่ากีฬาก็คือการแข่งขันอย่างหนึ่ง ลึกๆ แล้วผมเป็นพวกชอบเอาชนะซะด้วยสิ ไม่แม้แต่จะชนะคนอื่น
แต่ยังเหมารวมไปถึงเอาชนะตัวเอง

ผมลงแข่งวิ่ง ทั้งๆ ที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนครับ

ผมอยากลงแข่งวิ่งมากๆ จึงไปขอร้องให้จินตุงที่สนิทที่สุดแล้วในตอนนี้ช่วยเป็นไกด์ให้ ซึ่งคนตาบอดอย่างผม
จะขาดไปไม่ได้เลย ถึงจะสนิทกันยังไง แต่ไอ้คำว่าเกรงใจมันก็กลายเป็นนิสัยของผมไปซะแล้ว กังวลและทำใจ
อยู่นานกว่าจะกล้าไปขอเพื่อน แต่จินตุงก็รับคำผมอย่างง่ายโดยไม่อิดออดอะไร สงสัยเพราะเจ้าตัวไม่ได้ลงแข่ง
อะไรด้วยล่ะมั้ง

การซ้อมวันแรกเป็นอะไรที่ทรหดมากสำหรับคนไม่เคยวิ่งอย่างผม จินตุงที่ขายาวกว่ามักจะวิ่งออกก่อนผมเสมอ
และแน่นอนว่าผมวิ่งไม่ไหวผมก็ต้องร้องบอก แต่จินตุงผู้อาศัยการอ่านปากเมื่อไม่ได้เห็นหน้าคนพูดก็ย่อมไม่รู้ว่า
ผมกำลังส่งสัญญาณ หลายครั้งที่ผมล้มลงเพราะหมดแรงและเพราะการที่ไม่เข้าขากับจินตุง

"นายไม่เคยวิ่งทำไมไม่บอกเรา"

น้ำเสียงของจินตุงดังปะปนกับเสียงหอบอย่างหนักหน่วงของผม เจ้าตัวไม่ได้ส่งเสียงแบบโกรธเคืองหรือหงุดหงิด
อะไร หากแต่เจือความกังวลเอาไว้นิดๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะตอบเสียงอ่อย

"เรากลัวนายจะไม่ยอมเป็นไกด์ให้เรา"
จินตุงหัวเราะในคอนิดหน่อย
"เป็นสิ ก็ตกลงกันไปแล้วนี่นา"

ผมเองก็หัวเราะแห้งๆ ส่งกลับไปให้เพื่อนทั้งที่ยังหอบอยู่ หน้าขาผมตอนนี้ร้าวระบมไปหมดแล้ว ไม่คิดเลยจริงๆ
ว่าการวิ่งโดยที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนมันจะโหดร้ายอย่างนี้ ไหนจะแผลถลอกเพราะไม่เข้ากับไกด์อีก ฮือ...แต่ผมก็
ไม่ยอมแพ้หรอกนะ!

และแล้วผมกับจินตุงก็ตกลงกันว่าจะจัดตารางฝึกซ้อมกัน เป็นการซ้อมแบบค่อยเป็นค่อยไปเพราะเรายังพอ
มีเวลาเหลืออยู่ก่อนจะถึงวันแข่งจริง และนี่คือการท้าทายตัวเองเป็นครั้งที่สองของผม เพราะผมต้องทำตัวให้ชิน
กับการไม่มีไม้เท้าขาวในการวิ่ง

"นายเชื่อใจเรามั้ย"
"เชื่อ"

ผมค่อนข้างเกร็งกับการเดินไปข้างหน้าโดยไม่มีไม้เท้าขาวมากๆ มือขวากที่ปกติผมจะถือไมเท้าก็กลายเป็น
การจับมือกับเพื่อนแทน แรกๆ ผมก็ก้าวขาไม่ออก แต่จินตุงก็ยังใจเย็นและคอยแนะนำผม นำทางให้ผมอยู่เสมอ
ไม่นานผมก็เริ่มทำใจ(?)กับการเดินเหินโดยไม่มีไม้เท้าขาวได้ แต่กับการวิ่งเราไม่สามารถจับมือแล้ววิ่งไป
พร้อมๆ กันได้ถึงแม้จะมีจังหวะวิ่งที่ตรงกัน จึงใช้ผ้าเส้นเล็กๆ ผูกไว้ที่ข้อมือขวาของผมและข้อมือซ้ายของจินตุง
แทน และกำหนดสัญญาณมือให้รู้กันโดยที่ผมไม่ต้องร้องบอกและจินตุงไม่ต้องคอยพูดหรือสังเกตหน้าผมตลอดเวลา

"อ้าวเด็กๆ ออกมาซ้อมวิ่งกันเหรอครับ"

ระหว่างที่กำลังซ้อมวิ่งเบาๆ ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน จู่ๆ เสียงที่คุ้นเคยของผอ. ก็ลอยมา น้ำเสียงของผอ.ปน
เสียงหอบเล็กน้อย นี่ผอ.ก็มาออกกำลังกายกับนักเรียนเหรอเนี่ย?

"ครับ"

ผมเป็นคนตอบ เพราะจินตุงเงียบ แสดงว่าไม่รู้ตัวว่าผอ. อยู่ใกล้ๆ ผมกระตุกมือ 1 ครั้ง จินตุงจึงส่งเสียง

"ว่าไง"
"ผอ.อยู่ทางซ้าย"
"อ๊ะ..."

เจ้าต้วร้องแปลกใจนิดหน่อยก่อนจะมีเสียงทักทายขึ้น

"สวัสดีฮะผอ. พอดี...ผมไม่รู้"
"ไม่เป็นไรครับ ทั้งสองคนสนิทกันดีจังเลยนะ"
"เอ่อ...ฮะ ก็...เป็นเพื่อนกันนี่นา"
"ดีแล้วล่ะครับ"

ผอ.กล่าวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าปลื้มปริ่มมากก่อนจะจากไป
.
.
.
.
.
ผมพร้อมแล้วสำหรับการแข่งขันจริงในวันนี้ แต่...เสียงเชียร์ของเพื่อนๆ ร่วมสีและเพื่อนต่างสีช่างหฤโหดกันมากๆ
เล่นเอาผมที่พกความมั่นใจมาเกินร้อยป๊อดเหลือเกือบติดลบเลย ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัวตีกันไปหมด มือสั่น...ที่ผ่านมา
ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเสียงเชียร์มันจะส่งผลได้ขนาดนี้

ผมอยากรู้ว่าคู่ต่อสู้ในการวิ่งของผมอีกฝ่ายเป็นใคร จึงถามเพื่อนที่กำลังวอร์มอยู่ข้างๆ คำตอบจากจินตุงคือ...

"ก็...เป็นคนผมขาวๆ หน้าตาโหดๆ หน่อย"

...คราส...

ผมพยักหน้าตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พักหลังๆ ตั้งแต่เริ่มช่วงกีฬาสี ผมกับเขาก็ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไหร่
ด้วยเพราะอยู่คนละสีและมีสิ่งที่ตัวเองต้องทำ แต่งานนี้ผมจะไม่ยอมแพ้เขาหรอกนะ ถึงผมจะพอรู้ว่าเขาน่าจะ
แรงเยอะกว่าผม

ก่อนหน้านั้นจินตุงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่เพื่อนก็ไม่ได้พูด ผมเองก็ไม่ได้ซักถามอะไร เพราะ
การแข่งจะเริ่มขึ้นแล้ว

การวิ่งของเราเป็นจังหวะเข้ากันได้ดีจากการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จินตุงเป็นคนนำทาง
ให้ผมได้ดีมากและผมก็ไม่เคยล้มซักครั้งเลยแม้ที่ผ่านมาจะล้มมานับครั้งไม่ถ้วน ในช่วงท้ายผมเริ่มหมดแรง
แต่ก็ยังกัดฟันวิ่งให้จบเพราะมีเพื่อนใจดีที่ยังคงวิ่งอยู่และคอยนำทางให้ผม ถึงแม้ผลการแข่งขันวันนั้นพวกเรา
จะแพ้ และถึงแม้ผมจะเสียดายมาก แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือความมั่นใจว่าผมจะมีเพื่อนดีๆ อยู่ข้างๆ เสมอ

“เฮ้อ...”

ผมกลับมาเข้ามานั่งพักที่ข้างสนามโดยมีจินตุงเดินมาข้างๆ ผมทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อน เสียใจก็เสียใจนะ
แถมยังเสียดายด้วย ทุ่มเทมากแต่ผมคงยังใหม่เกินไปสำหรับสิ่งนี้ ผมยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดหน้า ทำท่าคล้ายกับ
กำลังเช็ดเหงื่อ ผมรู้สึกได้ถึงแรงบีบไหล่เบาๆ

“จะร้องไห้เหรอ”
“....ไม่ได้ร้อง”

ผมอู้อี้ตอบไป ฮือ...อย่าพูดสิเฟ้ย เลยจะร้องไห้จริงๆ เนี่ย คนกำลังทำใจอยู่

“ก็แค่กีฬาน่ะ มีแพ้มีชนะ”
“...รู้แล้วน่า”
“นายอย่าร้องไห้ดิโธ่”
“...ไม่ได้ร้อง”

แน่นอนว่าผมยังยืนยันคำเดิม แต่มือก็ยังปิดหน้าอยู่ จินตุงหัวเราะก่อนจะโอ๋ผม โถ....ก็บอกว่าไม่ได้ร้องไง
แค่น้ำตาคลอ

แต่ถึงแม้การแข่งขันวิ่งของผมจะพ่ายแพ้ แต่ความที่ผมอยากพาสีชนะ จึงลงแข่งมันทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
ไม่ว่าจะเป็นแข่งชักกะเย่อ หรือกีฬาพื้นบ้านแปลกๆ ผมทำทุกอย่าง อย่างกับคนที่ไปเก็บกดมาจากไหน
ปล่อยพลังกับทุกสิ่งทุกอย่าง จนคว้าตำแหน่งนักกีฬาดีเดือด....เอ้ย นักกีฬาแห่งยุคไปครอง ถึงท้ายที่สุด
สีจะแพ้ก็ตาม (คราวนี้ผมแทบร้องจริงๆ เป็นเพราะผอ.นั่นแหละ!)

กีฬาสีครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่า จินตุงเพื่อนยากถึงจะดูเรื่อยเปื่อยและเอื่อยเฉื่อยแค่ไหน แต่เขาคือเพื่อน
ที่พร้อมจะไปไหนไปด้วยกันเสมอนะครับ
avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Mon 22 Jun 2015, 22:23
Ein's Part

ตอนที่ 3 คุณหมอประจำห้องพยาบาล

ย้อนกลับไปช่วงที่เราแข่งกีฬาสีตอนม.2 ตอนนั้นผมเพิ่งหัดวิ่ง (หมายถึงวิ่งแข่ง) โดยมีจินตุงเป็น
คนนำทาง ยอมรับเลยว่าช่วงนี้ล้มลุกคลุกคลานพอดู มานั่งนึกดูตอนนี้ผมก็ไปเอาความบ้าพลัง
แบบนั้นมาจากไหน แถมยังไปกวนคนอื่นอีก

เพราะช่วงแรกที่ยังสื่อสารกันไม่ดี และผมเองก็ไม่กล้าบอกเพื่อนว่าไม่เคยวิ่งแข่งมาก่อน ช่วงซ้อม
จึงเป็นช่วงที่ผมและจินตุงจะแวะเวียนห้องพยาบาลจนกลายเป้นขาประจำไปเสียแล้ว แน่นอนว่า
พวกเราสองคนก็สนิทกับครูพยาบาลหรือ 'ครูเกลิน' ด้วย

ครูลินคงเป็นครูที่ผมสนิทด้วยที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะมั้งครับ ผมสนิทกับคนอื่นยากเพราะขี้อาย
ไม่กล้าเข้าหาใคร แต่ครูลินก็ใจดีสมกับเป็นคุณหมอห้องพยาบาลเหลือเกิน ไม่รู้ว่าจินจะคิด
แบบผมมั้ยนะ แต่ผมชอบที่คุณครูชอบหัวเราะอย่างสดใสทุกครั้งที่เจอกัน แต่บางทีครูก็แอบ
ดุอยู่มั่ง...

"อ้าว แบกกันมาอีกแล้ว" เสียงหวานๆ ของคุณครูดังขึ้น พวกผมหัวเราะกันแหะๆ ก่อนที่จินตุง
จะชอนร่างผมที่เดินกะเพลกๆ ไปที่เตียง อีกข้างก็มีครูลินมาประคอง อูย...

ครูลินเข้ามาดูอาการที่ขาผม ตอนนี้มันคงมีผ้าพันแผลเพิ่มขึ้นอีกที่สินะ ผมได้ยินเสียงถอนหาย
ใจสั้นๆ ของคุณครู

"อิสราคะ ไหวแน่นะ?"
"ครับ...ผมไหว"
"อืม" ครูลินตอบรับไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงรองเท้าของคุณครูย่ำจากไป
ซักพักผมก็ได้ยินเสียง...

โคร่มมม!

"กรี๊ดดดดด"
"ค-ครูครับ!"

ผมนั่งอยู่บนเตียงถึงกับสะดุ้ง ส่วนจินตุงก็รีบพรวดพราดไปทางครูลิน ถ้าเดาไม่ผิด...ครูลินกำลัง
พังห้องพยาบาลใช่มั้ยครับ? ผมเองก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้บ้าง จึงนั่งทำได้แค่นั่งเก้อๆ อยู่บนเตียง
ปล่อยให้คนมองเห็นอย่างจินตุงช่วยครูลินไป

"แหะๆ... ขอบใจนะคะจิณณ์"
"ครับ ผมช่วยนะ"

แล้วทั้งสองก็คุยอะไรกันเรื่อยก่อนจะเริ่มการปฐมพยาบาลผม ที่แน่ๆ ผมว่าจินตุงเองก็คงจะเก่ง
ปฐมพยาบาลแล้วล่ะ มาทีไร...ได้ช่วยครเกือบทุกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนครูลินกำลังเก้ๆ กังๆ กับการ
ทำแผลผม จะว่าไปนี่เหมือนจะเป็นเรื่องปกติเข้าไปทุกที ช่วงแรกๆ ที่มาหาครูก็มักจะเปิ่นๆ แบบนี้
แต่บางที...ครูก็เคร่งเครียดจนผมกับจินตุงต้องนิ่งเงียบ คืออยากจะบอกว่าครูลินมีหลายอารมณ์จริงๆ

แต่ส่วนใหญ่ก็...ก็อารมณ์ประมาณนี้แหละครับ

"เฮ้อ...เสร็จ ไม่แน่นไปนะคะ" ครูลินถามผมหลังจากพันแผลที่หัวเข่าด้านขวาให้ ผมลองแกว่ง
ขาข้างที่เพิ่งพันแผลนิดอย่างเบาๆ ก่อนจะตอบคุณครู
"ครับ"
"ครูรู้นะคะว่าอิสราเป็นคนมีความพยายาม ถ้ายังไงก็ดูตัวเองแล้วก็ดูเพื่อนด้วยนะว่าไหวมั้ย
แวะมาหาครูบ่อยเกินไปละ" คุณครูกล่าวพร้อมกับยีผมผมเล็กน้อย ผมตอบหัวเราะแหะๆ แรกๆ
ยอมรับว่าเกร็งกับคุณครูมาก แต่คุณครูก็ใจดีอย่างเหลือเชื่อ แล้วผมก็นึกขึ้นได้

"อ๊ะ! ครูครับ ผมว่าจินตุงก็เจ็บ"
"หือ?" คนข้างๆ ผมทำเสียงแปลกๆ...
"แขน แขนนายไง ล้มพร้อมกันนี่"
"อือ อ่อ..."

ย-อย่าบอกนะว่านายแบกเรามาห้องพยาบาลจนลืมเจ็บแขน...

"ไหนคะ จิณณ์ก็เจ็บเหรอ ทำไมไม่บอกครู" ครูลินที่นั่งเก้าอี้อยู่ค่อยๆ ขยับเก้าอี้ไปอีกทางที่
จินตุงยืนอยู่ ผมไม่รู้ว่าครูเลื่อนเก้าอี้ไปหาจินตุงท่าไหน แต่ซักพักก็...

โคร้งเคร้ง

"ชะอุ่ย" เสียงครูลินดังขึ้นเบาๆ
"เอ่อ..." เสียงเหลอหลาของจินตุง

ผมว่าครูลินสั่งแล้วให้จินตุงทำแผลเองก็ท่าจะดีนะ นายว่ามั้ย? (ถามในใจ)
dedog
dedog
เทียบเท่า ศาสตราจารย์อาวุโส / ผู้บริหารอาวุโส
INFO.Jinn Watinpol
อาจารย์ศิลปะ

Star Piece5262
CHIPS+1,074 M 191 K 627
Credit
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp111100 / 100100 / 100บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp211

-30% Grade Exp. สูงสุด

PASSPORT
 :
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp1119911/28000บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Bar-em13  (9911/28000)
 :

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Tue 23 Jun 2015, 00:56
jinn's Part
(3) เจ็บนี้อีกนาน~


“เจ็บตัวกันมาอีกแล้ว”
คำทักทายอันคุ้นเคยจากคุณครูเกลินคนสวยแห่งห้องพยาบาลขณะเดินมาช่วยผมประคองไอน์ไปนั่งที่เตียง

เนื่องจากช่วงนี้ผมกับไอน์เพิ่งซ้อมวิ่งกัน ความเข้าขากันอยู่ที่ใดไม่ปรากฎ ผลจึงเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละฮะ
ผมน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ไอน์นี่สิ แผลเต็มตัวไปหมดแล้ว วันๆนี่ใช้เวลาไปกับห้องพยาบาลนานกว่าลู่วิ่งอีก...

“รอบนี้วิ่งกันอีท่าไหนกันเนี่ย หืมม์ แผลใหญ่เชียว” ครูลินถามขณะเดินไปเตรียมอุปกรณ์
เนื่องจากครูลินหันหลังให้ผมจึงไม่เห็นคำถาม แน่นอนว่าไอน์จึงต้องเป็นคนตอบคำถามนี้
“พอดีล้มแล้วไถลน่ะฮะ”

ไอน์สนิทกับครูลินมากกว่าผม... คิดว่านะฮะ ยังไงเค้าทำแผลกันบ่อยๆ
จับเนื้อต้องตัวกันบ่อยๆ ย่อมต้องสนิทสนมกันเป็นเรื่องธรรมดาแหละเนอะ
.....
...
.
อืมม์.... ผมล้อเล่นนะ

แต่เพื่อนก็สนิทกับครูลินมากกว่าผมจริงๆนั่นแหละฮะ เพราะไอน์จะเป็นคนคุยกับครูมากกว่าผมอยู่แล้ว
ผมมักนั่งมองเงียบๆ ไม่ก็ช่วยครูทำแผลซะมากกว่า (ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง)

ผมคิดว่าเพื่อนชอบครูลินนะ ไม่ใช่ฟีลแบบชอบอยากขอครูเป็นคู่ชีวิตนะ!!
ผมหมายถึงในแง่ครูในดวงใจอะไรงี้ ครูลินใจดี ยิ้มเก่ง ร่าเริงสดใส บางครั้งก็ให้ขนมพวกเรากินด้วย
นานๆทีก็มีดุบ้างเหมือนกันเวลาเรามาบ่อยๆ ดุเพราะห่วงนั่นแหละฮะ ก็รู้ๆกันอยู่เนอะ

อย่างคราวนี้สองคนคุยอะไรกันไปเรื่อยๆ ส่วนผมก็นั่งเงียบๆมองโน่นมองนี่ไปเรื่อย
ส่วนใหญ่ก็มองครูลินที่หยิบของอยู่นั่นแหละฮะ  กลัวจะมีอะไรเกิดขึ้น... นั่นไง

“ระวังฮะ”
ผมถลาไปคว้าถาดใส่อุปกรณ์ที่เกือบจะล่วงจากโต๊ะขณะที่ครูลินกำลังเขย่งเพื่อหยิบของจากตู้ที่อยู่ใกล้ๆกัน
ตู้นี่ก็ทำสูงไร้สาระมาก ไม่สงสารคนไซซ์มินิเลย ครูลินกรี๊ดสั้นๆอย่างตกใจ ก่อนจะพูดขอบใจผม

ข้อเสียไม่กี่ข้อของคุณครูคนสวยนี่คือความซุ่มซ่ามนี่แหละน้า

ผมถามเธอ “ให้ผมช่วยมั้ยฮะ”
“ดีเลยจ้ะ งั้นหยิบนั่น แล้วก็นั่น ชิ้นนั้น โน่น แล้วก็อันนู้นด้วยนะ”

ครูลินเตรียมของเสร็จแล้วก็มานั่งข้างเตียงเพื่อทำแผลไอน์ เห็นแวบๆว่าก็สองคนคุยกันไปเรื่อย
ตรงนี้ผมไม่ได้มีส่วนร่วมในบทสนทนาเพราะมัวแต่มองมือครูที่ทำแผลให้เพื่อนผมอยู่

เห็นครูหยิบขวดแอลกอฮอล์แล้วมองซ้ายมองขวาผมก็อดไม่ได้จะหยิบสำลีไปวางไว้ใกล้ๆมือเธอ
กลัวใจจริงๆว่าถ้าหาสำลีไม่ได้ คุณครูคนสวยจะราดแอลกอฮอล์ใส่แผลเพื่อนตรงๆ


พอเห็นเพื่อนทำแผลเสร็จและกำลังจะออกจากห้องพยาบาล ไอน์ก็คว้าแขนผมไว้
“นายก็มีแผลไม่ใช่เหรอ” คำถามนั้นทำผมนึกได้ เออ... รอบนี้ก็ล้มไปด้วยกันนี่หว่า
ครูลินเห็นผมกระพริบตาปริบๆ ก็หัวเราะ “อะไรกัน มัวแต่ดูเพื่อนจนลืมตัวเองเลยเหรอ”
ว่าแล้วก็ลากผมให้ไปนั่ง “มาๆ เป็นแผลตรงไหน เดี๋ยวครูทำแผลให้ ....ว้าย!!!”

...คุณครูสะดุดฝุ่นหัวทิ่มไปแล้ว


เหตุการณ์ประมาณนี้วนลูปเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงระยะเวลาฝึกซ้อม
จนครูลินแทบจะแพ็คกล่องปฐมพยาบาลมานั่งดูว่าพวกเราซ้อมวิ่งกันอีท่าไหนถึงได้ได้แผลกันมากมายขนาดนี้

โชคดีที่ครูลินไม่ได้ว่างขนาดนั้น และหลังกีฬาสีพวกเราก็ไม่ได้เข้าไปใช้บริการห้องพยาบาลกันบ่อยเท่าเดิมแล้วด้วย  บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล 814381065
dedog
dedog
เทียบเท่า ศาสตราจารย์อาวุโส / ผู้บริหารอาวุโส
INFO.Jinn Watinpol
อาจารย์ศิลปะ

Star Piece5262
CHIPS+1,074 M 191 K 627
Credit
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp111100 / 100100 / 100บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp211

-30% Grade Exp. สูงสุด

PASSPORT
 :
บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Exp1119911/28000บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Bar-em13  (9911/28000)
 :

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Fri 26 Jun 2015, 02:30
Message reputation : 100% (1 vote)
jinn's Part
(4) สอบกันเถอะเรา~


ผ่านเทศกาลกีฬาสีสุขสันต์มาได้ไม่นานก็เข้าสู่เทศกาลสอบแสนสุข(?)

ช่วงนี้ผมกับไอน์ได้คุยกันน้อยลงเพราะต่างฝ่ายก็ต้องอ่านหนังสือสอบ
จะติวด้วยกันก็เป็นไปได้ยากเพราะดันใช้วิธีรับสารคนละแบบกัน
อย่างมากก็นั่งอ่านด้วยกันเป็นบางครั้งบางคราว

ฤดูกาลสอบเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับคนที่อยู่นิ่งไม่ค่อยเป็นอย่างผม
มันแทบจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยช่วงนี้ได้แต่นั่งจับเจ้าอ่านหนังสือกองโตอยู่กับห้อง

อืมม์ จริงๆแล้วผมก็อยู่ไม่ติดห้องซักเท่าไหร่หรอก....

ผมชอบแบกหนังสือไปนั่งตากยุงอ่านที่สวนหลังหอพัก บางทีก็ไปนอนเล่นอยู่ห้องสมุด
หรือบางครั้งไปก่อกวนเพื่อนตาบอดผู้กำลังตั้งใจอ่านหนังสือถึงห้องก็สนุกดีเหมือนกัน

เห็นผม‘ตั้งใจ’อ่านหนังสือขนาดนี้ก็คงไม่ต้องถามถึงผลสอบแล้วมั้งฮะ 55555


วันแรกของการสอบพวกเราเจอกับ
...วิทยาศาสตร์
เจอหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ลักษณะโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์
การลำเลียงในพืช การแพร่และการออสโมซิส การสืบพันธุ์และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสง เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืชในท้องถิ่น
ความหมายและสมบัติของสาร ประเภทของสารและการจำแนกประเภท
การแยกสารเนื้อผสมและสารเนื้อเดียว การแยกสารที่ใช้ในชีวิตประจำวันเข้าไป...

สอบเสร็จผมนี่แทบจะไปสังเคราะห์แสงอยู่กับต้นหูกวางที่สวนหลังหอพัก TT


จากนั้นก็เจอวิชาภาษาอังกฤษ สังคม ภาษาไทย ศิลปะ บลา บลา บลา
//ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ภายในวันเดียวนะฮะ ถ้าใช่ก็จะโหดร้ายเกินไปซักนิด


และแล้วก็ถึงการสอบวิชาสุดท้าย
...วิชาคณิตศาสตร์
เศษส่วน บวก ลบ คูณ หาร จำนวนเต็ม จำนวนเฉพาะ ตัวประกอบ หารร่วมน้อย คูณร่วมมาก
จุด เส้น ระนาบ ส่วนของเส้นตรง เส้นตรง รังสี มุม บลาๆๆๆ

เรียกได้ว่าจำนวนข้อที่คิดน้อยกว่าข้อที่อาศัยสิ่งศํกดิ์สิทธิ์นำพา
สอบผ่านครึ่งได้ผมก็วิ่งไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงเรียนละฮะ 555

หันไปมองเพื่อนท็อปคณิตที่ยืนหน้าเครียดอยู่ก็อดไม่ได้จะเข้าไปถาม “เป็นไรไป”
เพื่อนตาบอดหันมาทางผมแล้วบอกด้วยสีหน้าเครียดๆว่า...
“เราว่าเราคิดผิดไปข้อนึง”
“...” ผมนี่ไปต่อไม่ถูกเลยครับ


เมื่อสอบเสร็จ คุณครูประจำชั้นก็เรียกรวมพวกเราทั้งห้องเข้าไปคุย แจ้งข่าวต่างๆ
รวมถึงการบ้านและอะไรต่างๆอีกมากมายก่อนจะปล่อยให้พวกเราแยกย้ายกันไป

ในที่สุด สิ่งที่ผมรอคอยก็มาถึง...

วันปิดเทอม :)
avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 06 Mar 2016, 02:01
Ein's part
ตอนที่ 4 สอบ


ผ่านช่วงกิจกรรมกีฬาสีมาได้ไม่นาน โรงเรียนก็เข้าสู่ช่วงสอบครับ

ผมเห็นเพื่อนๆ หลายคนบ่นโอดครวญเรื่องข้อสอบกันมากมาย แต่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเสียเท่าไหร่
ผมคิดว่าทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ แค่อาจจะต้องอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่กระนั้นผมก็ไม่อยาก
ฝืนตัวเองเท่าไหร่ ขี้เกียจก็เลิกอ่าน สวดมนต์ขอพรแทนละกัน

บางครั้งบางคราวเพื่อนตัวแสบของผมก็มานั่งเล่นด้วยตอนอ่านหนังสือ อยากจะขอบใจมันอยู่พอดีเพราะว่า
ผมล่ะเบื่อจะอ่านหนังสือมาก เกือบทุกคนหมกตัวอยู่ในห้องไม่ก็จับกลุ่มติวกัน ผมยังไม่มีเพื่อนกลุ่มใหญ่
ขนาดนั้นแถมยังไม่ถูกเชิญ ก็ออกจะเป็นการเผทอกซักหน่อย เลยมานั่งกร่อยๆ ในห้องแทน ถ้าจินตุงไม่
มาก่อกวนผมต้องเฉาคากองหนังสือแน่ๆ

ขี้เกียจอ่านละอ่ะ


วันแรกของการสอบเป็นวิชาวิทยาศาสตร์ครับ

วิทย์มอต้นไม่ได้มีสาขามากมายอย่างมอปลาย ไอ้ผมก็ไม่เท่าไหร่หรอกนะ ยังดีที่ครูออกข้อสอบมาตรง
กับที่ผมอ่านมา เลยรอดตัวไปแบบหวุดหวิด บอกตรงๆ ตอนนี้เลยว่าผมไม่ใช่สายวิทยาศาสตร์ ในห้อง
เรียนที่พยายามถ่างตาไม่ให้หลับได้นี่ก็บุญขนาดไหนแล้ว

"ตอบไรว้าาา..."

เสียงพึมพำของเพื่อนสนิทดังขึ้นเบาๆ โถ..จินตุง สู้ๆ นะเพื่อน

การสอบยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ผมถอนหายใจไปบ้างเป็นครั้งคราวเพราะปลง ตรงไหนที่ผมขี้เกียจไม่อ่าน
ก็คือไม่ได้เลยครับ ก็ทำได้อย่างเดียวคือ...ปลงเถอะนะตัวเอง เราทำได้ไม่ดีเอง โทษใครไม่ได้นอกจาก
ความขี้เกียจ แต่ที่ทำได้ก็เต็มที่ครับ ผมไม่ยอมแพ้หรอก

และแล้วก็มาถึงวิชาสุดท้าย เป็นวิชาที่ผมมีความถนัดมากที่สุด มันเป็นเพียงแค่ความถนัดนะครับ ไม่ใช่
ความชอบแต่อย่างใด นั่นคือวิชาคณิตศาสตร์

มหาวิชาศาสตรามืดที่นักเรียนทุกคนต่างหวาดกลัว(ยกเว้นผม) จินตุงถึงกับโอยครวญก่อนสอบอยู่ทั้งเย็น
ก่อนสอบเพราะไม่ไหวแล้วกับตัวเลขที่เป็นดั่งภาษาเอเลี่ยนนั้น

ระหว่างที่กำลังนั่งทดเลขผมก็ได้ยินเสียงพึมพำของเพื่อนสนิทอีก

"คุณพระคุณเจ้าครับ..."

ไม่ไหวแล้วสินะเพื่อน จะขำก็ขำไม่ออกครับ...เพราะผมเองก็ดันคิดไม่ออกไปข้อนึง ข้อสุดท้ายนี่แหละ!
อุตส่าหฺผ่านด่านมาได้ ทำไมผมถึงมาตกม้าตายข้อสุดท้ายได้นะ...ฮือ คิดยังไงก็คิดไม่ออก ช่วยผมด้วย
ผมนั่งทำจนหมดเวลาวิสุดท้าย พอเดินออกมาจากห้อง จินตุงที่เดินออกไปก่อนหน้าก็เข้ามาทัก

"เป็นไรไป"
"เราว่าเราคิดผิดข้อนึง..." ไม่น่าเลย...

แล้วผมก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากเพื่อนสนิทนอกจากเสียงสายลมพัดผ่าน
avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 06 Mar 2016, 03:06
Ein's part
ตอนที่ 5 นอนด้วยกันนะ


"เย็นนี้ไปทำงานห้องเราปะ"

วันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งหายใจทิ้งในคาบวิชาคหกรรม จินตุงก็เอ่ยขึ้น ผมที่กำลังนั่งแคะเล็บตัวเองเล่น
ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

"งาน?"
"งานไรวะ" เสียงที่แทรกขึ้นมาอีกเสียงคือแม็กเวล เจ้านี่ก็นั่งเอื่อยเฉื่อยไม่ทำอะไรเช่นเดียวกันกับผม อันที่
จริงก็เกือบทั้งห้องแหละ ยกเว้นพ่อครัวดีเด่นของชั้นเรียนอย่างจินที่ยังคงตั้งใจตวงวัตถุดิบตามคำสั่ง
ของครูอยู่ (ครูออกไปไหนแล้วไม่รู้ ผมเลยมานั่งเล่นแทน)

"โครงงานภาษาไทยไง พวกนายลืมแล้วเรอะ!"
"อ่อ.."
"เออออ..." ผมก็ถึงบางอ้อบ้าง วันนี้มึนๆ ทั้งวัน หรืออาจจะเ็นเพราะเพิ่งขึ้นมอสี่มาได้ไม่นาน สมองผม
ยังปรับตัวไม่ทันกันนะ

และกลุ่มของผมก็มีแม็กเวล เพื่อนใหม่ที่ท่าทางร่าเริงเพิ่มมาอีกคน หมอนี่ร่าเริงและพูดมากสุดๆ ยิ่งกว่า
ผมอีกครับ และก้เข้ากันได้ดีกับจินตุงด้วย ผมเองก็ดีใจนะที่ได้เพื่อนใหม่ เพราะอยู่กับแม็กเวลแล้วรู้สึก
ชีวิตมีสีสันขึ้นมาหน่อย เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด ชอบที่จะฟังมากกว่า

"กำหนดส่งศุกร์หน้าสินะ" ผมทบทวนคำสั่งของอ.ก่อนจะพูดขึ้นมาแบบเพิ่งนึกได้ เป็นงานกลุ่มสามคน
หัวข้อไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายนัก ยิ่งขึ้นมอปลายงานกลุ่มงานเดี่ยวก็มีมากขึ้นตาม ถ้าจินตุงเป็นคน
ออกมาเรื่องสถานที่นัดพบแบบนี้ก็ง่ายเลยน่ะสิ
"เอาดิ ไปกินข้าวเย็นกันละไปทำงานที่ห้องจินกัน"
"โอเค" ผมตอบรับและหันกลับไปนั่งหายใจทิ้งต่อ

ตกเย็นผมบอกกับไอรีนไปว่าอาจจะกลับมาห้องดึกๆ เพราะจะต้องไปทำงานกลุ่มกับเพื่อน รูมเมทของผม
ก็ตอบรับด้วยเสียงใสตามเดิมว่าไม่ต้องเป็นห่วง ผมกำชับอยู่เสมอว่าให้นอนให้ตรงเวลา ไม่ต้องรอผมกลับมา
ล็อคห้องเลยก็ได้ เพราะน้องเป็นผู้หญิง ถึงจะเป็นหอในโรงเรียนผมก็ไม่ไว้ใจ ล็อคห้องได้ก็ล็อค ผมน่ะนอน
ที่ไหนก็ได้หรอก

"รับทราบค่ะพี่ไอน์!"
"พี่ไปก่อนนะ"
"ค่ะ!"

ผมออกไปนั่งก๊กข้าว(?)กับเพื่อนทั้งสอง เฮฮาปาตี้ได้ซักพักก็อพยพกันไปที่ห้อง 207 ในตำนานของจินตุง
ทันทีที่ก้าวเข้าไป...ผมคิดว่าผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเยือกเย็น

"ที่นายออกปากชวนเพื่อนมาห้องเนี่ย... เพราะนายกลัวผีใช่มะ"

คนที่เอ่ยปากขึ้นมาคนแรกก็คือแม็กเวล หมอนี่คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดเหมือนกันใช่มั้ย?
แต่เสียงจินตุงก็ดังขัดขึ้นพร้อมกับเสียงย่ำเท้าเข้าไปในห้องของตนเองด้วยจังหวะที่คุ้นเคย

"เพ้อเจอจริงๆ เข้ามาเหอะ"
"เออๆ"

ผมไม่ค่อยชินกับการจัดวางห้องของคนอื่นจึงยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู เท่าที่จำได้คือผังห้องจินตุงกับห้อง
ของผมนั้นไม่เหมือนกัน แถมผมไม่ได้มาห้องเพื่อนนานมากแล้ว เลยเก้ๆ กังๆ นิดหน่อย แต่เพื่อนผู้ใจดี
ของผมก็ดึงเอามือซ้ายผมไปเกาะไหล่แล้วออกเดินตาม พร้อมกับดึงเอาเป้ที่ผมสะพายอยู่ไปเหวี่ยงไว้
ที่ไหนซักที่อีกด้วย

"เริ่มกันเหอะ"
"อืม..." คนที่ต้องออกไอเดียมักจะเป็นผม...

พวกเราทำงานสลับกับคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ ห้อง 207 อันเป็นตำนานนี้ไม่อยากจพเล่าหรอกครับ ให้เจ้าตัว
เขาเล่าเองดีกว่า แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรหรอกนะ เกรงแต่เพื่อนที่ไม่มีเมทจะเหงาเสียมากกว่า

เตียงก็สองชั้น ห้องก็ใหญ่ แต่นอนคนเดียว เหงาแย่เลย

ผมไม่ได้ดูเวลาว่าดึกขนาดไหนแล้ว จู่ๆ เจ้าแม็กเวลก็ถอนหายใจเสียงดังพร้อมกับโวยวายต่อว่า 'ไม่ทำแล้ว'
แล้วเสียงย้ำเท้าก็ดังขึ้น เหมือนกับกำลังลุกขึ้นเดินไปไหน ซักพักเสียงเจ้าแม็กก็ดังขึ้นที่มุมหนึ่ง

"นายมีตุ๊กตาน่ารักแบบนี้ด้วยเหรอจิน"
"...อืม"
"ตุ๊กตาเหรอ?" คราวนี้เป็นผมสงสัยขึ้นมาบ้าง อยู่ด้วยกันมา 4 ปีไม่ยักรู้ว่าเพื่อนมีตุ๊กตาน่ารักๆ ด้วย?
"ฉันเอาไว้นอนกอดน่ะ ถ้าไม่มีมันก็นอนไม่หลับ"
"เห..." ผมประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงแม็กเวลหือหาอะไร ผมยื่นมือออกไปในทิศทางเดียว
กับเสียงของแม็กเวลพร้อมร้องขอตุ๊กตา จินอธิบายว่ามันคือตุ๊กตาหมีสีชมพู สีชมพูได้รับคำอธิบายว่าเป็นสี
ของความอ่อนหวาน พอรู้เช่นนั้นผมก็ส่งเสียงออกมาอย่างไม่อยากเชื่ออีกครั้ง

"จิน...กับความอ่อนหวาน..." แถมมันยังเป็นตุ๊กตาที่นุ่มนิ่มมากด้วย

กำลังหยอกเล่นซักพักแม็กเวลก็เป็นคนตัดบทขึ้นมา

"กลับห้องเถอะ ดึกมากแล้ว"
"อ่อ...นั่นสิ ป่านนี้เมทฉันหลับไปสามตื่นแล้วมั้ง" ผมลุกขึ้นยืนปัดแข้งขาพร้อมกับเก็บสัมภาระเข้ากระเป๋า
แต่เสียงเรียบๆ ของจินตุงก็ดังขึ้นหยุดการกระทำของผม

"พวกนาย...นอนนี่ดีมะ มันดึกแล้วนะ"
"ไม่เป็นไร รบกวนนายเปล่าๆ" ผมบอกปฏิเสธ จินตุงเงียบไปซักพัก
"นอนด้วยกันเหอะ"
"อย่าบอกนะว่าป๊อด..." แม็กเวลเอ่ยแซว
"เปล่า..."

ผมอมยิ้มเล็กน้อย จะใช่อย่างที่ผมคิดรึเปล่านะ

"เหงาเหรอ"
"..."

จินตุงไม่ตอบ ผมกลั้วหัวเราะในคอเล็กน้อยก่อนจะวางเป้ที่พึ่งเอามาสะพายไว้กับพื้น แล้วนั่งลงตรงจุดเดิม
พร้อมทั้งถามขึ้นน้ำเสียงไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร

"ให้นอนไหนอ่ะ ดึกแล้ว ขี้เกียจกลับเหมือนกัน" ถึงห้องจะอยู่ข้างๆ นี่ก็เถอะ ผมคงจะรบกวนไอรีนให้ลุกมา
เปิดประตูให้ไม่ได้
"อืมๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ ห้องฉันอยู่ไกล ขอนอนด้วยละกัน"
"นอนบนเตียงนั่นแหละ" เสียงจินตุงเลยมา

คืนนั้นเลยเป็นครั้งแรกที่ผมกับแม็กเวลได้มานอนเล่นพร้อมทั้งนอนหลับจริงๆ ในห้อง 207 ในตำนานห้องนี้
และได้รู้ว่าพวกตัวเองขี้เหงาขนาดไหน ขนาดออกปากชวนให้มาทำงาน ให้มานอนด้วย คงเพราะไม่มีเมทมานาน
เลยเหงาสินะ โถๆ จะว่าไปห้องเย็นๆ นี่ก็นอนสบายดีเหมือนกันนะ

เว้นซะแต่อะไรหนักๆ มาพาดทับคอผมนี่แหละ
avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 06 Mar 2016, 10:07
อาจจะเป็นขาพี่จิน ก็เป็นได้ค่ะ 555

ปูเสื่อ~~~
avatar
ผู้มาเยือน
ผู้มาเยือน

บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล Empty Re: บันทึกของไอน์และจิณณ์ อิน ควินท์ สคูล

Sun 06 Mar 2016, 13:08
Dear พิมพ์ว่า:อาจจะเป็นขาพี่จิน ก็เป็นได้ค่ะ 555

ปูเสื่อ~~~

เดาเกือบถูกเลยครับ
ขึ้นไปข้างบน
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
2012 © Powered by QUAINT