- EURChairman's Club
Elite Urban Royle
ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง
4633
+3,126 M 323 K
PASSPORT
:
(142575/181250)
:
[ Quest 16 ] : ตำนานสยองขวัญในโรงเรียน
✱✱ เวลาสิ้นสุดการส่งภารกิจหลัก ✱✱
—— SUNDAY : 01 AUG 2021 ( 23.59 TH ) ——
เนื้อเรื่องภารกิจหลัก
โดยปกติแล้วทุกโรงเรียนมักมีเรื่องเล่าหรือตำนานสยองขวัญทั้งนั้น
และแน่นอนว่าโรงเรียนของเราก็เช่นกัน ยิ่งการที่มีอาคารพยาบาลอยู่ภายใน
ขอบเขตของโรงเรียน และมีนักเรียนหลายคนที่เสียชีวิตไปในอดีต ก็มักจะมี
เสียงลือเสียงเล่าอ้างต่าง ๆ มากมายตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
แล้วคุณล่ะ ? เคยเจอวิญญาณหรือเหตุการณ์สุดพิศวงในโรงเรียนหรือไม่...?
รายละเอียดภารกิจหลัก
[ ภารกิจเขียนบรรยาย ]
เขียนบรรยายรายละเอียดเหตุการณ์สยองขวัญที่พบเจอด้วยตนเองในโรงเรียน
หรือหากไม่เคยเจอด้วยตนเองจงเล่าถึงเรื่องราวสยองขวัญที่ได้ยินต่อ ๆ กันมา
ในช่วงเหตุการณ์ที่เป็นผู้นั่งฟังก็ได้เช่นกัน โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. มีตัวละครหลักหรือตัวละครเสริมของตนเองอยู่ในเรื่องราว
2. สงวนสิทธิให้มีเรื่องสยองขวัญเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
3. มีตัวอักษรในบทความไม่ต่ำกว่า 7,500 ตัวอักษร
4. อนุญาตให้มีคำสะกดผิดได้ไม่เกิน 5 คำเท่านั้น
รางวัลสำหรับผู้ทำภารกิจหลักเสร็จสมบูรณ์
- คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดรางวัล:
QUEST COMPLETE STAMP
ตราประทับที่มอบให้สำหรับผู้ที่เคลียร์ภารกิจหลักได้ เพื่อเป็นเกียรติยศแสดงถึงความรับผิดชอบที่สามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จลุล่วง เมื่อถูกประทับแล้วจะทำให้ได้ค่าประสบการณ์ +100 Grade Exp. โดยอัตโนมัติ+10 STAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลพิเศษมากมายกับทางโรงเรียนได้+10 ORIHALCON
หินแร่หายากสำหรับใช้ในการทำพิธีเพิ่มพลังโจมตีกายภาพ (ATK) และ พลังโจมตีเวทมนตร์ (M.ATK) สามารถนำหินไปให้โหรวิเศษทำพิธีได้ที่ "ลานพิธีกรรมโหรผู้วิเศษ" เมื่อใช้งานแล้วจะเพิ่มพลังโจมตีอย่างถาวร+250,000 CHIPS
เหรียญตราที่ใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในโรงเรียนหรือการร่วมกิจกรรมพิเศษที่ทางโรงเรียนและบริษัทสปอนเซอร์จัดขึ้น
- EURChairman's Club
Elite Urban Royle
ผู้อำนวยการฝ่ายปกครอง
4633
+3,126 M 323 K
PASSPORT
:
(142575/181250)
:
Re: [ Quest 16 ] : ตำนานสยองขวัญในโรงเรียน
รางวัลสำหรับกรณีพิชิต Raid Boss ได้
ไอเทมที่จะได้รับ | เงื่อนไขที่ต้องเคลียร์ |
HP เหลือ 0 [ 0 / 6,960 ] | |
HP ต่ำกว่า 25% [ 1,740 / 6,960 ] | |
HP ต่ำกว่า 50% [ 3,480 / 6,960 ] | |
HP ต่ำกว่า 75% [ 5,220 / 6,960 ] |
- คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียดรางวัล:
RAID BOSS CONQUEROR STAMP
ตราประทับที่มอบให้เป็นรางวัลแสดงถึงความกล้าหาญและความสามัคคีสำหรับผู้ที่สามารถพิชิต Raid Boss ที่ปรากฏออกมาป่วนภารกิจหลักได้ เมื่อถูกประทับแล้วจะทำให้ได้ค่าประสบการณ์ +100 Grade Exp. โดยอัตโนมัติSTAR PIECE
ชิ้นส่วนดวงดาวที่ใช้สะสมรวมกันในขวดโหล สามารถนำไปแลกเป็นของรางวัลพิเศษมากมายกับทางโรงเรียนได้ORIHALCON
หินแร่หายากสำหรับใช้ในการทำพิธีเพิ่มพลังโจมตีกายภาพ (ATK) และ พลังโจมตีเวทมนตร์ (M.ATK) สามารถนำหินไปให้โหรวิเศษทำพิธีได้ที่ "ลานพิธีกรรมโหรผู้วิเศษ" เมื่อใช้งานแล้วจะเพิ่มพลังโจมตีอย่างถาวรJAPANESE STUDENT(M)
ชุดยูนิฟอร์มนักเรียนชายของประเทศญี่ปุ่น เป็นชุดสีดำเรียบที่ดูเป็นทางการJAPANESE STUDENT(F)
ชุดยูนิฟอร์มนักเรียนหญิงของประเทศญี่ปุ่น เป็นชุดสีดำเรียบที่ดูเป็นทางการZASHIKIWARASHI
วิญญาณเด็กประจำบ้านของประเทศญี่ปุ่น ช่วยปกป้องเจ้าของบ้านผู้ที่ให้อาศัยอยู่จากภยันตรายและสิ่งอัปมงคลที่ย่างกรายเข้ามาCHIPS
เหรียญตราที่ใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในโรงเรียนหรือการร่วมกิจกรรมพิเศษที่ทางโรงเรียนและบริษัทสปอนเซอร์จัดขึ้น
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
464
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Unity Bridge
- Unity Bridge:
- Unity bridge
“เอาจริงหรอ”
เด็กสาวหันมองเพื่อนอีกรอบเพื่อความแน่ใจ ในอกเต้นตุ้บๆ ต่อมๆ อย่างตื่นเต้น ใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกสร้างความบันเทิงให้คนมองไม่น้อย
“จริง ดูซิว่าจะมีจริงหรือเปล่า” หมอก หรือพยับหมอก เชิดใบหน้าขึ้นท่าทางยียวน กอดอกพลางมองตรงไปอีกฝั่งของสะพานซึ่งเป็นหอพัก
บางห้องยังเปิดไฟอยู่ คงจะเป็นพวกนกฮูกที่ชอบอ่านหนังสือตอนกลางคืน แต่ก็มีน้อยจนนับด้วยมือข้างเดียวได้
กรรณิการ์ เด็กสาวผมยาวดำขลับนัยน์ตาสองสีกำลังเหงื่อตก อากาศร้อนอบอ้าวก็จริงแต่นั่นไม่ใช่เหตุผล เธอโดนเพื่อนลากออกมาข้างนอกในเวลาเที่ยงคืนเพื่อทำอะไรบางอย่าง
โรงเรียนที่พวกเธอเรียนในปัจจุบันนั้นค่อนข้างใหญ่โตและมีชื่อเสียงพอสมควร โรงเรียนให้ความสะดวกทั้งในด้านการเรียนและที่อยู่อาศัย
แต่สิ่งที่ไม่ได้แตกต่างไปจากที่อื่นก็คือ “เรื่องเล่าสยองขวัญ” ที่พวกนักเรียนพากันร่ำลืออย่างออกรสออกชาติ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดเรื่องเหล่านี้ก็วนเวียนไม่เคยหายจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
พยับหมอกนั้นเป็นคนหัวสมัยใหม่ และมักไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง ดวงตาเรียวรีและริมฝีปากที่ยกยิ้มขณะนี้ยิ่งทำให้ใบหน้าดูดื้อรั้นขึ้นไปอีก
ตัดภาพมาที่เพื่อนสาวข้างกาย กรรณิการ์ ที่แม้ว่าจะมีข้อกังขาเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติแต่ก็ไม่ได้ต้องการจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรือพิสูจน์อะไรแต่อย่างใด
ย้อนกลับไปเมื่อตอนกลางวันที่ผ่านมา ระหว่างที่ทานอาหารกันกรรณิการ์สังเกตเห็นว่าเพื่อนสาวผมแดง (ที่สีเริ่มซีดแล้ว) กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ไม่ยอมเคี้ยวข้าว อมไว้ในแก้มเหมือนเด็กๆ จนต้องสะกิดแขนไปหนึ่งที
“อมข้าวเดี๋ยวฟันผุนะ” กรรณว่านิ่งๆ และกลับไปทานอาหารอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่หือไม่อือจึงสะกิดอีกรอบ คราวนี้หมอกกลับมาโฟกัสที่เพื่อนสาว
เคี้ยวข้าวและกลืนลวกๆ ก่อนจะบอกกับกรรณด้วยใบหน้าง้ำงอกว่าเดิม
“ชู่ว! อย่ากวนได้ไหม ฉันกำลังฟังอยู่”
กรรณเลิกคิ้วอย่างฉงน ก่อนจะเงียบและฟังบ้าง
“ที่สะพานสามัคคีน่ะ ถ้าเดินถอยหลังจากฝั่งอาคารเรียนไปที่หอพักล่ะก็ เขาว่ากันว่ามันจะพาข้ามมิติไปโลกวิญญาณได้นะ”
เสียงเด็กนักเรียนที่นั่งโต๊ะฝั่งตรงข้ามชัดเข้ามาในโสตประสาท พยับหมอกเป็นคนที่นั่งหันหลังให้ฝั่งนั้น กรรณิการ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเพื่อนยังจดจ่อจึงกลับไปเพ่งสมาธิฟังอีกรอบ
“เห จริงหรอ ไม่น่าเป็นไปได้หรอกมั้ง” อีกเสียงหนึ่งว่า
“ไม่รู้สิ ได้ยินมาอีกทีเหมือนกัน ต้องไปตอนกลางคืนนะ แล้วก็ระหว่างเดินถอยหลังห้ามหันกลับไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่สำเร็จ”
“...เพ้อเจ้อ” พยับหมอกพึมพำอย่างไม่ยี่หระและจ้วงเอาชิ้นหมูในจานเข้าปาก กรรณิการ์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามหัวเราะในลำคอ ส่ายหน้าให้กับการกระทำที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของเธอ
ปากบอกว่าเพ้อเจ้อ แต่ตั้งใจฟังจนอาหารบนจานแทบไม่พร่องลงเลย
“แล้วก็ๆ ถ้าหากข้ามไปได้สำเร็จ ระหว่างนั้นห้ามให้ยามจากมิตินั้นจับได้เป็นอันขาด” เด็กสาวจากอีกโต๊ะกล่าวต่อ
“ทำไมล่ะ?”
“เขาบอกว่า...”
เด็กสาวเว้นระยะไป พยับหมอกที่แอบฟังหยุดเคี้ยวข้าวด้วยความลุ้น เป็นภาพที่ตลกมากจนอยากจะควักเอามือถือมาถ่าย
“ยามจะดึงเอาวิญญาณไปหายมทูต แล้วก็จะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”
“โห น่ากลัวจัง”
“ใช่ไหมล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะกลับออกมายังไง”
ติ๊งต่อง!
พยับหมอกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เสียงเตือนของโรงเรียนดังลั่นทั่วบริเวณบ่งบอกว่าได้เวลากลับเข้าตึกเรียนแล้ว
เธอจึงทำได้แค่รีบทานอาหารอย่างรวดเร็วและเอาจานไปเก็บโดยมีกรรณิการ์เดินตามมา
สีหน้าอารมณ์เสียที่ไม่ได้ฟังจนจบ กรรณิการ์เมื่อเห็นดังนั้นจึงยื่นช็อกโกแลตบาร์ให้หนึ่งชิ้นเพราะรู้ว่าชอบ
“แบ่ง”
“ขอบใจ” แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ปมคิ้วของสาวผมแดงคลายออกเลย
“เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยหรอ ไม่ยักรู้” กรรณิการ์กัดกร้วมช็อกโกแลตบาร์ไปหนึ่งคำ นึกสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้ว่าทำไมหมอกถึงตั้งใจฟังนักหนา
เพราะเท่าที่รู้จักกันมาเพื่อนของเธอไม่น่าจะสนใจเรื่องอะไรแนวนี้
“ก็มันอยากรู้ สุดท้ายจะกลับออกมาได้ยังไง ไม่ทันได้ฟังเลยเนี่ย”
“เห็นว่าต้องไปหารุ่นพี่ที่ผูกโบว์สีแดงให้เจอน่ะ” กรรณิการ์ว่าพลางเลียคราบช็อกโกแลตบนนิ้วมืออย่างสบายๆ แต่พยับหมอกเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันหน้ามาทำตาโตใส่ทันที
“รู้ได้ยังไง!”
“เมื่อกี้เดินตามหลังน้องเขา ก็เลยได้ยินโดยบังเอิญ”
“งั้นหรอ” พยับหมอกยิ้ม ใบหน้าคลายจากความตึงเครียดอย่างสิ้นเชิง แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้กรรณิการ์รู้สึกขนลุก
“ทำไมถึงยิ้มแบบนั้น”
“กรรณ”
“ว่า?”
หยับหมอกจับไหล่เพื่อนสาวทั้งสองข้าง หน้าตายิ้มแย้มมีเลศนัย
“อย่าบอกนะ...”
“เจอกันที่สะพานสามัคคีตอนห้าทุ่มห้าสิบนะ”
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่พวกเธอมายืนอยู่ที่ตีนสะพานฝั่งตึกเรียนในเวลาที่ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ด้วยความอยากรู้ของหมอกและลูกตื๊อที่กรรณไม่มีทางเอาชนะได้ เธอจึงจำใจมาเป็นเพื่อน
“เริ่มเลยไหม”
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรเล่า”
หลังจากที่ตกลงนัดแนะกันเรียบร้อยหมอกบอกว่าเธอจะเป็นคนเดินถอยหลังเองโดยที่มีกรรณยืนรออยู่ที่เดิม หมอกไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะมีจริงแต่กรรณนั้นไม่แน่ใจ
เธอกังวลว่าถ้าหากมันเป็นไปตามที่ลือกันล่ะก็จะเกิดอะไรขึ้นกับหมอก แถมสะพานฝั่งตรงข้ามก็มีระยะพอสมควร ถ้าหากลงเนินไปแล้วเธอที่ยืนอยู่ตีนสะพานจะมองไม่เห็นเพื่อน
ถึงแม้โรงเรียนจะมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม แต่ใครจะรู้ อาจมีอุบัติเหตุหรือเรื่องร้ายเกิดขึ้นก็ได้
“ฉันทำด้วย”
“ห๊ะ?”
หมอกมองเพื่อนด้วยความฉงน เพราะก่อนหน้านี้ดูกรรณไม่ได้สนใจจะทำด้วยเลยสักนิด
“ทำเป็นเพื่อนไง ไม่ดีหรอ”
มองหน้าเพื่อนสักพัก หมอกก็เข้าใจในทันทีว่าเจ้าเพื่อนตัวดีคนนี้คงไม่วายกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้วแน่ๆ แต่เพราะไม่อยากสาวความยาวต่อความยืดจึงพยักหน้าตกลง
ความมืดรายล้อมมีเพียงเสาไฟบนสะพานที่ให้แสงสว่าง เด็กสาวในชุดลำลองสองคนกำลังเดินถอยหลังขึ้นสะพานด้วยจังหวะธรรมดา
ระหว่างนั้นไม่มีบทสนทนาเลยสักนิด เสียงจั๊กจั่นที่ร้องระงมจึงพอให้อุ่นใจได้บ้างว่าตอนนี้พวกเธออยู่ในโลกปัจจุบัน
จนในที่สุด ก่อนถึงตีนสะพานอีกฝั่งพยับหมอกดันสะดุดขาตัวเองเนื่องด้วยความต่างระดับของสะพาน ศีรษะของเธอเกือบจะกระแทกพื้นแต่ดีที่กรรณไวกว่า
เธอใช้มือรองศีรษะเพื่อนได้ทันและร้องด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า!”
“โอย… ไม่เป็นไร”
หมอกกุมสะโพกด้านหลังที่กระแทกพื้นเมื่อกี้ ความเจ็บทำให้ความตื่นเต้นพาลหายไปเสียหมด
“ขอบใจนะ” หมอกหันไปด้านหลัง ก่อนจะชะงัก
ไม่มี
ไม่มีใครอยู่ตรงนี้เลยนอกจากเธอ
“กรรณ?” หันมองซ้ายขวา เงียบสงัดไร้การเคลื่อนไหว หมอกยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าอย่างลวกๆ
“นั่นแน่ จะแกล้งกันล่ะสิ คิดหรอว่าฉันจะกลัวอะไรแบบนี้”
ไตร่ตรองดูแล้วก็คิดว่าเพื่อนต้องแกล้งแน่ๆ เธอเท้าเอวก่อนจะยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อคิดว่าเธอเดาทางออก เดินดุ่มๆ เข้าไปที่พุ่มไม้ใหญ่ข้างเสาสะพาน
เพราะดูแล้วคงจะมีแค่ที่ตรงนี้เท่านั้นที่สามารถวิ่งมาซ่อนได้ในเวลาไม่กี่วินาทีจากที่เธอล้มเมื่อกี้
แต่ก็ไม่มี หมอกเดินวนรอบบริเวณอีกครั้ง ใต้สะพาน ลานจักรยาน ทางเดิน ต้นไม้ พุ่มไม้ ใบไม้ เธอหาหมดทุกที่
เวลาผ่านไปร่วมสิบนาที จากใบหน้าอวดดีก็กลายเป็นกังวล
“กรรณ พอแล้ว ไม่เล่นแล้ว”
มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา เงียบเสียจนเหมือนว่าเธออยู่ที่นี่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น
“หรือว่า… เราข้ามมาแล้ว”
คิดได้ดังนั้นก็หันซ้ายหันขวา หาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ในใจเริ่มเป็นกังวล ถ้าหากเธอข้ามมาที่โลกวิญญาณจริงล่ะก็ทำไมกรรณถึงไม่ตามมาด้วยล่ะ
มาได้ทีละคนงั้นหรอ?
แล้วทำไมทุกอย่างถึงยังเหมือนโลกจริงแบบนี้
ไฟจากบนห้องหอพักที่เปิด ก็ยังเปิดอยู่ที่ห้องเดิม
ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด
“อ้าว หมอก?”
เสียงทุ้มจากข้างหลังทำให้เธอที่กำลังจมอยู่กับความคิดสะดุ้งโหยง ใบหน้าพลันซีดเพือดเพราะคิดว่าเจอดีเข้าให้แล้ว แต่เอ๊ะ…
เดี๋ยวนะ
“โทนี่?”
“ฮ่าๆๆ เธอจริงด้วย มาทำอะไรตรงนี้คนเดียวน่ะ”
เพื่อนรุ่นเดียวกันยิ้มละไม โทนี่เป็นเพื่อนคนแรกๆ ที่กรรณรู้จักหลังจากที่มาเรียนที่นี่ เธอจึงพาลรู้จักไปด้วยและมีความคุ้นชินอยู่พอสมควร
แต่เนื่องจากเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้เธอไม่วางใจที่จะพูดกับคนตรงหน้าโดยทันที
...เป็นคนหรือเปล่าเนี่ย
“ทำไมมองผมแบบนั้นอะ” โทนี่ยิ้มแหย เพราะสาวตรงหน้านอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังทำหน้าตาไม่ไว้ใจสุดฤทธิ์
“นาย… เป็นคนหรือเปล่า”
“หา?”
เป็นคำถามที่แปลกที่สุดในชีวิตที่เขาได้ยินมา หรือว่า… เขาหน้าเหมือนผีหรอ แค่ไม่ได้เซ็ตผมเองนะ
“อะไรกัน ผมยังไม่ตายสักหน่อย”
“จริงด้วย” หมอกพึมพำ
“ละ… แล้วมาทำอะไรเอาป่านนี้อะ”
“นอนไม่หลับเลยมาเดินเล่นเฉยๆ”
อื้ม ก็ฟังดูสมเหตุสมผลดี
“งั้นก็หมายความว่า...”
“อะไรหรอ?”
ทันใดนั้นหมอกก็เบะปากทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ผู้มาใหม่อย่างโทนี่มึนงงไปหมด ละล่ำละลักถามทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามันแปลกที่เห็นหมอกในเวลานี้
“เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น?”
“กะ… กรรณหายย กรรณหายยยย”
จากที่คิดว่าเพื่อนแกล้งเล่น กลับกลายเป็นว่าเรื่องอาจไม่ใช่อย่างนั้น มีอย่างไหนที่อยู่ๆ หายไปภายในเวลาไม่กี่วิ เมื่อคิดให้ดีอีกที
ด้วยนิสัยของกรรณแล้วเธอไม่คิดว่ากรรณจะเล่นอะไรเด็กๆ อย่างการซ่อนแอบหรือทำอะไรที่สามารถก่อเรื่องน่ากังวลใจได้ในเวลาดึกดื่น
“ฮือออ กรรณหายยยย” โทนี่เหงื่อตก
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
กรรณิการ์เหยียบถึงที่หมายก่อนหมอกในเวลาไม่กี่วิ เธอทันเห็นว่าเพื่อนสะดุดและกำลังจะล้มลงจึงรีบวิ่งเอามือไปรองที่ศีรษะ
ใช่ ยังจำได้อยู่เลยว่ามือสัมผัสโดนเส้นผมจริงๆ
แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกวูบไปชั่วครู่ ตาพร่าเบลอและมึนหัวมากจนต้องคุกเข่าลง เธอกุมศีรษะอยู่สักพักจนเมื่อทุกอย่างดีขึ้นก็เงยหน้า แต่หมอกก็ไม่อยู่แล้ว
กลับไปแล้วหรอ?
เพราะกรรณไม่รู้ว่าตัวเองตกอยู่ในอาการเมื่อครู่นานเท่าไร อาจจะนานเกินไปจนหมอกขี้เกียจรอเลยกลับไปก่อนหรือเปล่านะ
อ่า คิดไม่ออกแล้ว
กรรณยืนขึ้นอย่างระมัดระวัง หัวตื้อมากจนคิดอะไรแทบไม่ออกแถมเวียนหัวจนรู้สึกอยากอาเจียน พลังงานในร่างกายเหมือนโดนสูบออกไปในเวลาไม่นาน
เธออยากจะล้มตัวลงนอนเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็พยุงตัวเองขึ้นหอพัก และกลับเข้าไปนอนในห้องได้ในที่สุด
เช้าวันต่อมา กรรณตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ไม่สดใสนัก เธอเดินโซซัดโซเซไปที่ห้องน้ำโดยไม่ได้สนใจรูมเมทที่นอนอยู่บนเตียงชั้นสอง
ทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้…
กรรณเงยหน้ามองนาฬิกาอนาล็อกเหนือบานกระจกและแปรงฟังไปพลาง เหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งชั่วโมงก่อนเข้าเรียน ไปนอนต่ออีกสักหน่อยดีไหมนะ
เอ๊ะ ไม่ดีกว่า ไปดูหมอกสักหน่อยดีกว่า อยากจะถามด้วยว่าทำไมถึงกลับก่อน
กรรณิการ์จัดการทุกอย่างเรียบร้อย แต่งตัวถูกระเบียบและคว้าสเก็ตบอร์ดคู่ใจออกไปจากห้องโดยที่รูมเมทยังคงนอนอยู่ที่เดิม
.
.
.
.
เธอไถสเก็ตบอร์ดตามเส้นทางอย่างเอื่อยเฉื่อย ลมเย็นปะทะหน้าพอให้รู้สึกดึขึ้นมาบ้างแม้จะมีอาการมึนงง แต่เธอคิดว่าอาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึก
“ว้าย!”
เพราะมัวแต่เหม่อลอยทำให้ไม่ทันเห็นว่ามีคนเดินอยู่ กรรณเบรกกะทันหันจนตัวกระแทกเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะๆ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ!”
กรรณรีบพาหญิงสาวลุกขึ้น มองรอบตัวเมื่อเห็นว่ามีของตกก็รีบไปเก็บขึ้นมาให้ ก้มหัวขอโทษจนแทบไม่ได้เงย
“ขอโทษจริงๆ นะคะ บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า เมื่อกี้ชนแรงมากเลย”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรค่ะ ดีที่พื้นมันเรียบก็เลยไม่เจ็บมาก”
กรรณิการ์เงยหน้าขึ้น พบกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง ดูจากสีโบว์ที่ชุดแล้วคงจะอยู่ ม. 6 เธอยิ้มให้และไม่ได้กล่าวโทษอะไร
ท่าทางสุภาพ ดูเรียบร้อยสง่างามเหมือนตุ๊กตากระเบื้อง โบว์ผูกผม “สีแดง” ยิ่งทำให้ดูสวยขึ้นไปอีก
โห…
มีคนสวยขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยแฮะ
“อ่า ขอโทษอีกครั้งนะคะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน” กรรณโค้งตัวอีกครั้ง เดินกลับไปหยิบสเก็ตบอร์ดตั้งท่าจะไปต่อ
“เดี๋ยวก่อนค่ะ!” แทบหัวคะมำอีกรอบ หญิงสาวคนเมื่อกี้เดินเข้ามาหาอีกครั้ง
“เข่าเธอถลอก ไม่เจ็บหรอ”
กรรณเลิกคิ้วก่อนจะก้มลงมองเข่าตัวเอง
แม่เจ้า… เลือด
“มะ… เมื่อกี้สงสัยจะเอาเข่าลงน่ะค่ะ แหะๆ”
และสุดท้ายทั้งสองคนก็ต้องพากันมาที่ห้องพยาบาล แต่เนื่องจากเป็นแผลเล็กน้อยอาจารย์ประจำห้องจึงให้อุปกรณ์มาทำแผลเอง
“มีอะไรบอกครูได้เลยนะ” แล้วก็เดินออกไป
กรรณรับคำ ก่อนจะหันมาหาหญิงสาวตรงหน้าและขออุปกรณ์ทำแผลที่เธอถืออยู่
“เดี๋ยวฉันทำให้ค่ะ”
“เอ๋? ไม่เป็นไรค่ะๆ ฉันทำเองดีกว่า”
“ฉันทำให้นะคะ”
หญิงสาวยิ้ม ทันใดนั้นกรรณรู้สึกว่าขนทั้งตัวลุกชันอย่างพร้อมเพรียงกัน มองหน้าหญิงสาวนิ่งๆ รู้สึกว่าใบหน้าของเธอช่างสมบูรณ์แบบ
แต่ใบหน้าที่กำลังยิ้มอยู่นี้ให้ความรู้สึกประหลาดเหลือเกิน มันจืดชืดและเย็นยะเยือก ทั้งที่แสดงถึงความเป็นมิตร สัญชาตญาณในตัวบอกว่าเธอไม่ควรพูดอะไรออกไปอีก กรรณิการ์จึงตัดสินใจนั่งลงบนขอบเตียง
“เพิ่งมาที่นี่หรอคะ” หญิงสาวถาม เทแอลกอฮอลลงสำลีและเช็ดรอบปากแผลอย่างเบามือ กรรณสะดุ้งเล็กน้อย ความเจ็บทำให้เข่าเต้นตุบๆ
“อ่า ย้ายมาตอน ม. ปลายค่ะ ตอนนี้อยู่มาหนึ่งปีแล้ว”
“แบบนี้นี่เอง” รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา เธอจัดแจงใส่ยาฆ่าเชื้อ เช็ดคราบต่างๆ ให้เรียบร้อยและปิดพลาสเตอร์ให้
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะคะ” กรรณยิ้ม นิ้วโป้งของหญิงสาวลูบไปบนพลาสเตอร์ราวกับทำให้แน่ใจว่ามันติดแน่นดี กรรณิการ์รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยแต่ก็ไม่กล้ากล่าวอะไร หากแต่ว่ารุ่นพี่คนนี้กลับลูบเข่าเธออยู่อย่างนั้นจนรู้สึกแปลกๆ
“ถ้างั้น–”
“ฉันขอเป็นเพื่อนเธอได้ไหม” ตอนที่จะขอตัว อยู่ๆ รุ่นพี่สาวก็พูดสวนขึ้น กรรณรู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะโดนขอเป็นเพื่อนกะทันหัน ค่อนข้างแปลกใจเพราะคิดว่าคนอย่างรุ่นพี่คนนี้น่าจะมีเพื่อนเยอะอยู่แล้ว
“เอ่อ… แน่นอน ได้สิคะ” ถึงกระนั้นก็พยักหน้า
หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งข้างๆ
“ถ้าอย่างนั้นจะอยู่ด้วยกันตลอดไปหรือเปล่า”
“เอ๋?”
กรรณิการ์รู้สึกฉงนกว่าเดิม เรื่องราวเกิดขึ้นไวไปหมด แถมอาการมึนงงจากเมื่อวานก็ยังไม่หายดี เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถคิดอย่างถี่ถ้วนได้
ในขณะนั้นอยู่ๆ ภาพของเด็กสาวผมแดงก็ผุดขึ้นมาในหัว
“พะ.. พอดีฉันมีธุระ ต้องไปก่อนนะคะ” เธอรู้สึกไม่มั่นใจกับคำว่าตลอดไปของคนตรงหน้า อีกอย่างคือเพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกเมื่อสิบห้านาทีที่แล้วนี้เอง
เรื่องอะไรเธอต้องตอบตกลงด้วยล่ะ นิสัยเป็นยังไงก็ไม่รู้
“เป็นเพื่อนกันตลอดไปได้ไหม” เมื่อทำท่าจะลุก หญิงสาวก็จับใบหน้ากรรณิการ์ให้สบมอง ในความรู้สึกของเธอมือที่แนบบนแก้มนั้นเย็นมากเสียจนน่าตกใจ
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มแวววาวแต่นิ่งสงบเหมือนน้ำที่ไม่เคยเจอกระแสลม มันน่าขนลุกแต่ในขณะเดียวกันก็สวยงามมากจนไม่อยากละสายตา
ทว่าลึกเข้าไป สัญญาณบางอย่างเตือนเธอว่าควรรีบหนีออกไปจากที่นี่ซะ ตัวของกรรณิการ์เกร็งเครียดขึ้น คิ้วขมวดอย่างไม่เข้าใจว่าเธอต้องหนีจากสิ่งใด
รอบข้างก็ดูสงบดี ลมที่พัดเข้ามาจากทางหน้าต่างให้ความรู้สึกเย็นสบาย เสียงกระดาษกระพือจากพัดลมในห้องพักครูดังอยู่ที่ด้านหลัง
“อยู่กับฉันไหม?”
หญิงสาวเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจเย็น กรรณิการ์อยากเบือนหน้าหนีแต่มือสองข้างที่ประกบใบหน้าอยู่ทำให้เธอขยับแทบไม่ได้ ดวงตาสั่นระริกอย่างตื่นกลัว
“ให้เธอได้ทุกอย่าง แค่ตอบตกลงเท่านั้น”
“ฉะ… ฉันต้องไปหาเพื่อน”
“ไปหาใครกัน ฉันนี่ไงเพื่อนเธอ”
“ไปหามะ...”
เอ๊ะ
กำลังจะไปหาใครกันนะ
.
.
.
.
กรรณิการ์กลับมาที่หอพักด้วยสภาพเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิด ร่างกายอ่อนแรง เหนื่อย มึนงง เธอพาตัวเองเข้ามาในห้องและล้มลงนอนทันทีโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า
ผ่านไปสักพักก็ตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะไม่สบายตัว เธอลุกขึ้นจากเตียงกะว่าจะทำธุระให้เรียบร้อยจะได้กลับมานอนอย่างสบายๆ
โซซัดโซเซเดินไปที่ห้องน้ำและกลับออกมา เงยขึ้นไปที่เตียงชั้นสองยังเห็นรูมเมทนอนอยู่ที่เดิม
หืม? แปลกจัง
ทำไมเจอกันทีไรก็นอนตลอดเลยนะ
เธอคิด แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้อีกจึงล้มตัวบนเตียงอีกรอบ ในขณะที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงฝันนั้น เสียงจากเตียงชั้นบนก็ดังขึ้น
“นี่”
“หืมม” กรรณครางรับในคออย่างเหนื่อยอ่อน ครั้นจะปล่อยผ่านก็กลัวเสียมารยาท
“มีคนรอเธออยู่น่ะ” เสียงนั้นพูดนิ่งๆ กรรณใกล้จะหลับเข้าไปทุกทีแต่ก็พยายามฟังอยู่
“ใครอะ...”
“ไม่รู้สิ” เมื่อได้ยินดังนั้นกรรณก็ขมวดคิ้วทั้งที่หลับตา อะไรกัน บอกว่ามีคนรอแต่ไม่รู้ว่าใครเนี่ยนะ?
“ช่างเถอะ ไว้เจอพรุ่งนี้ละกัน” เธอว่าปัดๆ กะว่าจะไม่ฟังอะไรอีกแล้วเพราะเหนื่อยมาก
ตุบ!
ทันใดนั้นคนบนชั้นบนก็กระโดดลงมา กรรณหันไปมองอย่างตกใจก็พบกับผู้หญิงผมสั้นสวมชุดนอนผ้าซาตินสีขาว
“อะไร ฉันจะนอนแล้ว” กรรณว่าพร้อมกับหันหลังให้
“ไม่ได้” รูมเมทว่า
“ทำไมเล่าาา ฉันเหนื่อยนะ”
ความเงียบผ่านไปสักพัก เป็นกรรณเองที่ทนไม่ไหวยอมลุกมานั่งบนเตียง
“มีอะไรก็พูดมา อย่ามายืนจ้องกันแบบนี้มันนอนไม่หลับ”
“ยามจะมาตรวจแล้ว” เธอว่าพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน
“แล้ว?” เพราะความเหนื่อยและหงุดหงิด น้ำเสียงที่ตอบกลับไปจึงค่อนข้างไม่สบอารมณ์ ยามจะตรวจแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ
“เธอต้องไป”
“ไปไหน”
“กลับไปที่เดิม”
“ที่ไหนล่ะ”
“สะพาน”
“ทำไม”
“เพราะไม่อย่างนั้นจะกลับไปไม่ได้อีก”
กรรณมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเหม่อ หัวฟูจากการนอนเมื่อกี้ เอาแต่พูดอะไรไม่รู้ไม่เห็นจะเข้าใจเลย
“ฉันนอนละ” กรรณตวัดผ้าห่มคลุมตัว บอกกับตัวเองในใจว่าจะไม่สนใจคนร่วมห้องอีก แต่ในชั่วขณะหนึ่ง
ความทรงจำที่เธอได้พูดคุยกับเด็กสาวผมแดงก็แวบขึ้นมาในหัว เกี่ยวกับมิติวิญญาณอะไรสักอย่าง
กรรณขมวดคิ้ว พยายามเรียบเรียงภาพในหัวอีกครั้ง แต่ก็เหมือนจะเพ่งสมาธิไม่ได้เลย
“มานี่”
ยังไม่กลับขึ้นไปนอนอีก…
กรรณถอนหายใจ แต่ก็ยอมลุกเดินไปหารูมเมทแต่โดยดี หวังว่าจะได้ทำอะไรให้จบๆ ละกลับไปนอนอย่างสงบสุขสักที
“มีอะไรว่ามา”
“เธอเจอคนที่ผูกโบว์ผมสีแดงหรือยัง” กรรณครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้ารับ
“ตอบตกลงไปหรือยัง”
“ตกลงอะไร”
“ว่าจะเป็นเพื่อน” กรรณขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำไมเธอจะต้องมาบอกข้อมูลอะไรแบบนี้กับคนอื่นด้วย
“ตอบมา”
“ตกลงแล้ว” คนตรงหน้าเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถามอีก
“ตลอดไปไหม”
“อะไร”
“ได้ตอบตกลงว่าจะเป็นเพื่อนตลอดไปหรือเปล่า” คราวนี้กรรณส่ายหน้า รอยยิ้มเล็กๆ จึงผุดขึ้นที่ริมฝีปากรูมเมท
“งั้นก็ดี”
“อะไร รุ่นพี่คนนั้นเป็นเพื่อนเธอหรอ”
“อื้ม”
“โห่ อะไรกัน ที่แท้ก็หวงเพื่อนนี่เอง” กรรณยิ้มล้อ กะว่าจะได้ยินคำแก้ตัวจากคนตรงหน้าแต่ผิดคาด รูมเมทตัวน้อยคนนี้กลับยิ้มออกมาอย่างเศร้าๆ แทน
“ฉันขอเตือนเธอไว้อย่าง” รูมเมทว่า พลางยกมือกอดอกใบหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไรอีก
“ว่า?”
“ถ้ารุ่นพี่คนนี้ถามอะไร อย่าตกลงอีก คำตกลงครั้งที่สองคือที่สุด” ถึงจะมึนงง แต่กรรณก็พยักหน้า เพราะเธอเองก็รู้สึกว่ารุ่นพี่คนนี้แปลกจริงๆ
“แล้วก็เธอควรออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ร่างกายของเธอขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่รอดแน่” คราวนี้กรรณขมวดคิ้วแน่น
ออกไปจากที่นี่อะไร ห้องนี้เธอก็จ่ายค่าเช่าอย่างถูกต้อง และร่างกายที่มันเหนื่อยแบบนี้ก็แค่เพราะเรียนเยอะเท่านั้นเอง
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น กรรณหันมองรูมเมทอย่างตกใจเพราะในเวลานี้ไม่น่ามีใครมาเคาะประตู แต่รูมเมทกลับทำหน้านิ่งๆ แทน
“ไปเปิดประตูให้หน่อย” รูมเมทว่า
“เอ้า แล้วทำไมเป็นฉันล่ะ”
“ก็ต้องเป็นเธอนั่นแหละ”
ถึงแม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่ดูจากขนาดตัวแล้วกรรณคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยก็น่าจะสู้ได้มากกว่ารูมเมทตัวเล็กคนนี้ จึงตัดสินใจเดินไปเปิดประตูอย่างเชื่องช้า
“อยู่นี่เอง!” เป็นผู้ชายใส่ชุดเครื่องแบบรปภ. คนหนึ่ง เขายิ้มอย่างดีใจทันทีที่กรรณเปิดประตู
เอ๊ะ มาหาเราหรอ
“ขอบใจมากนะหนู” ลุงยามหันไปยิ้มให้กับรูมเมท กรรณหันมองตามอย่างงงๆ
นี่มันเกิดไรขึ้น งงไปหมด ขอบใจไรกัน
“เธอช่วยตามลุงมาได้ไหม” เขาว่า พร้อมกับยิ้มไมตรี กรรณที่งงสุดฤทธิ์ก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเพราะไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรเลย
“ตามเขาไปเถอะ ฉันนอนล่ะ” รูมเมทเดินไปปีนขึ้นเตียงชั้นสอง ดูท่าทางไม่ได้เดือดร้อนอะไร กรรณหันมองคนตรงหน้าอีกที ลุงยามคงอยากให้ช่วยอะไรสักอย่างล่ะมั้ง ถึงจะน่าสงสัยก็เถอะ
“อ่า โอเคค่ะๆ” กรรณตอบตกลงในที่สุด และวินาทีก่อนที่ประตูห้องจะปิดสนิท ได้ยินเสียงแว่วจากคนในห้องมาว่า ´โชคดี´
เป็นคนที่แปลกจัง
.
.
.
.
กรรณเดินตามหลังลุงยามมาเรื่อยๆ ฟังแกบ่นเรื่องที่ต้องตามหาเด็กนักเรียนทุกครั้งเวลามีคนหลงเข้ามา
บางคนโชคดีก็ได้กลับเร็วบางคนก็โชคร้ายไม่ได้กลับเลย ฟังไปก็ไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็เอาแต่บอกว่าตามหากรรณมาหลายวันแต่หาไม่เจอเพราะโดนซ่อนตัว
ถ้าไม่ได้รูมเมทคนเมื่อกี้ช่วยบอกตำแหน่งอาจจะหาไม่เจอเลย
แล้วลุงยามจะอยากตามหาตัวเธอไปทำไมกัน
ไหนจะเรื่องได้กลับไม่ได้กลับนี่อีก
อยากกลับบ้านเมื่อไรก็กลับได้นี่นา
ฟังไปเรื่อยเปื่อยจนมาหยุดยืนอยู่ที่ตีนสะพานสามัคคี ลุงยามก็หันมาพูดกับเธอยิ้มๆ
“เอาล่ะหนูน้อย คราวนี้เดินหน้าข้ามสะพานนี้กลับไปนะ” กรรณหันมองคนข้างกายอย่างฉงน ความง่วงงุนที่ค้างคาหายไปหมดแล้ว
“เดินทำไมคะ”
“เถอะน่ะ แล้วก็ไม่ต้องหันกลับมาอีกล่ะ”
“ในเวลานี้น่ะหรอคะ”
“ใช่แล้ว แล้วก็ถ้าได้ยินเสียงอะไรไม่ต้องตอบรับ แค่เดินไปอย่างสุขใจก็พอ”
กรรณพยักหน้ารับ เธอรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะรอยยิ้มไมตรีจากคุณลุงท่านนี้ หัวของเธอรู้สึกโล่งๆ ไม่หนักอึ้งเหมือนเก่า
“ขอให้โชคดี เจอกันเมื่อถึงเวลานะยัยหนู”
กรรณิการ์ก้าวขึ้นไปบนสะพาน เธอรู้สึกเหมือนเวลารอบตัวช้าผิดปกติ มีหิ่งห้อยบินรายล้อมสวยงาม เบื้องหน้ามีแค่สะพานโล่งๆ กับแสงไฟจากเสาข้างทาง
ฉับพลันก็มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้น กรีดร้องเสียงดังจนเธอสะดุ้ง กำลังจะหันไปมองก็ได้ยินเสียงลุงยามแว่วผ่านลมมาว่าให้เดินต่อไป
เสียงแสบแก้วหูร้องกระวนกระวาย ท้ังด่าทอและตัดพ้อ แต่กรรณก็ยังเดินต่อไปผ่านแสงไฟและหิ่งห้อยที่บินคล้อยตามมาเป็นระยะ
ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกว่าแต่ละก้าวของเธอหนักอึ้ง แต่ก็พยายามเดินต่อไปเพราะรู้สึกว่าต้องมีอะไรข้างหน้านี้แน่
“กรี๊ดดด อย่าไปนะ!! ได้โปรด อย่าไป!!”
ก้าวสุดท้ายแตะลงที่ปลายสะพาน
กรรณิการ์ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครสักคน และเสียงปลอบที่ไร้ทักษะดังแว่วมาไม่ไกล
“จะทำยังไง! ฮึก ฮือออ ฉันผิดเอง ฉันผิดเอง”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ เราจะต้องหากรรณเจอแน่ แต่เธอต้องอธิบายก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แงงงงงง”
โทนี่กุมขมับ ข้างตัวเขามียามสองคนที่เรียกมา เพราะอยู่ๆ หมอกก็บอกว่ากรรณหายไปหลังจากเดินข้ามสะพานจึงลนลานกันมาก
“ทะ… ทุกคน” กรรณิการ์เดินตามเสียงและเจอกับกลุ่มคนที่สะพานอีกฝั่ง หมอกพอเห็นว่าใครเดินมาก็ตาโตเท่าไข่ห่าน ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดจนคนรับแรงเกือบยันขาไว้ไม่ทัน
“กรรณ!! นี่กรรณหรอออ ฮืออออ”
.
.
.
สุดท้ายก็ได้แต่บอกว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดและแยกย้ายกันไป โทนี่เองเห็นสภาพหมอกก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงกำชับว่าให้อัปเดตหากมีอะไรเกิดขึ้น
เพราะเวลาดึกมากแล้วจึงพากันกลับไปนอนโดยที่หมอกตามกลับมานอนที่ห้องด้วย ตัวติดหนึบยิ่งกว่าตังเม
กรรณเกือบจะได้อุ้มเป็นลูกลิงอยู่แล้วเพราะเพื่อนสาวเอาแต่กอดไว้ น้ำหูน้ำตาไหล ไม่ยอมปล่อยเลย
อ่า แล้วเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ทำไมหมอกถึงร้องไห้แบบนี้
เราหายไปหรอ?
“หมอกจะนอนที่ห้องด้วยหรอ”
“ใช่สิ!”
“แต่เตียงจะไม่พอเอานะ รบกวนรูมเมทด้วย”
“รูมเมทอะไรของเธอ เธอนอนห้องนั้นคนเดียวนะ”
“...คนเดียว?”
“รูมเมทเธอย้ายออกไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว!”
จริงด้วย...
- pangkawjoaประธานนักเรียน
Taira Payakaroon
อาจารย์ภาษาไทย
3212
+586 M 322 K 265
PASSPORT
:
(2280/21000)
:
Re: [ Quest 16 ] : ตำนานสยองขวัญในโรงเรียน
คราวนี้นำเพลิงมาเป็นคนดำเนินเรื่อง เพราะถ้าใช้ไทระ เดี๋ยวจะหลอนทั้งไทระทั้งผู้ปกครอง...
อะแฮ่ม! เราไปอ่านเรื่องลี้ลับ (ที่อ่านยังไงก็ไม่น่ากลัว) กันเถอะครับ!
- เรื่องลี้ลับเรื่องที่...:
ณ ห้องชมรมสภานักเรียน
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ‘เรื่องลี้ลับทั้ง 7 ของโรงเรียน’ มาบ้าง ก็ตามที่เข้าใจตรงกันว่าเป็นเรื่องที่สุดจะหยั่งรู้ได้ และสำหรับโรงเรียนควิ้นท์เองก็คงหนีไม่พ้นเรื่องเล่าพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสะพานสามัคคีเชื่อมมิติ หรือ อย่างเรื่องที่ม้วนผมของคุณเอลีทว่าแท้จริงแล้วคือแยมโรล...
แล้วถ้าเรื่องลี้ลับไม่ได้หยุดที่แค่เจ็ดเรื่องล่ะ? หากมีเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก...
ช่วงนี้ผมได้แต่ครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก ไม่ใช่ว่าผมสนใจเรื่องลี้ลับนักหรอก เพียงแต่ว่าพักนี้มีข่าวลือแปลกๆ จากชมรมโสตทัศนศึกษาว่าในหนังสือพิมพ์โรงเรียนที่วางแจกตามจุดต่างๆ มีข่าวที่ชมรมไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือพิมพ์ด้วย สมาชิกชมรมโสตฯ ทุกคนต่างยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้ใส่ข่าวไปโดยพลการ คุณเอลีทที่ดูแลชมรมนี้อยู่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้
ผมที่ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียนอยู่ตอนนี้ เลยได้รับหน้าที่ช่วยสืบหาสาเหตุอีกแรง
“เฮ้อ”
“พี่เพลิงมีเรื่องไม่สบายใจเหรอคะ” เสียงใสๆ ของรุ่นน้องผู้หญิงที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆ ดังขึ้นมา “ษรได้ยินพี่เพลิงถอนหายใจบ่อยมากเลยค่ะ”
“เอ่อ...ขอโทษที่รบกวนครับ”
ษรยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้รบกวนหรอกค่ะ ษรแค่เป็นห่วงน่ะ”
“...”
ผมมองษรแล้วถอนหายใจแผ่วเบาอีกครั้งก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องกลุ้มใจให้ฟัง เมื่อฟังจบ ษรก็ทำหน้าคิดไม่ตกพอสมควร พวกเราเงียบกันอยู่สักพักก่อนที่ษรจะเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง
“ถ้างั้นเราลองไปดูที่ชมรมโสตฯ กันดีไหมคะ”
“เรื่องนั้นคุณเอลีทลองช่วยดูให้แล้วครับ เห็นบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกตินะ”
“คุณเอลีทช่วยดูตลอดเลยใช่ไหมคะ ทั้งกลางวันและกลางคืน”
“เอ่อ...น่าจะแค่ช่วงกลางวันนะ...”
“งั้นเราลองไปดูตอนกลางคืนกันดีไหมคะ”
ผมใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจได้ “โอเคครับ งั้นคืนนี้ผมจะลองไปดูครับ แต่คงต้องไปขออนุญาตจากคุณเอลีทก่อน”
พอได้ยินผมบอกแบบนั้น ษรก็ค้านขึ้นมาทันที
“เอ๊ะ? จะไปคนเดียวเหรอคะ ษรว่าจะไปด้วยนะ”
ผมรีบส่ายหน้าทันทีและปั้นหน้าจริงจัง ไม่รู้เหมือนกันว่าษรจะเห็นชัดไหม แต่ตอนนี้ผมอยากจริงจังเพื่อให้รุ่นน้องคนนี้เชื่อฟัง
“ไม่ได้ครับ”
ษรเอียงคอพลางทำท่าทางฉงนใส่ผม
ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดก่อนจะบอกเหตุผล “ถึงจะเป็นควิ้นท์ที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา แต่ว่านั่นคงช่วยอะไรไม่ได้ถ้าเจอสิ่งที่ลี้ลับครับ”
“...”
“แล้วจะให้ษรไปเสี่ยงได้ยังไง”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำเสียงดุใส่คนตรงหน้าไหมนะ ให้ตายสิ ผมไม่ได้อยากทำเลย
ษรทำหน้าเศร้าอยู่แวบหนึ่งก่อนจะหันมาหาผม แล้วถามด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “พี่เพลิงเองก็เสี่ยงเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ”
“ก็เสี่ยงครับ แต่...”
“ไม่มีคำว่าแต่นะคะ”
จากนั้นพวกเราสองคนได้แต่จ้องหน้ากันเพราะไม่มีใครยอมแพ้ สงครามเย็นนี้มันมาจากการที่เป็นห่วงกันแท้ๆ แต่ดันเป็นแบบนี้ไปเสียได้ ถ้าปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ๆ
“...”
“...”
พวกเราเงียบจ้องกันอยู่อีกครู่ ก่อนที่จะ...
“เฮ้อ”
“เฮ้อ”
...ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ในเมื่อไม่มีใครยอมใครงั้นก็คงช่วยไม่ได้ และผมก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนบ้าง “ถ้างั้นเราก็ไปด้วยกันก็ได้ครับ”
“ค่ะ!” ษรขานรับเสียงใส ดูท่าจะดีใจมาก
“แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อครับ”
“ข้อแม้?”
“ครับ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ษรต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้ครับ”
ษรกะพริบตาปริบเหมือนกับยังมีข้อข้องใจอยู่อีก “รวมถึงตอนที่พี่เพลิงตกอยู่ในอันตรายด้วยเหรอคะ”
“ครับ”
“แต่จะให้ทิ้ง...”
“ไม่ว่ายังไงษรก็ต้องหนีครับ”
“...”
“ไม่งั้นในฐานะที่ผมเป็นประธานนักเรียน ผมจะออกคำสั่งไม่ให้ษรไปด้วย”
“...”
“จะรับข้อแม้ที่บอกไหมครับ”
ถึงจะไม่เต็มใจนักแต่ษรก็พยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่ผมให้ษรรับปากแบบนี้ ส่วนหนึ่งมันมาจากลางสังหรณ์แปลกๆ ที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาทำให้รู้สึกว่ากำลังจะไปเจอเรื่องแปลกประหลาดน่ะสิ
แต่ก็หวังไว้ว่าจะไม่เจอเรื่องอะไรที่แปลกไปกว่าเรื่องม้วนผมแยมโรลของคุณเอลีทนะ...++++++++++++++++++++++++++++++
ณ ห้องชมรมโสตทัศนาศึกษา เวลา 22.00 น.
ก่อนหน้านี้ผมไปขออนุญาตจากคุณเอลีทเรื่องขอตรวจสอบชมรมโสตทัศนศึกษาในช่วงเวลากลางคืน กว่าที่คุณเอลีทจะอนุญาตก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะคุณเอลีทไม่เชื่อเรื่องพวกลี้ลับอะไรพวกนี้เลย
แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะถ้าคุณเอลีทเชื่อก็คงจะสงสัยเรื่องม้วนผมของตัวเองไปแล้ว เอ่อ...เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าครับ
ตอนนี้ผมกับษรยืนอยู่หน้าห้องโสตทัศนศึกษาและกำลังเตรียมตัวเตรียมใจจะเข้าไปสำรวจกัน แต่ก่อนที่จะเข้าไปผมอยากเช็คเรื่องการมองเห็นของษรให้แน่ใจเสียก่อน เพราะไฟอาคารปิดหมดแล้ว แสงไฟเพียงอย่างเดียวที่มีคือไฟฉายจากมือถือทั้งของผมและของษร
“ษรครับ” ผมเรียกแล้วหันไปมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ “ตอนนี้ษรมองเห็นเป็นยังไงบ้างครับ”
“เอ่อ ไม่ค่อย...”
ถึงษรจะตอบกลับมาไม่จบประโยค แต่ผมก็พอเดาได้ว่าการมองเห็นของเธอย่ำแย่มากแน่ๆ ที่ตอนแรกผมคัดค้านไม่อยากให้ษรมาก็เพราะเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากเอาเรื่องการมองมาเป็นข้ออ้างในการปิดกั้นการตัดสินใจของษรน่ะสิ
ดังนั้นตอนนี้ที่ผมทำได้ก็คือ...
“ผมขอจับมือษรได้ไหมครับ”
“เอ๊ะ?”
ผมยิ้มบางๆ ซึ่งก็คิดว่าษรคงไม่เห็นหรอก “จะได้ไม่หลงกันครับ”
นั่นคือข้ออ้างข้อเดียวที่ผมคิดออก ที่จริงห้องแค่นี้จะหลงได้ยังไง แต่จับมือกันไว้ก็ดีกว่าปล่อยให้ษรเดินไปชนนู่นชนนี่
ผมยื่นมือข้างหนึ่งไปหาษร คนตัวเล็กมองมือผมนิ่งครู่หนึ่งแล้วจึงจับมือของผมไว้
“ขอบคุณค่ะพี่เพลิง”
“ครับ งั้นเราเข้าไปกันเลยนะ”
ผมยิ้มให้ษรแล้วเตรียมใจเปิดประตูห้องโสตทัศนศึกษา พอเข้ามาในห้องได้ สิ่งแรกที่ผมทำคือพยายามหาสวิตช์ไฟ แต่ก็ตามคาด ถึงแม้ว่าจะลองกดสวิตช์สักกี่ครั้งไฟก็ไม่ติด สำหรับโรงเรียนควิ้นท์แล้วการที่ไฟฟ้าจะโดนตัดหรือไฟเสียนี่แทบจะเป็นศูนย์เลย เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมกับษรก็เผลอจับมือกันแน่นและก็เริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ว่ากำลังจะเผชิญหน้ากับอะไร
ผมพยายามคงสติให้มั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วใช้ไฟฉายมือถือค่อยๆ ส่องไปรอบห้อง
แต๊ก...แต๊ก...แต๊ก...
เมื่อส่องไฟไปทางโซนคอมพิวเตอร์ที่น่าจะมีไว้พิมพ์ข่าว ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังกดคีย์บอร์ด แต่ว่า ณ ที่ตรงนั้นก็มีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่องเท่านั้น ไร้ซึ่งวี่แววของคน
“พี่เพลิงคะ...” ษรเรียกผมเสียงแผ่ว ซึ่งถึงษรไม่พูดอะไรต่อมาอีกผมก็พอเดาได้ว่าเธอคงอยากบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนกัน
แต๊ก...แต๊ก...แต๊ก...แต๊ก...แต๊ก...แต๊ก...
เมื่อได้ยินเสียงอีกครั้งก็ราวกับลมหายใจจะหยุดชะงักไปชั่วครู่
แต๊ก! แต๊ก!! แต๊ก!!!
...และเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง แถมเสียงยิ่งรัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ
แต๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงรัวเร็วจนไม่น่าใช่ความเร็วที่มนุษย์จะพิมพ์ได้ด้วยซ้ำ
ผมข่มใจและดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้งพร้อมกับจับมือษรแน่นแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้คอมพิวเตอร์ที่ทำให้เกิดเสียงพิมพ์
ตึก...ตึก...แต๊กๆๆ...ตึก...แต๊กๆๆ
เสียงฝีเท้าของเราสองคนผสมผสานกับเสียงพิมพ์ยิ่งทำให้สติแทบขาดผึง แต่ไม่ได้...ถ้าสติหลุดตอนนี้จะยิ่งแย่เพราะงั้นยิ่งต้องมีสติ
ตึก!
ในที่สุดพวกผมก็เดินมาหยุดอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวที่ว่า สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
แต๊กๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คีย์บอร์ดกำลังถูกพิมพ์อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก ซึ่งคีย์บอร์ดมันกำลังพิมพ์ของมันเอง...
พรึ่บ!!
!!?
จากที่เมื่อกี้มีเพียงคีย์บอร์ดที่พิมพ์เอง แต่ตอนนี้อยู่ๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็สว่างวาบขึ้นมาพร้อมกับข้อความที่ถูกพิมพ์ขึ้นบนจอ
‘การเขียนความจริงคือสิ่งที่สื่อควรทำไม่ใช่เหรอ’
‘ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้’
‘ไม่นะ ไม่เอา ฉันไม่อยากเลิกเขียน’
‘ทำไมกัน หรือต้องใส่สีตีไข่ในข่าว คนอ่านถึงจะชอบเหรอ?’
‘บิดเบือนสิ่งที่ถูกต้อง มันคือสิ่งที่ควรกระทำ?’
ส่วนใหญ่ข้อความที่ปรากฏวนไปวนมาจะเป็นแนวตัดพ้อและประชดประชัน แต่ก็ทำให้ผมรู้ว่านี่อาจจะเป็นข้อความของใครบางคนที่อยากเขียนข่าวให้ทุกคนได้อ่านแต่มันดันไม่เป็นไปตามที่หวัง
“พี่เพลิงคะ” ษรกระซิบเรียกผมขึ้นมา “ข้อความพวกนี้...”
ษรคงพยายามอ่านข้อความเหมือนกัน และก็คงคิดเหมือนกันกับผมแน่ๆ
“ดูท่าพวกเราจะเจอเรื่องลี้ลับจริงๆ แล้วครับ” ผมตอบกลับ
“แล้วจะทำยังไงกันดีคะ”
“นั่นสิ...”
“คุณคนที่พิมพ์ข้อความนี้จะออกมาให้พวกเราได้เห็นไหมนะ...”
“...”
ผมก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้เช่นกัน ถ้าเจ้าของข้อความพวกนี้ต้องการจะหลอกพวกเราจริงๆ ก็น่าจะออกมาให้ได้เห็นแล้วสิ
หรือว่าแค่อยากให้อ่านข่าวกันนะ?
‘ฉันก็แค่อยากเขียนข่าวที่ดีเท่านั้น...’
ข้อความสุดท้ายที่ปรากฎขึ้นมาราวกับเป็นการตัดพ้ออีกครั้ง
“ษรฉายไฟที่คอมไว้นะครับ” ผมบอกษรแล้วรีบใช้มือถือของตัวเองถ่ายวิดิโอบันทึกภาพเหตุการณ์ตรงหน้าเก็บไว้ จากนั้นผมก็พาษรออกมาจากห้องโสตทัศนศึกษาทันที เมื่อเดินออกมาจากอาคารได้แล้ว ผมจึงรีบเปิดดูภาพที่อัดไว้ แต่ว่า...
“เอ๊ะ?”
...ไม่มี...
“ภาพเป็นยังไงบ้างคะ” ษรถาม
ผมขมวดคิ้วพลางพึมพำ “ไม่มีครับ...”
“เอ๊ะ?”
“ภาพหายไป”
“...”
“...”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบราวกับทุกอย่างหยุดชะงัก เราสองคนมองหน้ากันและก็เห็นพ้องต้องกันว่าคืนนี้ควรจะกลับไปพักเสียก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปคุยเรื่องนี้กับคุณเอลีทอีกที
แต่คุณเอลีทจะเชื่อไหมนะ...++++++++++++++++++++++++++++++
วันต่อมา ณ ห้องทำงานของคุณเอลีท
“ครับ ผมไม่เชื่อครับ”
“ครับ...”
“ถ้ามีรูปยืนยัน ผมอาจจะเชื่อได้บ้าง แต่นี่ไม่มีเลย”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมมีเรื่องรายงานแค่นี้ครับ”
“โอเค ขอบคุณมากครับ”
นี่คือบทสนทนาระหว่างผมกับคุณเอลีทก่อนที่จะออกมาจากห้องทำงาน ก็คิดไว้แล้วว่าคุณเอลีทไม่น่าจะเชื่อง่ายๆ แล้วแบบนี้จะแก้ปัญหายังไงดีนะ
ผมใช้ความคิดอยู่สักพักแล้วจึงตัดสินใจเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ของวันนี้มาหนึ่งฉบับ แล้วกลับไปที่ห้องชมรมโสตทัศนศึกษาก็เจอสมาชิกอยู่ที่นั่นประมาณสองสามคน เมื่อลองเอาหนังสือพิมพ์ให้สมาชิกดูก็รู้ว่ามีข่าวลึกลับที่ไม่มีใครเขียนเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหัวข้อ รอบนี้เป็นหัวข้อ ‘เรื่องลี้ลับเรื่องที่แปด เสียงอันพิศวง’
เอ๊ะ? หัวข้อนี้มัน...เสียงที่ว่านี่...
ผมได้แต่เพียงครุ่นคิดอยู่ในใจ สิ่งที่คิดอยู่ตอนนี้อาจจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดก็ได้ แต่ยังไงเรื่องลี้ลับก็ยังคงมีอยู่ร่ำไป ขนาดตอนนี้เรื่องข่าวลึกลับก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้เลย...++++++++++++++++++++++++++++++
คุยกันเล็กน้อย
ภารกิจคราวนี้ไทระตั้งใจให้จบพาร์ทแบบปลายเปิดแบบนี้ตั้งแต่แรกครับ
เพราะเรื่องลี้ลับก็ยังจะเป็นเรื่องลี้ลับต่อไปยังไงล่ะ! // ไม่ใช่เพราะไทระหลอนเองนะ ไม่เลย... T-T
จำนวนตัวอักษรครับ
Signature ------------------------------------------------>
初めまして、どうぞよろしくお願いします。
- bluebearz
Bonita Blanchett
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
1263
+122 M 935 K 310
PASSPORT
:
(350/2125)
:
Re: [ Quest 16 ] : ตำนานสยองขวัญในโรงเรียน
- ล่าท้าผียาลดไข้:
ตึง!
ในระหว่างที่ลูกหมีกับน้ำขิงกำลังพูดคุยกันขณะทานข้าวกลางวันอยู่นั่นเอง ทับทิมผู้มีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าห้องของพวกเธอก็เดินเข้ามาหาพร้อมกระแทกจานข้าวลงบนโต๊ะเสียงดังพาให้เด็กสาวเจ้าของโต๊ะทั้งสองต้องสะดุ้งตกใจ จนช้อนส้อมแทบปลิวหลุดจากมือ มิวายยังเรียกสายตาของคนทั้งโรงอาหารให้หันมามองได้เป็นอย่างดี
"เบาๆ หน่อยสินุ่มนิ่ม" น้ำขิงส่งเสียงเอ็ดเบาๆ
"ฉันชื่อทับทิมจ้ะ ไม่ใช่นุ่มนิ่ม" ทับทิมเอ่ยโดยหาได้ใส่ใจกับการกระทำที่อึกทึกของตัวเองไม่ เพราะตอนนี้เธอมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นที่อยากจะพูดกับเด็กสาวตรงหน้าทั้งสอง "แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะนะ ฉันมีคำถามที่อยากมาถามพวกเธอน่ะจ้ะ"
"ค-คำถามอะไรเหรอ"
ลูกหมีเงยหน้าขึ้นจากสปาเก็ตตี้ในจานแล้วเอียงคอสงสัย
"พวกเธอสงสัยกันหรือเปล่าจ๊ะ ว่าทำไมช่วงนี้มีแต่คนพูดถึงเรื่องตำนานสยองขวัญในโรงเรียนกันให้วอกเลย"
"เพราะใกล้จะถึงวันฮาโลวีนเหรอ" น้ำขิงตอบ
"ไม่ใช่"
"ง-งั้นเพราะเขาไม่มีอะไรจะคุย"
"นั่นก็ไม่ใช่จ้ะลูกหมี" ทับทิบส่ายหัว ก่อนจะตักข้าวต้มหมูเข้าปากคำหนึ่งแล้วพูดต่อ "เป็นเพราะเคยมีนักเรียนท้าพิสูจน์แล้วได้เจอมากับตัวต่างหากเลยเป็นที่พูดถึงกันมาก"
"จ-เจอมากับตัว?"
"ฉันได้ยินว่าสองสัปดาห์ก่อนมีรุ่นพี่มอหกกลุ่มหนึ่งไปท้าพิสูจน์ตำนานหนึ่งที่คล้ายผีบลัดดี้แมรี่แล้วก็เจอจริงๆ จนมีคนช็อกแล้วเข้าโรงพยาบาลเลยล่ะจ้ะ"
"อ๊ะ! ล-ลูกหมีรู้จักคุณผีบลัดดี้แมรี่"
"เดี๋ยวนะ ผีบลัดดี้แมรี่เป็นเรื่องเล่าของทวีปยุโรปเขาไม่ใช่เหรอละจะมาอยู่ที่โรงเรียนเราได้ไงอ่ะ"
น้ำขิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างทำใจยากที่จะเชื่อ ปกติเธอเป็นคนไม่กลัวเรื่องลี้ลับอาถรรพ์อะไรเทือกนี้อยู่แล้ว และยิ่งได้ยินทับทิมเล่ามาแบบนี้เธอก็ยิ่งไม่เชื่อใหญ่
"ฉันบอกว่าแค่คล้ายไม่ได้บอกว่าเป็นผีบลัดดี้แมรี่นี่จ๊ะ" ทับทิมกล่าว "คือตำนานนี้มีนักเรียนเล่าต่อกันมาตั้งแต่สองปีก่อน ตำนานนี้ชื่อว่าตำนานผีบลัดดี้ทิฟฟี่…"
"โห ชื่ออย่างกับยาลดไข้" น้ำขิงหลุดหัวเราะ จนลูกหมีต้องส่งเสียงชู่เบาๆ เพื่อให้ทับทิมเล่าต่อ
"ปกติถ้าเป็นผีบลัดดี้แมรี่แค่ถือเทียนแล้วส่องกระจกพร้อมกับพูดชื่อเธอสามครั้งแล้วเธอจะปรากฏตัว แต่ผีบลัดดี้ทิฟฟี่จะต่างออกไปจ้ะ ตำนานนี้ดังมากจนชมรมโสตฯต้องเอามาเขียนบนกระทู้ในเว็บโรงเรียนเลยนะ”
ทับทิมโชว์หน้าจอโทรศัพท์ของเธอให้เด็กสาวทั้งสองดู เป็นหน้ากระทู้ที่ชมรมโสตฯจัดทำขึ้นจริง ซึ่งมีเนื้อหาใจความว่า
----------------------------------------------
ตำนานผีบลัดดี้ทิฟฟี่
เจ้าของกระทู้ : JasonGilz
ตำนานสยองขวัญนี้เพิ่งเป็นที่พูดถึงในหมู่นักเรียนชาวควิ้นท์ถึงเมื่อสองปีก่อน
เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักเรียนสาวชั้นมอสี่คนหนึ่งที่ ทิฟฟี่
เธอถูกกลั่นแกล้งโดยรูมเมทและเพื่อนร่วมห้องของเธอเอง
วันหนึ่งเธอได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองที่ห้องน้ำหญิงชั้นสามของอาคารเรียนด้วยการกรีดข้อมือ
ว่ากันว่าวิญญาณของเธอยังคงวนเวียนอยู่ในห้องน้ำชั้นสาม ไปไหนไม่ได้
เธอได้แต่เฝ้ารอวันที่จะมีคนพาวิญญาณของเธอออกไปจากที่นั่น
หากคุณกับกลุ่มเพื่อนของคุณถือเทียนไปส่องกระจกที่ห้องน้ำชั้นสามในเวลาเที่ยงคืน
พูดชื่อเธอสามครั้งด้วยเสียงที่ดังและดับเทียน
เมื่อจุดเทียนใหม่อีกครั้งเธอก็จะปรากฏตัวให้เห็น
----------------------------------------------
"ขิงว่าฟังดูไม่เมคเซ้นส์เลย"
"ต-แต่ลูกหมีว่าน่ากลัวออกนะ"
"ฉันว่าตำนานนี้น่าสนใจนะจ๊ะ เพราะตั้งแต่มีตำนานสยองขวัญผุดขึ้นมากมายในช่วงนี้ นักเรียนหลายคนก็เริ่มลองดีท้าพิสูจน์กัน แถมรุ่นพี่มอหกกลุ่มที่ท้าพิสูจน์ตำนานผีบลัดดี้ทิฟฟี่ก็ออกมาบอกภายหลังว่า ที่เพื่อนช็อกเข้าโรงพยาบาลเพราะ
เพื่อนคนนั้นเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วและกลัวความมืด ไม่มีผีอย่างที่ตำนานกล่าวไว้"
"อ-เอ๊ะ? งั้นก็ไม่มีอยู่จริงเหรอ"
ลูกหมีเอ่ย ตอนนี้เธอมัวแต่ให้ความสนใจกับเรื่องเล่าของทับทิมจนสปาเก็ตตี้ในจานเริ่มไร้รสชาติสำหรับเธอไปเสียแล้ว
"ยังไงฉันก็คิดว่าผีบลัดดี้ทิฟฟี่มีอยู่จริง พวกเธอสนใจจะร่วมกลุ่มกับฉันไปพิสูจน์ตำนานนี้กันไหมจ๊ะ"
"ได้เลย! น้ำขิงก็อยากรู้ว่าผียาลดไข้จะมีจริงหรือแค่เรื่องที่แต่งขึ้น"
"อ-เอ๋! ล-แล้วลูกหมีล่ะคะ ถ-ถ้าคุณน้ำขิงไปกับคุณทับทิม ง-งั้นลูกหมีต้องอยู่ห้องคนเดียวเหรอ ;-;"
"ลูกหมีก็มากับพวกฉันสิจ๊ะ" ทับทิมกล่าว
"ใช่ๆ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะ ขิงจะดูแลลูกพีชเอง"
น้ำขิงว่าด้วยใบหน้าที่แสดงความมั่นอกมั่นใจพลางลูบไหล่ของเด็กสาวข้างกายไปมา
เดิมทีลูกหมีเป็นคนขี้กลัวอยู่แล้ว ขนาดคนปกติเธอยังหวาดกลัวไปทั่ว แล้วยิ่งเป็นสิ่งลี้ลับที่จับต้องไม่ได้เธอคงแทบจะลมจับ แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ถ้าต้องอยู่ที่ห้องพักคนเดียว สู้ไปท้าผีกับเพื่อนๆ ยังจะอุ่นใจกว่า..
.มั้ง
"ถือว่าตกลงนะ ไว้เจอกันที่ห้องเรียนชั้นสามตอนห้าทุ่มครึ่งนะจ๊ะ"
.
.
.
.
นี่เวลาก็ล่วงเลยจากเวลาที่นัดกันไว้มาสิบนาทีแล้ว ลูกหมีกับน้ำขิงที่เดินทางมาถึงก่อนก็ได้แต่ยืนรอกันเงียบๆ หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง และตอนนี้ลูกหมีก็กำลังเกาะแขนรูมเมทแน่นเป็นปลิงด้วยอาการตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้
บรรยากาศรอบตัวช่างมืดสนิทและเงียบสงัไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด มีเพียงแค่แสงสว่างนวลจากเทียนที่ลูกหมีถืออยู่เท่านั้นที่พอให้ใจชื้นบ้าง
"ค-คุณทับทิมยังไม่มาอีกเหรอ"
สิ้นเสียง ทันใดนั้นเองเด็กสาวทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงคนสองคนคุยกันดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งฟังดูดีๆ มันคือเสียงของทับทิมกับเอย์จิเด็กหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นที่เป็นเพื่อนร่วมห้องของพวกเธอ ดูเหมือนว่าทับทิมกับเอย์จิจะทะเลาะกันเรื่องการมาล่าท้าผีในครั้งนี้
"พายูจิมาด้วยเหรอเนี่ย"
น้ำขิงถามด้วยความแปลกใจ เพราะปกติเอย์จิดูจะไม่ค่อยสนใจพวกเรื่องผีแบบนี้สักเท่าไหร่
"ก็ในหมู่พวกเรามีแต่ผู้หญิงนี่จ๊ะ พาผู้ชายสักคนมาด้วยก็คงดีเผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น"
"เรายังไม่ได้บอกเลยนะว่าจะมา" เอย์จิแย้งทับทิม
"ไม่เป็นไร ลูกพีชก็โดนมัดมือชกเหมือนเธอแหละ" น้ำขิงกล่าว
"ถ้าให้เรารับหน้าที่ดูแลคนขี้กลัวแบบลูกหมีก็ยินดีเลย” เอย์จิเอ่ย “ถ้าผีมาเราจะได้พาลูกหมีวิ่งหนีทัน เพราะยังไงพวกเธอสองคนก็คงกระโจนใส่ผีแทนที่จะวิ่งหนี"
"ก็จริงนะ" น้ำขิงได้ฟังก็กลั้วหัวเราะ
"เอาล่ะๆ เราไปกันเถอะจ้ะ อีกสามนาทีจะเที่ยงคืนแล้ว"
เมื่อทั้งสี่คนเดินมาถึงห้องน้ำหญิงชั้นสามก็ประจวบเหมาะกับเวลาเที่ยงคืนพอดี ทุกคนต่างพากันตกอยู่ในความเงียบและมองดูเงาของกันและกันที่สะท้อนบนกระจกก็พบว่ายังไม่มีความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น
ก็แน่ล่ะสิ เพราะพวกเขายังไม่ได้พูดชื่อบลัดดี้ทิฟฟี่สามครั้งเลยนี่นา
"แล้วเราต้องทำอะไรต่อเหรอ"
น้ำขิงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เพราะอยู่ในห้องน้ำที่คับแคบเสียงของเธอจึงสะท้อนก้อง
ทับทิมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้ากระทู้ที่เขียนเล่าถึงตำนานผีบลัดดี้ทิฟฟี่ที่อ่านเมื่อตอนกลางวัน แล้วเลื่อนสายตาดูขั้นตอนในนั้นอยู่สักพัก
"ต้องพูดชื่อบลัดดี้ทิฟฟี่สามครั้งแล้วดับเทียนจ้ะ เดี๋ยวพอฉันพูดแล้วลูกหมีก็เป่าเทียนให้ดับเลยนะ"
"อ-โอเค"
ว่าแล้วทับทิมก็พูดชื่อผีบลัดทิฟฟี่ออกมาจนครบสามครั้ง และตามด้วยลูกหมีที่เป่าเทียนจนดับ ฉับพลันทัศนียภาพรอบกายก็มืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย
"จุดเทียนอีกรอบจ้ะ"
น้ำขิงใช้ไฟแช็กที่ตระเตรียมมาจุดเทียนในมือของลูกหมีให้สว่างวาบขึ้นมาอีกครั้งและยื่นไปที่บานกระจก แต่ทว่ากลับไม่พบวี่แววของการปรากฎของผีบลัดดี้ทิฟฟี่เลยแม้แต่น้อย
"ไม่เห็นมีอะไรเลยนะ" เอย์จิเกาหัวด้วยความสงสัย เขาลองหันซ้ายแลขวาก็ไม่พบความผิดปกติอะไร
"เอ..แต่เราก็ทำตามขั้นตอนที่เขียนไว้ในกระทู้นี้แล้วนะจ๊ะ แปลกจัง"
ทับทิมทำท่าครุ่นคิดแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านเรื่องเล่าตำนานในจอมือถืออีกครั้ง เพื่อเช็คว่ามีขั้นตอนที่ตกหล่นไปหรือเปล่า
"ขิงว่ามันไม่มีจริงหรอก แปลกตั้งแต่ชื่อที่เหมือนยาลดไข้นั่นแล้วอ่ะ"
ฟึบ!
“กรี๊ด!”
จู่ๆ ลูกหมีก็ร้องอุทานออกมาเสียงดัง เพราะรู้สึกเหมือนมีเงาดำของอะไรบางอย่างตัวเล็กๆ บินผ่านหน้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยความกลัวสุดขีดทำให้เธอหลับตาปี๋แล้วก้าวถอยหลังจนเผลอทำเทียนในมือหล่นลงบนพื้น ก่อนที่เธอจะรีบเก็บขึ้นมาอย่างเร็วไว
“เกิดอะไรขึ้นเหรอลูกหมี” เอย์จิร้องถาม
“ข-ขอโทษค่ะ ม-เมื่อกี้มีแมลงบินผ่านหน้าลูกหมีเลยตกใจ”
“โธ่! ก็นึกว่าลูกพีชเจอผีบลัดดี้ทิฟฟี่ซะอีก”
“ม-ไม่แน่ใจคุณผีบลัดดี้ทิฟฟี่อาจจะหลับแล้วก็ได้นะคะ"
ลูกหมีตีสีหน้าหงอยพลางว่าอย่างไร้เดียงสา ตามประสาคนที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับเรื่องลี้ลับอาถรรพ์สักเท่าไหร่
"เป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะ ผีบลัดดี้ทิฟฟี่เธอเป็นวิญญาณที่จะปรากฏตัวตอนกลางคืนเท่านั้น" ทับทิมค้าน
"มันก็แค่เรื่องเล่าที่เล่าต่อกันมาไม่ใช่เหรอ? รุ่นพี่มอหกที่เขาเคยท้าพิสูจน์เรื่องนี้ก็บอกว่าไม่เจออะไรและที่ช็อกก็เพราะโรคหัวใจกำเริบ"
ทับทิมได้ฟังเอย์จิกล่าวเช่นนั้นก็ต้องถอนหายใจออกมา และล้มเลิกความตั้งใจที่อยากจะเจอผีตัวเป็นๆ ไปในที่สุด เพราะยามนี้ก็ดึกมากแล้วและพรุ่งนี้พวกเขาก็มีเรียน จึงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ที่เธอจะยังมัวดื้อดึงต่อ
เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วหันไปพูดกับทุกคน
"งั้นเรากลับหอพักกันเถอะจ้ะ"
สุดท้ายทั้งสี่คนก็ต้องเดินกลับห้องพักโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาด้วยเลย โดยเฉพาะทับทิมผู้เป็นคนริเริ่มเรื่องนี้ที่ต้องเดินคอตกมาตลอดทาง ลูกหมีเห็นแล้วก็อดที่จะเห็นใจเธอเสียไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็คิดว่าดีแล้วที่ผีบลัดดี้ทิฟฟี่ไม่ปรากฏตัวมาให้เห็น ไม่เช่นนั้นเธอคงจะเป็นคนแรกที่เป็นลมพับก่อนใครเพื่อน ขนาดแค่เจอแมลงบินผ่านเธอยังกรี๊ดจนคอแทบแห้ง
.
.
.
.
.
"คุณน้ำขิงว่าคุณผีบลัดดี้ทิฟฟี่มีอยู่จริงไหม"
ลูกหมีเอ่ยขึ้น ในขณะที่ตอนนี้เธอกับรูมเมทอยู่บนเตียงนอน แต่ทว่าดูเหมือนเด็กสาวทั้งสองจะยังไม่นอน เอาแต่เฝ้ามองเพดานราวกับว่าบนนั้นมีอะไรน่าสนใจ ทั้งที่มันก็เป็นแค่เพดานสีเรียบๆ เท่านั้นเอง
"ลูกพีชยังคิดไม่ตกเรื่องเมื่อกี้อยู่เหรอ"
"อ-เอ่อก็..ลูกหมีแค่สงสัยน่ะ ว่าถ้าคุณผีบลัดดี้ไม่มีอยู่จริงแล้วคนที่เป็นคนเริ่มสร้างตำนานเรื่องนี้เขาหาข้อมูลจากไหน"
"ขิงว่าเขาก็คงเขียนเพื่อเอาสนุกและใส่สีตีไข่ให้ดูน่ากลัวมากขึ้นประมาณแบบ Creepypasta มั้ง"
"อ๋อ…"
"รีบนอนกันเถอะ ถ้าลูกพีชตื่นสายขิงจะไม่ปลุกนะ"
"จ-ใจร้าย"
ลูกหมีบ่นเสียงเบาพลางเบ้ปาก ในขณะที่น้ำขิงกลับหัวเราะชอบใจ และใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเธอก็ผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยจากการเรียนและการผจญภัยล่าท้าผีในที่สุด
.
.
.
.
.
วันนี้ลูกหมีกับน้ำขิงก็ยังเดินจูงมือมาเรียนด้วยกันอย่างเช่นทุกวัน บรรยากาศรอบข้างกลับมาคึกคักอย่างที่พวกเธอคุ้นชิน ระหว่างทางที่เดินมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนนั้นลูกหมีกับก็พูดคุยกันสัพเพเหระไปพลาง
"สวัสดีจ้าสาวๆ"
จู่ๆ ทับทิมก็วิ่งกระโจนเข้ามาจากข้างหลังอย่างร่าเริง พร้อมกับกอดไหล่เด็กสาวทั้งสองคนไว้ ลูกหมีที่เห็นทับทิมเลิกคิดมากเรื่องเมื่อคืนแล้วก็พลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย
"ว่าแต่วันนี้นุ่มนิ่มจะไปพิสูจน์ตำนานไหนอีกไหม"
"ไม่แล้วจ้ะ ฉันจะไม่อ่านเรื่องตำนานพวกนี้แล้ว"
"โถ่! ขิงคงไม่ได้กระโจนใส่ผีอย่าวที่ยูจิว่าแล้วสิ"
"ฮ่าฮ่าฮ่า"
ทางด้านเอย์จิเองก็เป็นอีกคนที่กำลังเดินตรงไปที่ห้องเรียนเช่นกัน เขาเพิ่งเห็นว่าตัวเองบังเอิญเดินตามหลังกลุ่มของลูกหมีพอดี
เห็นเด็กสาวคุยกันอย่างออกรสออกชาติกันอยู่แล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะเข้าไปทักทายพวกเธอแต่อย่างใด ก่อนจะก้มหน้าก้มตาดูหน้าจอโทรศัพท์ในมือต่อ
จนกระทั่งเลื่อนมาเจอกระทู้ที่เขียนเกี่ยวกับตำนานของผีบลัดดี้ทิฟฟี่ที่ทับทิมอ่านเมื่อวาน ก็เป็นต้องถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน และทำท่าจะเลื่อนหนีไปดูอย่างอื่น
"หืม อะไรเนี่ย"
สายตาของเขาดันไปสะดุดเข้ากับข้อความบางอย่างในกระทู้นั้น ซึ่งมันถูกพิมพ์นำหน้าดอกจันทร์หลายตัวคล้ายเป็นข้อความเสริม และสีตัวอักษรที่แทบจะกลืนไปกับพื้นหลังแถมยังขนาดเล็กด้วย จึงไม่แปลกที่น้อยคนนักจะมองเห็นข้อความนี้
เอย์จิได้แต่เลิกคิ้ววงสัยว่ามันเป็นทริคบางอย่างหรือเป็นความผิดพลาดของผู้พิมพ์หรืออย่างไร แต่เขาก็พยายามที่จะเพ่งสายตาเพื่ออ่านข้อความนั้น
----------------------------------------------
ตำนานผีบลัดดี้ทิฟฟี่
เจ้าของกระทู้ : JasonGilz
ตำนานสยองขวัญนี้เพิ่งเป็นที่พูดถึงในหมู่นักเรียนชาวควิ้นท์ถึงเมื่อสองปีก่อน
เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักเรียนสาวชั้นมอสี่คนหนึ่งที่ ทิฟฟี่
เธอถูกกลั่นแกล้งโดยรูมเมทและเพื่อนร่วมห้องของเธอเอง
วันหนึ่งเธอได้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองที่ห้องน้ำหญิงชั้นสามของอาคารเรียนด้วยการกรีดข้อมือ
ว่ากันว่าวิญญาณของเธอยังคงวนเวียนอยู่ในห้องน้ำชั้นสาม ไปไหนไม่ได้
เธอได้แต่เฝ้ารอวันที่จะมีคนพาวิญญาณของเธอออกไปจากที่นั่น
หากคุณกับกลุ่มเพื่อนของคุณถือเทียนไปส่องกระจกที่ห้องน้ำชั้นสามในเวลาเที่ยงคืน
พูดชื่อเธอสามครั้งด้วยเสียงที่ดังและดับเทียน
เมื่อจุดเทียนใหม่อีกครั้งเธอก็จะปรากฏตัวให้เห็น
***ปัจจุบันยังมีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าวิธีที่กล่าวไปข้างต้นเป็นวิธีที่สามารถเรียกผีบลัดดี้ทิฟฟี่ได้***
***มีข้อควรระวังที่พูดต่อกันมาว่า หลังจากที่ดับเทียนและจุดขึ้นมาใหม่แล้ว อย่าทำเทียนหล่นหรือทำให้มันดับอีกครั้งเป็นอันขาด
มิเช่นนั้นคุณอาจจะได้พบกับผีบลัดดี้ทิฟฟี่ที่จะติดตามตัวคุณไปและรอที่จะเอาชีวิตของคุณก็เป็นได้ แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้เช่นกันว่าคือเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง***
----------------------------------------------
"เฮ้! ทับทิม น้ำขิง ลูก…"
เอย์จิที่ทำท่าจะเรียกเด็กสาวทั้งสามที่เดินนำหน้าให้มาดูข้อความที่เขาเจอนั้น ก็เป็นอันต้องกลืนคำเรียกชื่อสุดทเายซึ่งเป็นชื่อของเด็กสาวผมสีบลอนด์ทรงมัดแกละลงลำคอในทันที
เพราะเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ ภาพตรงหน้าที่เด่นเข้ามาในสายตาคือภาพของลูกหมีที่เดินหันหลังให้กับเขาและกำลังสนุกกับพูดคุยกับเด็กสาวข้างกายอีกสองคน
โดยที่พื้นใต้เท้าของลูกหมีนั้น มีเงาสีดำทะมึนที่มีรูปร่างสูงและมีเรือนผมยาวแผ่สยายดูน่ากลัวกำลังเคลื่อนตามเงาของเธอ...
|
|