ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
2 posters
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Wed 1 Jul - 0:00:50
สวัสดีครับ และแล้วก็เข้าสู่ช่วงปิดเทอมสำหรับโรงเรียนควิ้นท์แห่งนี้แล้วนะครับ
คาดว่าเด็กๆหลายๆคนคงจะรอปิดเทอมกันมานาน แต่ปิดเทอมนี้ไม่เหมือน
ปิดเทอมก่อนๆ เพราะทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรม 'เข้าค่าย' ขึ้นเพื่อให้นักเรียน
ได้ผจญภัยและสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันในปิดเทอมครั้งนี้!! สำหรับการ
เข้าค่ายในครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายเชิงผจญภัยที่จะให้เหล่าเด็กๆได้ลิ้นรสชาติ
ชีวิตที่แปลกใหม่และสภาพแวดล้อมที่นอกเหนือจากตึกเรียนหรูของเรา
ทางโรงเรียนได้พานักเรียนขึ้นเขาไปยังภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งได้จัดทำสถานที่
รวมถึงตรวจเช็คด้านความปลอดภัยมาเรียบร้อยได้มาตราฐานเป็นอย่างดี
นักเรียนทุกคนจะได้ไปรวมตัวกันที่ค่ายรวมซึ่งเป็นจุดรวมตัวรวมถึงสถานที่
อาบน้ำอาบท่า จากนั้นนักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน
ซึ่งเป็นรูมเมทจาก 2 ห้องนำมารวมกัน ทั้ง 4 คนจะได้อาศัยอยู่ในเต้นท์
ขนาดใหญ่ 1 เต้นท์ซึ่งสามารถนำไปกางที่ไหนก็ได้ในบริเวณตัวค่าย
ตัวค่ายแห่งนี้คือป่าที่ถูกล้อมรอบไว้ด้วรั้วลวดเหล็กหนา ซึ่งมีกฏว่าห้าม
ออกไปนอกบริเวณรั้วโดยเด็ดขาด ป่าภายในบริเวณรั้วคือสถานที่ที่
ปลอดภัยและไร้ซึ่งสัตว์อันตรายใดๆ
ค่ายนี้จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียนรู้และ
อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ทางเรามีอุปกรณ์ทำกับข้าวรวมทั้งวัตถุดิบในการ
ทำอาหารเช่น ข้าว เครื่องปรุงอาหาร น้ำเปล่า และเนื้อสัตว์ให้
หากนักเรียนทุกกลุ่มจะต้องเป็นคนปรุงอาหารเองทุกมื้อภายใน
เวลาค่าย ทุกกลุ่มจะต้องเรียนรู้วิธีจุดไฟ ตั้งเต้นท์ ตกปลา
รวมไปถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการป้องกันตัวจากแมลงใน
ยามค่ำคืน
กฏที่ต้องปฏิบัติขณะอยู่ในค่าย
1. ห้ามออกนอกบริเวณรั้วโดยเด็ดขาด
2. ถ้ามีปัญหาเรื่องความปลอดภัยต้องรายงานอาจาร์ยที่จุดรวมตัวทันที
รายละเอียดเพิ่มเติม
- อาจาร์ยทุกคนจะประจำการอยู่ที่จุดรวมตัว 24 ชั่วโมง
- กรณีมีคนบาดเจ็บ หมอเกลินประจำการอยู่ที่จุดรวมตัวเช่นกัน
- น้ำในห้องน้ำจะถูกเติมวันละสองครั้ง ตอน 06.00 และ 19.00
สามารถเข้าออกห้องน้ำได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากถ้ามาช้าระวังน้ำหมด!!
- มีเบ็ดตกปลาให้สำหรับคนที่อยากลองหาอาหารเอง ไม่ได้เป็นกิจกรรมบังคับ
- ภายในป่าประกอบด้วยแม่น้ำลำธาร เนื่องจากอยู่บนภูเขาจึงสามารถเห็น
ดาวได้ชัดเจนในตอนกลางคืน ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างหนาวแต่ก็สดชื่นมาก
- นักเรียนสามารถพกขนมคบเคี้ยวไปทานเล่นได้ส่วนหนึ่ง
- ไม่มีชุดเครื่องแบบ ไม่ต้องใส่ชุดนักเรียน สามารถจัดเสื้อผ้าได้เอง
- นักเรียนควรใส่เสื้อผ้ามิดชิดเพื่อกันแมลงและสภาพอากาศ
- กรณีฝนตกให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จุดรวมตัว
*อาจมีการเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนในอนาคต*
กลุ่ม
#QuaintCamp
A. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คเกิน 100% สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้อำนวยการโรงเรียน
B. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เกือบเพอร์เฟ็ค สร้างความน่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
C. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมมาก 80% ประทับใจมากแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
D. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ปานกลาง 65% สร้างความประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
E. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ผ่านเกณฑ์ 50% ที่ผู้อำนวยพึงพอใจ
>> ของรางวัลพิเศษจากผู้อำนวยการ
.....ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์เกิน
ขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้นอยู่กับผู้
อำนวยการโรงเรียนเท่านั้น แม้ผลงานที่เพอร์เฟ็คแต่ถ้าขาดความสร้างสรรค์ก็จะไม่ได้
รับถ้วยรางวัลเกียรติยศก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากผลงานไม่ได้สวยจนน่าตะลึงแต่ถ้า
หากมีความสร้างสรรค์ ผู้อำนวยการก็สามารถมอบถ้วยเกียรติยศให้ได้...
คาดว่าเด็กๆหลายๆคนคงจะรอปิดเทอมกันมานาน แต่ปิดเทอมนี้ไม่เหมือน
ปิดเทอมก่อนๆ เพราะทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรม 'เข้าค่าย' ขึ้นเพื่อให้นักเรียน
ได้ผจญภัยและสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันในปิดเทอมครั้งนี้!! สำหรับการ
เข้าค่ายในครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายเชิงผจญภัยที่จะให้เหล่าเด็กๆได้ลิ้นรสชาติ
ชีวิตที่แปลกใหม่และสภาพแวดล้อมที่นอกเหนือจากตึกเรียนหรูของเรา
ทางโรงเรียนได้พานักเรียนขึ้นเขาไปยังภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งได้จัดทำสถานที่
รวมถึงตรวจเช็คด้านความปลอดภัยมาเรียบร้อยได้มาตราฐานเป็นอย่างดี
นักเรียนทุกคนจะได้ไปรวมตัวกันที่ค่ายรวมซึ่งเป็นจุดรวมตัวรวมถึงสถานที่
อาบน้ำอาบท่า จากนั้นนักเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน
ซึ่งเป็นรูมเมทจาก 2 ห้องนำมารวมกัน ทั้ง 4 คนจะได้อาศัยอยู่ในเต้นท์
ขนาดใหญ่ 1 เต้นท์ซึ่งสามารถนำไปกางที่ไหนก็ได้ในบริเวณตัวค่าย
ตัวค่ายแห่งนี้คือป่าที่ถูกล้อมรอบไว้ด้วรั้วลวดเหล็กหนา ซึ่งมีกฏว่าห้าม
ออกไปนอกบริเวณรั้วโดยเด็ดขาด ป่าภายในบริเวณรั้วคือสถานที่ที่
ปลอดภัยและไร้ซึ่งสัตว์อันตรายใดๆ
ค่ายนี้จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียนรู้และ
อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ทางเรามีอุปกรณ์ทำกับข้าวรวมทั้งวัตถุดิบในการ
ทำอาหารเช่น ข้าว เครื่องปรุงอาหาร น้ำเปล่า และเนื้อสัตว์ให้
หากนักเรียนทุกกลุ่มจะต้องเป็นคนปรุงอาหารเองทุกมื้อภายใน
เวลาค่าย ทุกกลุ่มจะต้องเรียนรู้วิธีจุดไฟ ตั้งเต้นท์ ตกปลา
รวมไปถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการป้องกันตัวจากแมลงใน
ยามค่ำคืน
กฏที่ต้องปฏิบัติขณะอยู่ในค่าย
1. ห้ามออกนอกบริเวณรั้วโดยเด็ดขาด
2. ถ้ามีปัญหาเรื่องความปลอดภัยต้องรายงานอาจาร์ยที่จุดรวมตัวทันที
รายละเอียดเพิ่มเติม
- อาจาร์ยทุกคนจะประจำการอยู่ที่จุดรวมตัว 24 ชั่วโมง
- กรณีมีคนบาดเจ็บ หมอเกลินประจำการอยู่ที่จุดรวมตัวเช่นกัน
- น้ำในห้องน้ำจะถูกเติมวันละสองครั้ง ตอน 06.00 และ 19.00
สามารถเข้าออกห้องน้ำได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากถ้ามาช้าระวังน้ำหมด!!
- มีเบ็ดตกปลาให้สำหรับคนที่อยากลองหาอาหารเอง ไม่ได้เป็นกิจกรรมบังคับ
- ภายในป่าประกอบด้วยแม่น้ำลำธาร เนื่องจากอยู่บนภูเขาจึงสามารถเห็น
ดาวได้ชัดเจนในตอนกลางคืน ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างหนาวแต่ก็สดชื่นมาก
- นักเรียนสามารถพกขนมคบเคี้ยวไปทานเล่นได้ส่วนหนึ่ง
- ไม่มีชุดเครื่องแบบ ไม่ต้องใส่ชุดนักเรียน สามารถจัดเสื้อผ้าได้เอง
- นักเรียนควรใส่เสื้อผ้ามิดชิดเพื่อกันแมลงและสภาพอากาศ
- กรณีฝนตกให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันที่จุดรวมตัว
*อาจมีการเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนในอนาคต*
กลุ่ม
กลุ่ม 1 พิมพ์ว่า:Isara Pattanasak, Irein
+
Phee, Peace Oliver
กลุ่ม 2 พิมพ์ว่า:Jinn, Maxwell (NPC)
+
Supha, Randel Waller Donovan
กลุ่ม 3 พิมพ์ว่า:Caroline, Ananda Eric Wachowski
+
Phumin Prabaripye, Say
กลุ่ม 4 พิมพ์ว่า:Suxie, Nave Elizabeth Chaw Blanchard
+
Paks, Tanin
ระยะเวลาภารกิจ พิมพ์ว่า:WED 01/07/15 ; 00.00 TH - THU 16/07/15 ; 23.59 TH
รายละเอียดภารกิจ พิมพ์ว่า:
ภารกิจส่วนเนื้อเรื่อง
- แต่งเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในค่ายร่วมกันภายในกลุ่ม
- แบ่งแยกหน้าที่โดยคร่าวให้ตัวละครทุกตัวภายในกลุ่ม
ภารกิจส่วนผลงาน
- วาดรูปทุกคนในกลุ่มระหว่างประกอบกิจกรรม (ไม่จำเป็นต้อง
เป็นรูปหมู่ วาดรูปเดี่ยว 4 รูปหรือใช้วิธีอื่นๆได้เช่นกัน)
- เขียนบรรยายบรรยากาศและกิจกรรมที่ทำร่วมกันระหว่างเข้าค่าย
- แบ่งงานกันทำอย่างเท่าเทียม เช่น สองคนวาด อีกสองคนเขียน
หรือทุกคนวาดและเขียนคนละนิดคนละหน่อย
- กำหนดแต่ละทีมให้แบ่งงานกันทำ โดยส่งตัวแทน 1 คนมาส่ง
ภารกิจที่สมบูรณ์ และอธิบายการรับผิดชอบงานในแต่ละส่วนของ
แต่ละคนในทีมแนบท้าย
กฏการให้สแตมป์ พิมพ์ว่า:คุณภาพงาน 80% / ทีมเวิร์ค 20%
*สแตมป์รูมเมทจะได้เหมือนกันทั้งทีมโดยตัดสินจากคุณภาพงานเป็นหลัก*
#QuaintCamp
A. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คเกิน 100% สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจให้กับผู้อำนวยการโรงเรียน
- MASTER TRIANGLE STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม
ทองคำแท้ มีมูลค่า +200 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่
น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +3,000,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
B. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เกือบเพอร์เฟ็ค สร้างความน่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- GRAND PENTAGON STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับสูงมากในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม
เทอร์ควอยซ์ผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +150 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้
สุดยอดเป็นที่น่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +2,000,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
C. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมมาก 80% ประทับใจมากแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- ULTRA SQUARE STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
เพชรสีชมพูผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจ
อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +1,500,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
D. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ปานกลาง 65% สร้างความประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- GREAT SQUARE STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับกลางในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
แซฟไฟร์ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้อย่างดีเป็นที่น่าชื่นชม
แก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +1,000,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
E. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ผ่านเกณฑ์ 50% ที่ผู้อำนวยพึงพอใจ
- JEWEL SQUARE STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับทั่วไปในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
อัญมณีล้ำค่า มีมูลค่า +50 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้อย่างสำเร็จเป็น
ที่พึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +500,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
>> ของรางวัลพิเศษจากผู้อำนวยการ
.....ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์เกิน
ขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้นอยู่กับผู้
อำนวยการโรงเรียนเท่านั้น แม้ผลงานที่เพอร์เฟ็คแต่ถ้าขาดความสร้างสรรค์ก็จะไม่ได้
รับถ้วยรางวัลเกียรติยศก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากผลงานไม่ได้สวยจนน่าตะลึงแต่ถ้า
หากมีความสร้างสรรค์ ผู้อำนวยการก็สามารถมอบถ้วยเกียรติยศให้ได้...
GOLDEN HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองคำแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทาง
โรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก
SILVER HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศเงินแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียน
จัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการ
BRONZE HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศทองแดง มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียน
จัดขึ้นได้น่าดึงดูดใจผู้อำนวยการ
Signature ------------------------------------------------>
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
466
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Re: ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Tue 14 Jul - 18:24:02
ผมเป็นตัวแทนมาส่งงานครับผม
- เข้าค่ายวันแรก:
- Randel:
วันแรก
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง พวกเรากำลังจะนั่งรถไปเข้าค่ายกันครับ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆเลย
แถมวันนี้คนก็ยังเยอะสุดๆ ผมเพิ่งมาที่โรงเรียนนี้ได้ไม่นานก็เลยยังไม่ค่อยชินเท่าไร ผมจะทำอะไรผิดหรือเปล่านะ?
ผมสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของตัวเองขึ้นหลัง ขารู้สึกจะสั่นนิดหน่อยแฮะ รถบัสหลายคันจอดอยู่ตรงหน้า
ว่าแต่... แล้วผมจะต้องขึ้นรถคันไหนกันล่ะ?
ผมมองซ้ายมองขวาด้วยความตระหนก ทำยังไงดีทุกคนเริ่มทยอยขึ้นรถของตัวเองไปแล้ว
ตะ.. ต้องไปถามคุณครูตรงนั้นสินะ แล้วต้องถามยังไงล่ะ ผม...ผมไม่กล้า
ปุ~
ระหว่างที่กำลังสับสันกับตัวเอง ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะสัมผัสได้ถึงมือของใครบางคน
ที่แปะอยู่บนไหล่ พอหันไปก็เจอกับพี่ผู้ชายผมดำคนหนึ่งกับพี่ผู้ชายผมทองอีกคน
ผู้ชายที่มีผมสีดำสนิทมองผมยิ้มๆ แล้วบอกกับผมว่า
"รถเราอยู่ทางนั้นนะ" ผมมองตามนิ้วมือของเขาไปก็เห็นว่าคุณครูกำลังโบกมือมาทางพวกเรา
"ไปกันเถอะ" เขาพูดแล้วเดินนำผมไปที่รถ
พี่ชายสองคนนี้ตัวสูงมากๆเลย คงจะโตกว่าผมหลายปี พอนึกขึ้นได้ผมก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป
หลังจากที่ก้าวขึ้นมาบนรถแล้วผมก็กวาดสายตามองหาที่นั่งที่เหลือ
อ๊ะ นั่นมันคุณสุภะ รูมเมทผมนี่นา!
ผมเดินเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ พอเขาเห็นผมก็พยักหน้าให้นิดๆ เป็นเชิงทักทาย
แล้วก็หันหน้าออกนอกหน้าต่าง ผมเลยทิ้งตัวลงบนเบาะนั่งข้างๆ และจัดการเก็บกระเป๋าให้เข้าที่
นั่งกับรูมเมทยังไงก็อุ่นใจกว่าที่จะต้องให้ไปนั่งกับคนที่ไม่รู้จักล่ะนะ
เมื่อทุกคนนั่งที่กันเรียบร้อยแล้วรถบัสก็เริ่มเคลื่อนที่ออกไป แอร์เย็นที่กระทบบนผิวทำให้รู้สึกหนาวนิดหน่อย
ผมก็เลยค้นกระเป๋าเพื่อเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่
ผมหันไปมองสุภะว่าเขาทำอะไรอยู่ แต่ก็เห็นว่าเขาหลับไปแล้ว อ่า... ยังไม่ทันได้คุยอะไรด้วยเลย
สักพักก็ได้ยินเสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นทางเบาะหลัง
ผมเลยเอี้ยวตัวส่องตรงช่องระหว่างเบาะก็เห็นพี่ผู้ชายสองคนเมื่อกี๊ที่เจอกันก่อนขึ้นรถ
นั่งอยู่ข้างหลังเองหรอเนี่ย ผมมองพวกเขาอย่างพิจารณาและแอบสำรวจในใจเงียบๆ
คนแรกคือผู้ชายผมสีดำหน้าตี๋ๆ ตามสไตล์คนเอเชีย ท่าทางจะใจดีแฮะ ยิ้มบ่อยด้วย
ส่วนอีกคนหน้าตาออกไปทางตะวันตก ผมสีทองแล้วก็ยิ้มทะเล้น คงจะเป็นคนอารมณ์ดี
เขาพาดหูฟังไว้ที่คอด้วย คงจะชอบฟังเพลงสินะ ทั้งสองคนคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
จนกระทั่งพี่คนผมสีดำเบนสายตามาสบกับผมพอดี
ผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่าเขาสะดุ้ง
คงจะตกใจที่เห็นหน้าคนระหว่างเบาะนั่ง แต่พี่เขาก็ปรับสีหน้า ยิ้มน้อยๆแล้วโบกมือให้ผม
พี่คนผมทองที่นั่งข้างๆ ดูจะงงๆ ว่าเพื่อนทักใครอยู่ก็เลยเอียงคอมองมาบ้าง เห็นเขากระพริบตาปริบๆ
เหมือนตั้งตัวไม่ทันว่าเจอหน้าใครก็ไม่รู้ตรงนี้ แต่พี่เค้าก็ยิ้มแหยๆ ให้แล้วยกมือทักทาย
ผมรีบหันหน้ากลับมานั่งปกติ พะ...พวกเขาโบกมือให้ผมด้วย
ดีใจจัง
ผมยิ้มให้กับตัวเอง จะว่าไปแล้วยังไม่ได้ขอบคุณเลยนี่นา
งั้นเอาไว้ถึงที่หมายแล้วค่อยพูดก็ได้มั้ง... เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็เลยปิดเปลือกตาลงบ้าง
การมาที่ค่ายนี้ผมอาจจะเจอมิตรภาพดีๆ กับเขาบ้างก็ได้
...................................................
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีด้วยเสียงประกาศจากคุณครู นักเรียนทุกคนลุกขึ้นและเริ่มขนสัมภาระของตัวเองลงรถ
อ้าว ถึงแล้วหรอเนี่ย
ผมขยี้ตาไปมาเพื่อปรับโฟกัสแล้วรีบเก็บสัมภาระของตัวเองเพื่อเตรียมตัวลงบ้าง
คุณสุภะเองก็ตื่นแล้วเช่นกัน หน้าตาดูงัวเงียสุดๆ ไปเลย
ผมมองเขาสักพัก... คนเพิ่งตื่นจะต้องหิวน้ำแน่ๆ เอาไงดี ถามดีไหมนะ
"ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ" ผมตัดสินใจหยิบน้ำขวดเล็กจากกระเป๋าให้เขา เขาดูจะชั่งใจเล็กน้อยแต่ก็รับไปดื่ม
"ขอบคุณ" ฟู่ว โล่งใจจังที่คุณสุภะรับไปดื่ม
ผมยิ้มรับแล้วถอดเสื้อกันหนาวออก แดดข้างนอกเปรี้ยงขนาดนี้คงไม่จำเป็นแล้วล่ะ
ทันทีที่ก้าวลงมาจากรถก็สัมผัสกับธรรมชาติ ลมเย็นที่พัดมาทำให้อากาศไม่ร้อนอย่างที่คิด
แถมยังสดชื่นดีด้วย ผมสูดอากาศทั้งหมดเข้าปอดเฮือกใหญ่และพ่นออกมา รู้สึกดีจริงๆเลย
พวกเราทุกคนถูกพามาที่จุดรวมตัว รู้สึกจะมีห้องน้ำที่นี่สินะ คุณสุภะเองก็ยืนอยู่ข้างๆผม
คุณครูเริ่มจัดการกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันใน 3 วัน 2 คืนนี้
พวกเราจะได้อยู่กับใครนะ ถ้าเป็นคนใจดีก็ดีสิ ผมมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
ว้าว ต้นไม้นั่นใหญ่จัง
"ไง เจอกันอีกแล้วนะ" ร่างสูงทั้งสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเรา
นี่มันพี่ผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังเมื่อกี๊นี่นา คุณสุภะเหลือบมองผู้มาใหม่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก
น... ในสถานการณ์แบบนี้ต้องพูดทักทายเป็นอันดับแรกสิ
"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้เหมือนที่คุณแม่สอนมาแต่คนทั้งสองกลับหัวเราะ
ผมไหว้ไม่ถูกหรอ? หระ... หรือว่าจะไหว้สูงเกินไป?
"ไม่ต้องไหว้พวกเราหรอก ทำตัวสบายๆเถอะเพราะยังไงเดี๋ยวก็คงต้องอยู่ด้วยกันอีกยาว"
พี่ผู้ชายผมทองยักคิ้วแล้วฉีกยิ้มกว้าง เพื่อนเขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย งะ...งั้นหรอ คงไม่ต้องไหว้ทุกคนสินะ
แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาบอกว่า....
"เราอยู่กลุ่มเดียวกันกับพวกคุณหรอครับ" คุณสุภะเป็นคนตั้งคำถามไขข้อข้องใจ
ผมก็เลยมองพวกเขาทั้งสองคนเพื่อฟังคำตอบ
"ใช่แล้วล่ะ" โห... โลกจะกลมอะไรขนาดนี้ ไม่สิ ก็เป็นสมาชิกโรงเรียนเดียวกันนี่นา
จะอยู่กลุ่มเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
"พี่ชื่อจิณณ์นะ" พี่ผู้ชายผมสีดำบอกด้วยรอยยิ้ม
"ส่วนพี่ชื่อแม็กเวล เรียกพี่แม็กสุดหล่อสะท้านปฐพีก็ได้" ยะ.. ยาวจัง ผมต้องเรียกเขาแบบนี้จริงหรอ
พี่จิณณ์แทงศอกใส่ท้องพี่แม็กเวลไปทีหนึ่งก่อนจะบอก “เรียกเจ้าบ้าแม็กก็ได้เหมือนกัน”
“นายสิเจ้าบ้า” พี่แม็กเวลต่อยกลับไปอย่างไม่จริงจังนัก ดูท่าทางสนิทสนมกันดีจัง
นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าเพื่อนสนิท ผมมองพวกเขายิ้มๆ แล้วแนะนำตัวบ้าง
"ผมชื่อรันเดล ฝากตัวด้วยนะครับ" ผมโค้งให้น้อยๆ รีบหาโอกาสพูดแทรกก่อนที่พี่เค้าจะหันไปคุยกันเองต่อ
"ผมชื่อสุภะ" คุณสุภะบอกโดยไม่แยแสมากนัก ระหว่างนั้นคนที่จับกลุ่มได้ก็เริ่มทยอยไปหาที่ตั้งเต็นท์กันแล้ว
เร็วจัง เราเพิ่งจะแนะนำตัวกันเสร็จเมื่อกี้เองแท้ๆ
"ต้องรีบแล้วล่ะ ไม่งั้นคงอดได้ที่ดีๆ แน่เลย" พี่จิณณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ว่าแต่... โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนสำหรับคนพิการนี่นา ดูพี่จิณณ์ปกติดี หรือว่าจะมีอาการทางจิตเหมือนกับผม?
เหมือนพี่เค้าจะรู้ว่าผมจ้องอยู่ เลยหันมามองแล้วยิ้มให้
"อ้อ ลืมบอกไปเลย" พี่จิณณ์ทุบกำปั้นลงมือ
"พี่หูไม่ได้ยินนะครับ เวลาคุยกันต้องอ่านปากเอา เพราะงั้นไม่ต้องตกใจเวลาพี่จ้องหน้านะ"
ว้าว... ผมรู้สึกอึ้งไปเลย เก่งจัง มีคนที่ทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ
ทุกคนหอบสัมภาระต่างๆ แล้วเดินไปหาที่ที่เหมาะสำหรับกางเต็นท์โดยมีผมที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
"รันเดล มาได้แล้ว!" คุณสุภะที่เห็นว่าผมไม่ได้ตามมาก็ตะโกนเรียก ก่อนจะใช้ไม้เท้าเดินตามพี่สองคนนั้นไป
ยะ...แย่แล้วสิ ต้องรีบตามไปแล้ว!
สุดท้ายเราก็เจอที่ที่เหมาะจะตั้งเต็นท์ของพวกเรา นั่นก็คือพื้นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นพื้นราบ
เป็นที่ที่ดีจริงๆ เลย แถมต้นไม้ก็ใหญ่มากเสียจนบังแดดได้เกือบมิด
"ผมว่าเรามาแบ่งหน้าที่กันสักหน่อยดีกว่า" พี่จิณณ์ว่าหลังจากที่เราทุกคนเอาสัมภาระมากองๆ รวมกันไว้บนพื้นแล้ว
"ยังไงอะ?" พี่แม็กเวลถามขณะปาดเหงื่อที่ไหลมาจากหน้าผาก
"ก็ให้ใครสักคนเป็นหัวหน้าไง จะได้ติดต่อกับพวกครูแล้วก็มีรองหัวหน้า คนทำกับข้าว คนหาน้ำหาท่า หาฟืนไรงี้"
พี่จิณณ์อธิบายพลางกระพือเสื้อขึ้นลงเพื่อคลายความร้อน ทั้งๆ ที่ลมก็ออกจะเย็นขนาดนี้
แต่ยังไงประเทศไทยก็ยังร้อนเหมือนเดิมล่ะนะ ดูได้จากเหงื่อที่ไหลเป็นสายน้ำของผู้ชายสองคนข้างหน้าผมเนี่ย
ส่วนเรื่องหัวหน้ากลุ่ม... ฮืม ผมว่าก็ดีนะ สะดวกด้วย
"แล้วใครจะเป็นหัวหน้าล่ะ" พี่แม็กเลิกคิ้วถาม นั่นสินะ หรือจะเป่ายิงฉุบ? พี่จิณณ์ยิ้มอย่างมีเลศนัยนิดๆ แล้วชี้นิ้วไปที่คนถาม
"นายไง"
"เฮ้ย! เราเหรอ ไม่เอาน่า" พี่แม็กทำหน้าเหวอทันทีที่รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม
คงไม่อยากเป็นล่ะสิ ผมก็อยากเป็นแทนอยู่หรอก... ตะ แต่มันยุ่งยากนี่นา ถ้าแค่เป็นรองหัวหน้าล่ะก็น่าจะพอไหว
ส่วนพี่จิณณ์นี่เชียร์สุดฤทธิ์เลย... เจ้าตัวไม่อยากจะเป็นสินะ
"เป็นหัวหน้าเท่มากเลยนะ นายไม่อยากเท่ต่อหน้าน้องๆ หรือไง เนอะ" พี่จิณณ์พูดแล้วก็หันมาส่งซิกกับพวกเรา
“น้องๆก็เห็นด้วยเนอะ พี่แม็กสุดหล่อเท่สะท้านปฐพีเหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุดแล้ว”
ผมกับคุณสุภะไม่รู้จะทำยังไงก็เลยพยักหน้าไปอย่างงงๆ
"ชิ เอางั้นก็ได้ เพราะฉันเท่หรอก" เขายืดอกแล้วทำหน้าภูมิใจแบบสุดๆ หลอกง่ายอย่างกับเด็กเลยแฮะ....
"งั้นผมเป็นรองหัวหน้าให้นะครับ แล้วก็จะเก็บฟืนให้ด้วย" ผมรีบเสนอตัว แค่เก็บฟืนคงไม่ยากนักหรอก รองหัวหน้าก็ด้วย
"หืม เอางั้นเหรอ" พี่จิณณ์ถามย้ำอีกครั้ง ผมก็เลยพยักหน้าหงึกๆ กลับไป
"งั้นก็ฝากตัวด้วยนะคุณรองหัวหน้า!" พี่แม็กโอบคอผมที่ตัวเล็กกว่าแล้วยีผมไปมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
ดูเป็นคนอารมณ์ดีเหมือนที่คิดไว้จริงๆ ด้วย แต่ทำแบบนี้ผมผมก็ยุ่งหมดน่ะสิ...
"ผมจะดูแลของให้แล้วกันครับ หาน้ำให้ด้วย" คุณสุภะบอกแล้วใช้ไม้เท้าพาตัวเองไปนั่งพักบนหินใหญ่เตี้ยๆ ก้อนหนึ่ง
"งั้นฉันจะทำกับข้าวให้แล้วกันนะ ของถนัด" พี่จิณณ์พูดยิ้มๆ
โห ทำกับข้าวเป็นด้วยงั้นหรอเนี่ย ดีจัง ผมอุตส่าห์แอบเอาโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปมา แต่คงไม่ต้องแล้วล่ะมั้ง
"เท่านี้ทุกคนก็มีหน้าที่กันแล้วสินะ เอาล่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่กับแม็กเวลจะช่วยกันกางเต็นท์นะ
ให้สุภะไปเอาน้ำมาจะได้ทำกับข้าว ส่วนรันเดลไปหาฟืนมานะ"
พี่จิณณ์แจกจ่ายหน้าที่ให้ทุกคนแล้วก็หันไปหาพี่แม็กเวลเพื่อช่วยกันกางเต็นท์
ผมเดินไปเอาเสื้อกันหนาวในกระเป๋าอีกครั้งเพื่อใส่กันพวกแมลง แล้วก็เดินออกมาเพื่อเข้าไปหาไม้ดีๆ ในป่า
หันกลับไปเห็นพี่จิณณ์กำลังชี้บอกพี่แม็กว่าต้องทำอะไรยังไงบ้างแล้วก็เริ่มสงสัย สรุปกลุ่มผมใครเป็นหัวหน้ากันแน่เนี่ย...?
.............................................................
ผมเดินเก็บไม้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ลืมที่จะทำสัญลักษณ์ไว้กันหลง ป่านี้ใหญ่มากก็จริง
แต่คุณครูบอกว่ามันมีรั้วกั้นอยู่ แล้วในอนาเขตที่พวกเราอยู่ก็ไม่มีสัตว์ร้ายด้วย
ผมก็เลยไม่ได้กังวลมากว่าจะเจอหมีหรือเสือโคร่งเหมือนที่เห็นในทีวี แถมฟ้าก็ครึ้มๆแล้วด้วย
ผมว่ากิ่งไม้เท่านี้ก็น่าจะเยอะพอแล้วล่ะมั้ง...
แกร็ก!
เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมรีบหันไปมองทันที ร่างสูงที่มีผมสีอ่อนกำลังยืนพิงต้นไม้และยิ้มให้ผม
"ซีโร่?"
"ไง ท่าทางกำลังสนุกใหญ่เลยนะ" ซีโร่ก้าวเท้ามาหาผม หน้าตาเขายังเหมือนเดิม ชุดเดิม เสียงเดิม
เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนแล้วตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
"อื้ม สนุกมากเลย" ผมยิ้มบางๆ ให้กับเขา
ผมรู้... ว่าเขาไม่มีอยู่จริง แต่ว่าพอเขามายืนตรงหน้าแบบนี้แล้วก็อดจะไม่เชื่อไม่ได้ว่าเขาไม่มีตัวตน
ผมกระชับเศษไม้ในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะเอ่ยปากพูดกับเขา
"ขอผมจับตัวซีโร่ได้หรือเปล่า" ซีโร่ส่งเสียงแปลกใจในลำคอ แต่สักพักเขาก็ยื่นมือมาให้
"จับสิ เท่าที่นายต้องการ" ผมมองมือขาวที่อยู่ตรงหน้า
นี่น่ะหรอไม่ใช่ของจริง? ทั้งที่เห็นชัดขนาดนี้
ผมปล่อยฟืนทั้งหมดลงบนพื้นแล้วจับมือของซีโร่อย่างช้าๆ
มันไม่ใช่ของจริงงั้นหรอ?
ทั้งๆที่อุ่นขนาดนี้... ทั้งๆที่นุ่มและน่าสัมผัสขนาดนี้
ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมา ภาพตรงหน้ามัวไปหมดและในที่สุดหยดน้ำใสๆ
ของผมก็หยดลงบนมือของเขา ซีโร่ไม่ได้ชักมือออกหรือถามอะไร เขาเพียงแค่ลูบหัวของผมเบาๆเท่านั้น
"ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม" ซีโร่พูดแล้วชี้ไปข้างหน้า ผมมองหน้าเขาแล้วพยักหน้าทั้งน้ำตา
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน... ถ้ามีซีโร่ผมก็จะไป
ซีโร่จูงมือผมและเดินไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ได้พูดกันเลย แต่กลับรู้สึกสงบและสบายใจ
ลมที่พัดมาก็เหมือนกับจะทำให้ตัวผมล่องลอยขึ้นไปได้ อยากจะหยุดเวลาเอาไว้จัง อยู่แบบนี้นานๆ....
อีกฝั่งหนึ่ง
"เราว่าน้องไปนานเกินไปแล้วนะ" จิณณ์พูดขึ้นหลังจากที่แม็กเวลเตรียมทุกอย่างสำหรับทำอาหารเย็นมาให้แล้ว
ฟ้าก็ครึ้มๆเหมือนฝนจะตก แม็กเวลก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สุภะกลับมาตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกแล้ว แต่รันเดลนี่สิ ยังไม่กลับมาสักที
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับคนในกลุ่มล่ะก็คงไม่สนุกแน่ๆ
“นายจะไปไหน” แม็กเวลคว้าไหล่เพื่อนที่ลุกขึ้น จิณณ์หันกลับมาตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความร้อนรน
“ไปตามน้อง”
“เราไปเอง” แม็กเวลบอก “นายรออยู่นี่แหละ”
“ก็ไปด้วยกันไง จะได้ช่วยกันหา” จิณณ์ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น
สุภะมองพี่สองคนที่ทำหน้าเหมือนจะต่อยกันแล้วขยับหลบออกมาเล็กน้อย กะว่าถ้าพี่ๆมีเรื่องกันยังไงจะได้ไม่โดนลูกหลง
“นายไม่ได้ยินนะ จะช่วยอะไรได้ ถ้าหลงไปอีกคนจะทำยังไง” แม็กเวลพูดอย่างจริงจัง
เห็นเพื่อนหน้าซีดไปก็รู้ว่าคำพูดของตัวเองทำร้ายความรู้สึก รู้ว่าจิณณ์ก็รู้สภาพตัวเองแต่ก็อยากช่วย จึงพูดออกไป
“เราก็ห่วงน้องไปไม่น้อยกว่านายหรอก”
จิณณ์เบือนหน้าไปอีกทาง แม็กเวลมองก็รู้ว่าเพื่อนเข้าใจที่ตนจะสื่อแล้วแต่ก็ยังงอนอยู่นิดหน่อย
จึงหมุนหัวเพื่อนให้กลับมามองตัวเองแล้วบอกขำๆ “ถ้าเจอจะส่งข้อความมาบอก”
“อือ”
“นายรออยู่ที่นี่แหละ เผื่อรันเดลกลับมานายได้ส่งข้อความมาบอกเราได้เหมือนกัน โอเคมั้ย”
“รู้แล้ว”
“แล้วก็..”
“รีบไปเหอะน่า!!”
เพราะรันเดลทำสัญลักษณ์เล็กๆ เอาไว้บนต้นไม้ทำให้แม็กเวลพอจะคลำทางได้ว่าเขาไปทางไหน
ร่างสูงก้าวเท้าถี่ด้วยความร้อนรนจนกระทั่งมาถึงสัญลักษณ์อันสุดท้าย
"โถ่เว้ย! แล้วไปทางไหนต่อล่ะเนี่ย" แม็กเวลสบถเบาๆ กับตัวเองแล้วลูบหน้าด้วยความหงุดหงิด
กวาดสายตาไปมาเพื่อมองหาสิ่งที่จะสามารถหาตัวรันเดลพบ ทันใดนั้นสายตาก็สะดุดเขากับกองกิ่งไม้ที่วางอยู่
เขาวิ่งเหยาะๆไปดูทันที แล้วประเมินเหตุการณ์โดยคร่าว กิ่งไม้ที่เรียงกันแบบนี้คงไม่ได้เกิดจากธรรมชาติแน่ๆ
"ไปทางนี้สินะ" แม็กเวลเก็บกองกิ่งไม้นั่นแล้วเอามันไปหลบไว้ข้างทาง
"รันเดล!" เขาเดินไปพร้อมกับตะโกนไปด้วยเผื่อมีอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยถ้ารันได้ยินเสียงก็อาจจะตอบกลับมา
ร่างสูงยังคงกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทางและป้องปากตะโกนอย่างไม่ลดละ
....................................................
"รันเดล!"
นี่มัน... เสียงพี่แม็กเวลนี่นา
ผมชะงักฝีเท้าลงทันที ไม่ได้... เราจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้หรอก
"มีอะไรหรอ รัน" ซีโร่หันมาถามอย่างแปลกใจที่อยู่ๆ ผมก็หยุดเดิน ผมเงยหน้ามองเขา
สำรวจไปทั่วใบหน้าของซีโร่แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
"ผมคงต้องกลับแล้วล่ะ"
"ทำไมล่ะ ไม่เห็นต้องไปสนใจคนพวกนั้นเลยนี่"
"ไม่ได้หรอก..."
"..."
"มีคนรอให้ผมกลับไปอยู่" ผมกุมมือของซีโร่เอาไว้แล้วยิ้มให้เขา แต่เพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องมาทำให้ผมมองหน้าเขาไม่ชัดเจน
ฟ้าหายครึ้มไปตั้งแต่ตอนไหนไม่ทันสังเกตเลยแฮะ
"แฮ่กๆ อยู่ที่นี่เองเหรอรันเดล! ถ้าอยู่ก็หัดตะโกนตอบกลับซะบ้างเซ่" เสียงโวยวายที่ดังมาจากข้างหลังเรียกความสนใจ
จากผมให้หันไปมอง พี่แม็กเวลหน้าแดงก่ำแล้วก็หอบหายใจหนัก คงวิ่งมาสินะ แย่แล้ว ผะ...ผมสร้างความเดือดร้อนอีกแล้ว
พี่แม็กเดินมาทางผมแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมากดยิ๊กๆ ผมเลยอาศัยจังหวะนั้นหันกลับมาว่าจะบอกลาซีโร่สักหน่อย
แต่เขาก็ไม่อยู่แล้ว
"กลับกันได้แล้ว” พี่แม็กเอาแขนพาดบ่าผมก่อนจะยิ้ม “ถึงเต็นท์โดนดีแน่คุณรองหัวหน้า"
"ขะ..ขอโทษครับ!"- ของสวยงาม:
พี่แม็กเวลบ่นใส่ผมมาตลอดทางตั้งแต่ตอนเจอกันจนถึงทางออกจากป่า
แต่อยู่ๆ ก็กลับมาหัวเราะร่าเริงเหมือนเดิม บอกว่าเลิกบ่นแล้ว รอดูฤทธิ์คุณแม่ที่รออยู่ที่เต็นท์ดีกว่า
เห็นพี่จิณณ์ยืนกอดอกรออยู่ตรงหน้าเต็นท์ก็รู้เลยว่าคุณแม่ที่พี่แม็กหมายถึงคือใคร...
พี่จิณณ์ไม่ได้ดุอะไรมากมายเลยครับ แค่คำพูดมันแทงลึกทะลุถึงหัวใจเท่านั้นเอง ผมก็ได้แต่ก้มหน้างุดๆ
ไม่กล้าพูดอะไร พอพี่เขาเห็นผมสำนึกผิดแล้วก็ลูบหัวผมแล้วบอก คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ
แล้วก็หันไปทำอาหารโดยไม่ได้ว่าอะไรอีก
พี่แม็กกับพี่จิณณ์ดูตึงๆ กันนิดหน่อยตอนกลับไปถึง แต่แค่แป๊บเดียวพี่สองคนก็กลับมาดีกันแล้ว
คุณสุภะก็มาถามผมว่าหายไปไหนมา ผมก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ กลับไป
นี่เราลืมกินยาตัวไหนไปหรือเปล่าเนี่ย...
อ้อ กับข้าวของพี่จิณณ์อร่อยมากเลย นับเป็นโชคดีที่พี่เค้าไม่ได้โกรธผมถึงขนาดวางยาในอาหาร
ไม่คิดว่ามาอยู่ในป่าจะได้กินกับข้าวอร่อยแบบนี้ โจ๊กของผมคงเป็นหมันซะแล้วล่ะ
และหลังจากที่จัดการอาหารเย็นเสร็จผมกับคุณสุภะก็ได้สิทธิ์ไปอาบน้ำก่อน หลังจากนั้นพี่ทั้งสองคนก็จะไปอาบทีหลัง
พวกเราจัดแจงที่นอนในเต็นท์กันจนเรียบร้อย คิดว่าคงจะได้นอนแล้วแน่ๆ แต่พี่แม็กเวลก็หยิบตลับไพ่จากในกระเป๋าขึ้นมา
"ก่อนนอนมาเล่นไพ่กันสักตามั้ย?" ถึงจะอยู่ในความมืดสลัวแต่ผมเดาว่าตอนนี้เจ้าตัวคงกำลังฉีกยิ้มกว้างแน่ๆ
"เอาสิ" พี่จิณณ์พูดสนับสนุนแล้วเปิดไฟจากตะเกียงขึ้นมา
"ผมก็พอจะเล่นได้" คุณสุภะก็ด้วยหรอเนี่ย
"งั้น... ผมเอาด้วย"
สุดท้ายก็ไม่ได้จบกันแค่ตาเดียว พวกเราเล่นกันอย่างสนุกสนานโดยไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
สักพักพี่จิณณ์ก็ขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก ให้ผมเดาก็คงจะไปยิงกระต่ายแน่ๆ แต่ก็ไม่กลับมาสักทีจนพี่แม็กเป็นห่วงเลยออกไปตาม
แต่จนแล้วจนรอดทั้งสองคนก็ยังไม่กลับมา หายไปไหนนะ หรือจะหลงทางเหมือนผม?
ผมกับคุณสุภะมองหน้ากันเงียบๆ อย่างไม่รู้จะคุยอะไรดี
"ออกไปตามหากันมั้ย" คุณสุภะพูดขึ้นทำลายความเงียบ
ความจริงผมก็ค่อนข้างกลัวนะ ฟ้าก็มืดแล้ว แถมเป็นในป่าแบบนี้อีก แต่พอนึกถึงตอนผมตามซีโร่ไป
พี่แม็กก็อุตส่าห์ลงทุนไปตามหาผมถึงในป่า แถมพี่จิณณ์เองก็เป็นห่วงผมซะขนาดนั้น...
"เอาสิ" ผมพยักหน้าตอบรับ
พวกเราเดินออกมาเรื่อยๆ แต่ไม่ไกลจากเต็นท์นักก็เจอกับตัวการทั้งสองคนที่พวกเราออกมาตามหา
พี่แม็กเวลนั่งขัดสมาธิสบายๆ เอามือยันพื้นข้างหลัง ส่วนพี่จิณณ์ก็นอนเอาแขนหนุนหัวอยู่ ทั้งคู่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เอ่อ.. พี่ๆเล่นไพ่จนคอเคล็ดเหรอฮะ
"ทำอะไรกันอยู่หรอครับ" ผมตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นพี่แม็กเวลเลยหันมา
พอพี่จิณณ์เห็นพี่แม็กเวลหันเลยยันตัวลุกขึ้นและหันมาบ้าง
"อ้าว ทั้งสองคน ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะ" พี่จิณณ์ยิ้มเขินๆ ก่อนจะบอกต่อ
“ที่นี่ดาวสวยมากเลยนะ ดูสิ” ดาว...งั้นหรอ
"มาๆ มานั่งด้วยกัน" พี่แม็กตบที่นั่งข้างๆ ผมกับคุณสุภะมองหน้ากันสักพัก
สุดท้ายก็เดินลงไปทิ้งตัวลงบนพื้นหญ้า
"ว้าว..." ผมอุทานออกมาเบาๆ ทันทีที่แหงนหน้าขึ้น สวยจัง ดาวเต็มท้องฟ้าเลย อวกาศหรือเปล่าเนี่ย
คุณสุภะเองก็ดูจะอึ้งไปเหมือนกัน ฮะๆ ไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้าแบบนี้เลย
ถ้าอยู่แต่ในเมืองก็คงจะไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่สวยงามแบบนี้หรอก...
ถึงวันนี้จะวุ่นๆไปบ้าง แต่ก็เป็นวันที่ดีนะ :)- ของสวยงาม:
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
466
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Re: ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Tue 14 Jul - 18:25:12
- เข้าค่ายวันที่สอง:
- Jinn
วันที่2 :
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะโดนเพื่อนสนิทถีบ...
แม็กเวลนี่นอนดิ้นในระดับที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
มุดหัวออกมานอกเต็นท์ก็เห็นคุณครูหลายๆคนกำลังเคาะหม้อเคาะกาละมังกันอยู่
คาดว่าพยายามทำเสียงดังๆ เพื่อปลุกนักเรียนไปทำกิจกรรมยามเช้า หันไปมองเด็กๆ ในเต็นท์ก็พอจะรู้ว่าวิธีของคุณครูไม่ได้ผล
ผมเอาเท้าถีบๆ เพื่อนหัวทองเป็นการปลุก ก่อนจะใช้มือเขย่าแขนน้องๆ อีกสองคน
ไม่นานทั้งสามคนก็ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพคนเมาขี้ตาเต็มที่
“เช้าแล้วเหรอ” แม็กงึมงำถาม ผมแทบจะแกะไม่ออกว่าเพื่อนพูดว่า เช้าแล้วเหรอ หรือ ไก่อยู่ไหน -_-;;
“อรุณสวัสดิ์ฮะ” รันเดลหาวหวอดแต่ก็ยังไม่ลืมยกมือขึ้นปิดปาก ผมบอกอรุณสวัสดิ์ตอบรับไป
หันไปเห็นสุภะยืดแข้งยืดขาบิดขี้เกียจอยู่และแม็กที่ทำท่าเหมือนจะหลับต่อได้ทุกเมื่อก็บอกให้ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตากัน
อาบน้ำอาบท่ากันเสร็จก็แบ่งหน้าที่กัน ส่วนนึงก็เก็บที่นอนหมอนผ้าห่มไป อีกส่วนก็มาทำกับข้าว
แน่นอนว่าผมก็ยังรับหน้าที่เชฟกระทะเหล็กเช่นเคย เช้านี้เป็นกับข้าวง่ายๆ เบาท้องและรสชาติไม่จัดจ้านนัก
ถึงจะทำอะไรไปหลายอย่างแล้วแต่เจ้าเพื่อนหัวทองก็ยังไม่วายสัปหงกจนหน้าเกือบทิ่มจานข้าว
ผมเลยต่อยแขนไปทีนึงแล้วไล่ให้ไปล้างหน้าก่อนค่อยกลับมากินต่อ
..................................................................
ช่วงสายๆ คุณครูก็เรียกรวมให้นักเรียนแต่ละกลุ่มได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นกิจกรรมเข้าฐานต่างๆ
เวียนฐานกิจกรรมแต่ละฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไล่จับธรรมดาๆ การเดินทางไกล เกมใบ้คำ
เกมปีนเขา(จำลอง) บลาๆๆๆ มากมายจนกว่าจะจบกิจกรรมทั้งหมดก็เกือบจะบ่าย
กว่าจะได้กินข้าวเที่ยงกันก็เกือบๆจะบ่ายสองโมง กินเสร็จก็หมดแรงจะไปทำอะไรกันต่อแล้ว
นอนแผ่หลาอยู่ใต้ร่มไม้ไปได้ซักพักสุภะก็ยันตัวลุกขึ้น หันมามองเหมือนเตรียมตัวจะพูดอะไรซักอย่าง ผมเลยหันไปมองเขา
"วันนี้อากาศดีนะครับ แถมเราก็ทำกิจกรรมกันหมดแล้ว"
พูดจบก็เว้นช่วง คนที่เหลือก็มองนิ่งๆ ลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
"ไปเล่นน้ำที่ลำธารกันไหมครับ" เขาพูดด้วยสีหน้านิ่ง ท่าทางเหมือนไม่มั่นใจว่าที่พูดออกมาคนอื่นๆจะเห็นด้วยมั้ย
"เอาสิ น่าสนุกออก" ผมบอก เจ้าเพื่อนหัวทองก็พยักหน้ารับเป็นลูกคู่ได้อย่างดี
"นั่นสินะครับ น้ำเย็นแน่เลย" รันเดลเองก็ดูจะตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ว่าแล้วพวกเราก็ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนชุด
เตรียมกันเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะแข่งกันว่าใครจะไปถึงที่ริมลำธารก่อน
สุภะดูงอนนิดหน่อยเพราะเขากล้ามเนื้ออ่อนแรง ร่วมแข่งกับพวกเราไม่ได้
หันไปเห็นท่านหัวหน้ากลุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ก็พอจะรู้แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป
ท่านหัวหน้าแบกเจ้าพนักงานหาน้ำของเราวิ่งนำไปก่อน เขาให้เหตุผลอย่างซี้ซั้วว่าไม่รู้ว่าลำธารอยู่ไหน
จึงต้องให้สุภะเป็นคนนำทาง แต่น้องเดินช้าไม่ทันใจ เขาอุ้มไปจะเร็วกว่า
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสุภะแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
และนอกจากนี้แม็กก็ไม่ได้หาลำธารไม่เจออย่างที่เจ้าตัวว่า ดังนั้นเมื่อผมกับรันเดลที่เดินเอื่อยๆตามไปถึง
ก็เห็นเพื่อนร่วมทีมทั้งคู่นั่งยิ้มแต้รออยู่ในน้ำแล้ว
ผมมองไปรอบๆ บรรยากาศแถวนี้ค่อนข้างร่มรื่นเพราะมีต้นไม้เยอะ แดดแทบส่องลงมาไม่ถึงน้ำ
รอบๆเป็นโขดหินสีเขียวๆที่มีตะไคร่เกาะ ท่าทางจะลื่นไม่น้อยเลย เพราะน้ำค่อนข้างใสจึงมองเห็นก้นลำธารที่เป็นก้อนหินน้อยใหญ่
ส่วนมากก้อนรีๆมนๆ คงเพราะโดนน้ำซัดจนหมดความคมแล้ว น้ำส่วนที่กระทบแสงแดดส่องแสงระยิบระยับราวกับอัญมณี
พอเอาของวางเสร็จ ทั้งผมทั้งรันก็โดนเจ้าหัวทองที่ตัวเป็นผู้ใหญ่แต่สมองยังเป็นเด็กลากลงน้ำแบบไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
ด้วยความที่เพื่อนตัวใหญ่กว่า และผมกับรันก็ไม่ได้ต่อต้านอย่างจริงจังนัก จึงโดนลากลงน้ำกันไปทั้งคู่
"หู้วว น้ำเย็นสุดๆ" ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อสัมผัสความเย็นของน้ำ แต่พอแช่ไปซักพักก็รู้สึกสบายสุดๆ ไปเลย
"คืนชีพแล้วววว" เจ้าเพื่อนตัวแสบดำน้ำลงไปแล้วโผล่มาพูดประโยคนี้ข้างๆผม ท่าทางเหมือนได้กลับสู่ที่อยู่โดยธรรมชาติยังไงชอบกล
"เฮ้ย! เปียกหมดแล้วเนี่ย" ผมบ่นเมื่อละอองน้ำจากเพื่อนกระเด็นใส่
"มาเล่นน้ำก็ต้องเปียกสิ นี่แหน่ะๆ" เพื่อนหัวเราะฮ่าๆ แล้วเริ่มกวักน้ำสาดใส่ผม แรกๆผมก็เอาแขนบัง
ซักพักเริ่มวักน้ำสาดกลับไปบ้าง เล่นกันไปเล่นกันมารันเดลกับสุภะผู้โดนลูกหลงก็เข้ามาร่วมสงครามครั้งนี้ด้วย
สาดกันไปสาดกันมา ไม่รู้มาใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จู่ๆ เจ้ายักษ์แม็กเวลก็เสียหลักลื่นมาทางผม
ผมจะหลบก็ไม่ทันเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว นั่นทำให้เราล้มไปด้วยกัน
ผมเอามือคว้าไปข้างหลังก่อนจะกระแทกพื้นโดยสัญชาตญาณ แต่ด้วยความที่แม็กล้มมาด้วยแถมพื้นหินตรงนั้นก็ค่อนข้างลื่น
ผมเลยยันไว้ไม่อยู่ รู้สึกแปรบที่มือนิดหน่อย... แต่นั่นไม่เท่ากับความจุกที่โดนยักษ์ล้มทับหรอกฮะ
สุภะกับรันเดลรีบเข้ามาช่วยพยุงเพื่อนตัวโตออกจากตัวผม แม็กจับไหล่ผมให้หันไปมองแล้วถาม
“เป็นอะไรรึเปล่า”
ผมส่ายหัวเชิงไม่เป็นไร ยังจุกอยู่เลยพูดอะไรไม่ออก เห็นน้องสองคนเบิกตากว้างแล้วชี้ไปด้านหลังผม
ผมหันไปมองตามอย่างงงๆ ตอนนั้นเองที่เห็นน้ำสีแดงด้านหลังตัวเองแทนที่จะเป็นน้ำใสๆตามปกติ
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ แม็กก็คว้ามือผมที่ใช้ยันตัวอยู่เมื่อกี๊ขึ้นมาอย่างแรง
“โอ้ย!” เพิ่งรู้ว่ามันเจ็บ T_T
“ขอโทษ” แม็กบอก สีหน้ารู้สึกผิดและจับให้เบาลง พร้อมๆกับผมเองที่เพิ่งตรัสรู้ว่า ไอ้น้ำแดงๆนั่นคือเลือดของผมเอง
“เลือดออกเยอะขนาดนี้” ทั้งแม็กทั้งน้องๆเริ่มดูลนลาน ในขณะที่ผมสำรวจบาดแผลตัวเองอยู่เพราะรู้สึกได้ว่าไอ้ที่รู้สึกเจ็บเมื่อกี๊มันไม่ได้มาจากแผล
รู้ตัวอีกทีก็เห็นเพื่อนสั่งให้น้องไปหยิบเสื้อที่เตรียมมาเปลี่ยนหลังเล่นน้ำมาพันห้ามเลือดที่มือไว้ก่อน แล้วแม็กก็จะยกผมพาดบ่า!!
เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ จะทำอะไรเนี่ย???
“นายทำบ้าอะไรวะแม็ก!!” ผมใช้มืออีกข้างทุบหลังเพื่อน แม็กจึงวางผมลงริมฝั่งแล้วบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เรานึกว่านายเป็นลม”
ไม่ติดว่าเห็นทั้งทีมยืนมองอยู่เหมือนทำอะไรไม่ถูก แถมยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วผมคงจะด่าซ้ำไปแล้วแหละ
แต่จริงๆ แล้วพอเห็นความหวังดีของเพื่อนๆ แล้วก็ด่าไม่ลงแล้วล่ะฮะ
"ไม่เป็นไรหรอกน่า แค่นี้เอง” ว่าแล้วก็ใช้มืออีกข้างลูบหัวน้องสองคนด้านหลัง
“พี่ไม่เป็นไรจริงๆ ใจเย็นๆ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
ทำไมกลายเป็นผมที่ต้องปลอบคนอื่นไปได้ละเนี่ย....?
จิณณ์ไม่รู้จริงๆว่าตัวเองเสียเลือดไปมากจนซีดขนาดไหน ยิ่งเจ้าตัวผิวขาวอยู่แล้ว
พอซีดแบบนี้อย่างกับแวมไพร์ที่ไม่ได้เจอแสงมาเป็นปีๆ ...ผิวขาวจนแทบจะเขียว
ซีดจนแทบจะมองเห็นเส้นเลือดที่เต้นตุบๆอยู่ใต้ผิวหนัง!
รันเดลและสุภะได้แต่มองตามพี่จิณณ์และพี่แม็กเวลที่เดินนำออกไปก่อนละฝากให้พวกเขาเก็บของให้ด้วยอย่างห่วงๆ
ภาวนาให้พี่ชายคนนี้อย่าได้เป็นอะไรมากไปกว่าแผลที่เห็นเลยนะ เพี้ยง!!
รันเดลกับสุภะเก็บของไปไว้ที่เต็นท์เสร็จก็รีบวิ่งไปที่จุดรวมตัว เห็นแม็กเวลเดินวนหน้าเครียดอยู่ด้านหน้าก็เข้าไปถาม
แม็กเวลส่ายหน้าเชิงว่าไม่รู้เหมือนกัน เขาชี้ไปที่ห้องพยาบาลชั่วคราวแล้วบอก
“ยังไม่ออกมาเลย”
“หวังว่าพี่จิณณ์จะไม่เป็นอะไรนะครับ” รันเดลพูด สุภะเองก็มองไปทางเต็นท์พยาบาลอย่างเป็นห่วงเช่นกัน
..................................................................
"ปะ.. เป็นอะไรมากหรือเปล่าฮะ" รันเดลพุ่งเข้ามาถามทันที่ที่ผมเดินออกมาจากเต็นท์พยาบาล
มองไปจึงเห็นว่าแม็กกับสุภะก็อยู่ที่นี่ด้วย
"ครูลินบอกว่าข้อมือพลิกน่ะ" ผมบอก ยิ้มอย่างปลงๆ
“ส่วนไอ้ที่หินบาดก็โดนไปเจ็ดแปดเข็ม คงจะขยับมือไม่ได้ไปซักพัก”
"งั้นแบบนี้ก็แสดงว่า..." แม็กเวลพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พอๆกับน้องๆที่มีสีหน้าวิตกกังวล
"พวกเราต้องทำอาหารเองงั้นเหรอ!!"
ราวกับเวลาหยุดไปชั่วขณะ ...ที่มายืนเครียดกันอยู่นี่เพราะห่วงปากท้องของตัวเองงั้นเหรอ!!
ชิ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นห่วง
เห็นสีหน้าว่างเปล่าของผม เพื่อนก็หัวเราะแหะๆแล้วบอกขอโทษ ก่อนจะทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
"จริงด้วย รันเอาโจ๊กมาไม่ใช่เหรอ"
เห็นสายตาที่เปี่ยมความหวังของแม็กเวลแล้ว รันก็หัวเราะเขินๆ
ก่อนจะยกทัพกันกลับไปที่เต็นท์ อย่างน้อยเย็นนี้ก็มีอะไรกินกันละนะ
"แหม โชคดีอะไรอย่างนี้" แม็กเวลทำดวงตาเป็นประกายแล้วพลิกซองโจ๊กที่รันไปค้นมาให้จากในกระเป๋าไปมา
ผมชะโงกหน้ามามองโจ๊กกึ่งสำเร็จรูปที่อยู่ในมือเพื่อนแล้วพูด "โจ๊กนี่มันหมดอายุไปเมื่อปีที่แล้วแล้วนี่นา"
"...."
"...."
"...."
"โถ่เอ้ยยยย"
"ผมขอโทษฮะ T[]T"
..................................................................
ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงตอนเย็น ทุกคนยอมรับชะตากรรมแล้วว่ายังไงวันนี้ก็ต้องทำกับข้าวเองโดยที่จิณณ์จะเป็นคนกำกับการ
ทุกคนแบ่งหน้าที่กันไป รันเดลจะเป็นคนหั่นเนื้อ และสุภะหั่นผัก ส่วนแม็กเวลดูแลเรื่องการปรุง
"เอาล่ะอย่างแรกก็ตั้งหม้อก่อน ใส่น้ำลงไป" จิณณ์บอกอย่างสบายๆ ผิดกับอีกคนที่ทำหน้าตาเคร่งเครียด
"น่าจะได้ที่แล้วล่ะ รันเดลหั่นเนื้อเสร็จหรือยัง" จิณณ์หันไปถามเด็กชายที่กำลังขมักเขม้นกับการหั่นเนื้ออย่างพิถีพิถัน
รันเดลเงยหน้าขึ้นแล้วใช้หลังมือปาดเหงื่อพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ เนื้อที่หั่นได้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยผสมกันไป แต่ก็ถือว่าโอเคล่ะนะ
"เอามาใส่ในหม้อนะ ส่วนแม็ก นายใส่เกลือลงไป" แม็กเวลหยิบขวดเกลือมาด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่เนื้อลงไปลอยอยู่ในหม้อแล้วเขาก็จัดการเทเกลือลงไป
เปาะ!
แต่ไม่รู้ว่าเคราะห์ซ้ำหรือกรรมซัด เกลือที่ไหลออกมาทางรูเล็กๆ กลับกลายเป็นเกลือครึ่งขวดที่โดนเทใส่ลงไปเพราะฝาหลุด
"เฮ้ยยยยยย" แม็กเวลร้องออกมาด้วยความตกใจ
"นายทำอะไรของนายหาาา"
"เราเปล่านะ เราเปล่าาา"
จิณณ์ตัดสินใจบอกให้แม็กเทน้ำออกจากหม้อครึ่งหนึ่งแล้วใส่น้ำเข้าไปใหม่
และหวังว่าความเค็มนั้นจะจางลง พวกเขายังคงช่วยกันปรุงอาหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใส่ผักในขั้นตอนสุดท้ายเป็นอันเสร็จ- บริ๊งๆ:
อาหารหน้าตาไม่เลวนักอยู่บนจานของทุกคนพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ที่ส่งกลิ่นยั่วน้ำลาย แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าแตะอาหารอยู่ดี
เมื่อไม่มีผู้กล้า จึงเริ่มเกิดระบอบเผด็จการ และผู้นำฝ่ายเผด็จการจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ควบคุมการทำอาหารในครั้งนี้....
“แม็ก” จิณณ์พยักพเยิดไปที่กับข้าวอย่างเดียวของวันนี้ “ชิม”
คนถูกสั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขนาดเขาเป็นคนปรุงยังเดา
ไม่ออกเลยว่าอาหารมื้อนี้รสชาติจะเป็นยังไงบ้าง หวังว่าจะไม่กลายเป็นเดอะลาสซัปเปอร์ของเขาหรอกนะ TT
แม็กเวลกลืนน้ำลายเอือกใหญ่เรียกขวัญกำลังใจ แล้วค่อยๆ ตักอาหารพร้อมข้าวสวย
เอาเข้าปากไปแล้วเคี้ยวอย่างช้าๆ สักพักเขาก็หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มและน้ำใสๆ ที่คลออยู่ที่หางตา
"อร่อยมาก!" แล้วก็ชูนิ้วโป้งให้
สามคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็เลยตักเข้าปากบ้าง
"อั่ก!" จิณณ์
"อุก!" รันเดล
"อึก..." สุภะ
"นายหลอกเราาาา"- บริ๊งๆ:
หลังจากที่ผ่านมื้ออาหารอันทรหดและไปอาบน้ำมาแล้ว ทั้งสี่คนก็ทิ้งตัวลงนอนทันทีอย่างไร้เรี่ยวแรงเหมือนตอนเช้าไม่มีผิด
ห่มผ้าของตัวเองแล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อจะพักผ่อน ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
และความเงียบงันเป็นดนตรีอย่างดีในการกล่อมให้นอนหลับ แต่สักพักแม็กเวลก็พูดขึ้น
"ตอนพี่เด็กๆ พี่เคยเจอพี่สาวคนหนึ่ง" ไม่มีเสียงตอบรับจากใครสักคน แต่ว่าคงมีคนฟังอยู่แน่ๆ
เขาจึงพูดต่อแล้วก็สะกิดให้จิณณ์รู้ด้วย จิณณ์ก็เลยลุกขึ้นมาเปิดไฟในตะเกียงอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็เป็นแค่ไฟอ่อนๆ จึงไม่ได้ทำให้แสบตามากนัก
"เธอสวยมากๆ เรามักจะคุยกันผ่านกำแพงที่กั้นไว้ระหว่างบ้าน พี่ก็เลยเห็นเธอแค่ครึ่งตัวเท่านั้น"
เขาเว้นช่วงว่างไว้ แล้วเริ่มเล่าต่อ "วันหนึ่ง..."
"พี่ตัดสินใจเดินไปหาเธอที่บ้าน และพบว่าเธอยืนอยู่ที่เดิม แต่ว่า... พอมองลงข้างล่างแล้วเธอกลับไม่มีขา!!"
"นายจะมาเล่าเรื่องผีอะไรตอนนี้เนี่ย!" จิณณ์ร้องโพล่งขึ้นทันทีที่รู้ว่าเรื่องราวที่แม็กเล่าไปเมื่อกี้กลับกลายเป็นเรื่องสยองขวัญไปเสียได้
"ฮ่าๆๆ สีสันไงๆ" แม็กเวลว่าอย่างอารมณ์ดี
"หึ สู้ของเราก็ไม่ได้"
"หืม? นายมีเรื่องจะเล่าเหมือนกันหรอ"
"แหงสิ เรื่องมันมีอยู่ว่า...." จิณณ์เริ่มเล่าเรื่องราวสยองขวัญให้ฟัง เพราะคิดว่าน้องทั้งสองหลับไปแล้วคงจะไม่ได้ยิน
แต่เปล่า ทั้งสองคนนอนตาแข็งและไม่กล้าหลับเลยสักนิด
'บอกให้หยุดเล่าดีไหมนะ ผมกลัวจัง' รันเดลคิดในใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอยู่ดี
เวลาผ่านไปสักพักแม็กเวลจึงขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก
ร่างสูงเดินออกมาหาบริเวณเหมาะๆ ที่จะสามารถปลดปล่อยได้ เขายืนผิวปากอย่างอารมณ์ดีและยิงกระต่ายไปพลาง
ทันใดนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำตะคุ่มใกล้ๆ กับต้นไม้ใหญ่ แม็กเวลชะงักเล็กน้อยและรีบทำธุระของตัวเองให้เสร็จๆ
Maxwell:
"ไม่เอาน่า" ผมพึมพึมกับตัวเองเบาๆ แล้วหันหลังกลับเตรียมจะเดินหนี
"ฮือๆ..." เสียงร้องไห้สยดสยองดังขึ้นไล่หลัง ผมไม่รอช้าติดสปีดเกียร์สามความเร็วระดับแสงกลับเต็นท์ทันที
รู้ตัวแน่ๆ ว่าเจอดีเข้า จะมีคนบ้าที่ไหนมานั่งร้องไห้ดึกดื่นขนาดนี้กันเล่า!
ซวก!
ทันทีที่มาถึงผมก็มุดเข้าเต็นท์ทันที สบตากับจิณณ์ที่ยังไม่หลับ เพื่อนดูตกใจที่ผมเปิดพรวดเข้ามา
แต่นาทีนี้ไม่สนใจอะไรแล้ว ผมมุดเข้าผ้าห่มแล้วคลุมโปงทันที โผล่หัวออกมาเห็นจิณณ์ขมวดคิ้ว
ก่อนจะคลานไปรูดซิปปิดเต็นท์ที่ผมเปิดเอาไว้
บรึ๋ย หวังว่าจะไม่ออกมาอีกนะ!
ผมมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มอีกที ได้ยินเสียงเพื่อนบ่นอยู่ด้านนอก
"เป็นอะไรของนายเนี่ย"
"ผี ผี เราเจอผีอ้าาา" ผมยังคงหลับตาปี๋พูดแล้วกัดผ้าห่มแน่น
"ผีบ้าผีบออะไรของนาย บ้าไปแล้วหรือเปล่า" จิณณ์บ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆ
ผมไม่รู้หรอกว่าทันที่ที่เพื่อนนอน เขาก็ได้เห็นเงาดำขนาดใหญ่พาดอยู่บนเต็นท์
คล้ายมีใครบางคนมายืนอยู่ข้างๆและกำลังเกาะเต็นท์อยู่ มองรูปร่างน่าจะเป็นผู้หญิงในชุดกระโปรงยาว
จิณณ์นอนตัวแข็งทื่อ
อะไรเนี่ย ใครกัน....
จิณณ์ดึงผ้าห่มคลุมขึ้นมาถึงอกแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ หากแต่หัวใจกลับเต้นรัว
เหงื่อก็ผุดไหลซึมไปทั่วใบหน้า และตัดสินใจเอื้อมมือไปปิดไฟอย่างช้าๆ
อย่างน้อยน้องก็คงหลับไปแล้วล่ะนะ....
จิณณ์คิด
แต่เปล่า ทั้งสองคนนอนตาค้างกันมาตั้งแต่เล่าเรื่องผีแล้ว แถมยังเห็นเงาดำอีก
จะมีอะไรซวยไปกว่าวันนี้อีกเนี่ย!- บรึ๋ยๆ:
- เข้าค่ายวันสุดท้าย:
- วันสุดท้าย:
เสียงไก่ป่าขันดังมาจากที่ไกลๆ คล้ายประกาศให้โลกรู้ว่าควรลุกจากที่นอนได้แล้ว
คลอไปกับเสียงจิ๊บๆ ผสมผสานจากเหล่านกหลากเผ่าหลายพันธุ์ผู้ขยันขันแข็งออกหากินกันตั้งแต่เช้าตรู่
ท้องฟ้าสีน้ำเงินเริ่มปรากฎแสงอมส้ม และค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่าน
ไม่นานนักที่ดวงตะวันสีส้มลูกโตค่อยๆโผล่พ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมาทักทาย
ความมืดและหมอกจางลง ปรากฎร่างของเด็กชายสี่คนนั่งดื่มด่ำ
เคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นที่อบอุ่นแสนงดงามและโรแมนติก...
...ซะที่ไหนกันเล่า!!
สภาพทั้งสี่คนมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกันนั่นคือขอบตาที่คล้ำราวกับโดนแพนด้าประทับทรง
หน้าตาอิดโรยและพากันหาววอดราวกับโดนบังคับให้อดนอนกันทั้งคืน
ก็ไม่เชิงโดนบังคับ เพียงแต่ไม่มีใครหลับลงกับสภาพที่มี เงาของอะไรก็ไม่รู้ มาเกาะเต็นท์อยู่
ต่างคนก็ต่างคิดในใจ มีแค่เงาคงพอข่มตาหลับได้ ที่ไหนได้พอหลับตาก็ได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนปานจะขาดใจ
สะดุ้งลืมตาขึ้นมาเสียงดังกล่าวก็ไม่หายไป ฟ้าเกือบจะสางแล้วเงาและเสียงนั้นก็ยังไม่ยอมจากไปไหน
(ประสบการณ์เสียงนี้มีเพียงจิณณ์ผู้ไม่รับสารทางการได้ยินเท่านั้นที่รอดพ้นไป)
มองหน้ากันไปมาก็พอจะรู้ว่าได้ประสบการณ์เดียวกันทุกคนในคืนที่เพิ่งผ่านพ้นไป
จึงตัดสินใจชวนกันออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นให้รู้แล้วรู้รอด อย่างน้อยก็ไม่อยากนอนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในเต็นท์กันอีกแล้วในตอนนี้
ออกจากเต็นท์มาก็หวั่นใจกันอยู่ไม่น้อย นับเป็นโชคดีที่อะไรไม่รู้นั้นไม่ได้อยู่รอให้พวกเขาได้เจอหน้าแต่อย่างใด
"พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว" แม็กเวลพูดขึ้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรงแล้วฟุบลงบนแขนของตัวเองที่วางอยู่บนเข่าอย่างเหนื่อยอ่อน
ถึงจะสวยแค่ไหนแต่ก็ไม่มีแรงจะดูเลยจริงๆ
“สวยจังเลย” รันเดลยังมีแก่ใจชมความงามซักเล็กน้อย ก่อนจะเอนหัวไปซบจิณณ์ที่นั่งตาปรืออยู่ข้างๆ
"วันสุดท้ายแล้วนะครับ" สุภะมองไปข้างหน้าที่มีแสงริบหรี่ของดวงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นมา
ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นมองแสงของวันใหม่แล้วก็ได้แต่ยิ้มบางๆ
นั่นสิ วันสุดท้ายแล้วนี่นา...
เนื่องจากว่ามือของพ่อครัวประจำเต็นท์ยังเจ็บอยู่ ทำให้คนที่เหลือต้องออกโรงทำอาหารเช้ากันเอง
แต่เพราะไม่ได้ทำเกลือหกลงไปเหมือนเมื่อวานรสชาติก็เลยดีขึ้นมา... นิดหนึ่ง
หลังจากที่จำใจกลืนสิ่งที่พอจะเรียกว่าอาหารแล้วทุกคนก็ไปอาบน้ำอาบท่า
และกลับมาเก็บสัมภาระทุกอย่างเพื่อกลับไปยังโรงเรียนอันแสนสุขที่รออยู่
..................................................................
Supha:
“ไฟฉายนี่ของใครอ่ะ” พี่แม็กเวลถามขึ้นขณะชูไฟฉายในมือ ผมหันไปมองตามเสียง เห็นรันเดลยกมือบอกว่าเป็นของเขา
มองไปอีกทางเห็นพี่จิณณ์กำลังคีบกางเกงลิงตัวนึงขึ้นมาด้วยสีหน้าพิกลๆ
“นี่ของใคร”
“เฮ้ย ของเราเอง” พี่แม็กแทบจะกระโดดไปตะครุบเอาไว้ เขาหัวเราะแหะๆ
สีหน้าเขินๆ พี่จิณณ์ส่งสายตาคาดโทษนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
มหกรรมตามหาเจ้าของดำเนินไปอีกซักพักจนเราเก็บของกันเสร็จนั่นแหละฮะ
ไม่น่าเชื่อว่าอยู่กันแค่สองคืนข้าวของจะกระจัดกระจายกันได้ขนาดนี้
เก็บของกันเสร็จพี่แม็กกับรันในฐานะหัวหน้าและรองหัวหน้าก็ไปติดต่ออาจารย์เรื่องอะไรก็ไม่รู้
ความจริงเค้าก็บอกแล้วแหละ แต่ผมไม่ได้สนใจซักเท่าไหร่
ตอนนี้เหลือผมกับพี่จิณณ์ช่วยกันเก็บเต็นท์อยู่
เก็บเต็นท์ไปก็คิดไปพลางๆ ว่าทีมเรานี่ดูจะมีเรื่องซวยเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันเลยแฮะ
วันแรกก็รันหลงป่า วันต่อมาพี่จิณณ์เจ็บตัวไม่พอ พี่แม็กยังเจอผีแถมยังพาผีกลับมาแชร์ให้เพื่อนกลัวด้วยอีก
ต้องเป็นเพราะพี่เค้าเล่าเรื่องผีแน่ๆ
ถึงได้มาทั้งภาพคมชัดระดับเอชดีไม่มีสัญญาณกระตุกแถมเสียงสเตอริโอเซอร์ราวด์รอบทิศทางขนาดนี้
...หวังว่าวันนี้คงไม่มีอะไรซวยๆเกิดขึ้นอีกนะ
ขณะที่ผมมุดเข้าไปด้านในเต็นท์เพื่อปลดเชือกที่ใช้ผูกผ้าเต็นท์โดยไม่รู้ว่าอีกคนแกะเชือกอีกด้านแล้ว
ส่งผลให้ผ้าคลุมเต็นท์ผืนใหญ่ล่วงลงมาคลุมผมทั้งตัวจนมองไม่เห็นอะไร
เนื่องจากโดนผ้าพันอยู่ แขนแขนขาก็ไม่ค่อยจะมีแรงด้วยแล้วทำให้ขยับไม่ได้ดังใจเลยพาลล้มลงไปซะอย่างงั้น
"โอ๊ย!" ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บเพราะหัวดันไปกระแทกกับโครงเต็นท์- ชูวับๆ:
“เป็นอะไรรึเปล่า” เหมือนพี่จิณณ์จะรู้แล้วว่าผมมีปัญหา พี่เขาก้มลงมาดูแล้วถาม
พอเห็นสภาพหนอนดักแด้ของผมที่โดนผ้าเต๊นท์พันทั้งตัวเหลือแต่หัวโผล่ออกมาก็นิ่งไปนิดนึงก่อนจะหัวเราะแล้วเข้ามาช่วยแกะผ้าออกให้
รันเดลกับพี่แม็กกลับมาพอดี ทั้งสองคนมองอยู่ชั่วขณะก่อนพี่แม็กเวลจะถามด้วยสีหน้าสนอกสนใจว่าพวกเรากำลังเล่นอะไรกัน
ไม่ได้เล่นครับ กำลังมีปัญหาอยู่ต่างหาก ทำไมผ้าบ้านี่มันแกะยากขนาดนี้ TT
พอพี่จิณณ์เล่าจบ รันเลยเข้ามาช่วยแกะผ้าแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า?"
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ หัวคงโนนิดหน่อย แต่ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรมากหรอกมั้ง
พอแกะผ้าเสร็จก็หันไปเห็นพี่แม็กเก็บเต็นท์เสร็จพอดี ผมจึงช่วยพับผ้าเต็นท์เก็บใส่ถุงแทน
ส่วนพี่จิณณ์กับรันไปช่วยกันเตรียมของสำหรับอาหารมื้อกลางวันที่กำลังจะถึง
..................................................................
กว่าจะเก็บของเตรียมของอะไรกันเสร็จก็ถึงมื้อกลางวันพอดี
จิณณ์ที่พอจะขยับมือได้แล้วไม่อยากจะฝากท้องกับอาหารที่ไม่เหมือนอาหารนั่นต่อจึงอาสาทำมื้อกลางวันให้
ถึงแม้ว่าคนที่เหลือจะประท้วงอยู่บ้าง อย่างแม็กเวลเป็นต้น
"ง่อยแล้วยังจะทำกับข้าวอีกนะนาย เดี๋ยวก็เจ็บกว่าเดิมหรอก"
แม็กเวลว่าแล้วย่นจมูกนิดหน่อย ถึงจะทำท่าเหมือนไม่พอใจแต่ใครๆ ก็ดูออกทั้งนั้นล่ะว่าเป็นห่วง
"เราไม่อยากตายก่อนกลับโรงเรียนน่ะ" จิณณ์ว่าขำๆ แล้วเริ่มลงมือปรุงอาหาร
เพราะมือยังไม่หายดีรันเดลที่ทำหน้าที่เป็นคนหั่นเนื้อก็หั่นให้เช่นเดิม
และแล้วอาหารมื้อนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนทำหน้าราวกับได้ขึ้นสวรรค์เมื่อสัมผัสกับรสชาติที่เรียกว่าอาหารอีกครั้ง
ทานกันเสร็จทั้งสี่ก็ทยอยเอาของต่างๆ ไปคืนที่จุดรวมตัวแล้วขึ้นรสบัสที่รออยู่เพื่อกลับโรงเรียน
"เฮ้ยเดี๋ยวๆ" เสียงของแม็กเวลเรียกให้คนอื่นๆ ต้องหันไปมองอย่างสงสัย
จิณณ์ไม่ได้ยินก็จริงแต่โดนเพื่อนดึงแขนไว้ก่อนจึงหันไปมอง
สุภะกับรันเดลที่อยู่ห่างออกไปก็เดินเข้ามาสมทบเพื่อดูว่าท่านหัวหน้าหมู่จะทำอะไร
แม็กเวลหยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยิ้มกว้าง
"เรามาถ่ายเซลฟี่กันดีกว่า"
"คิดอะไรเข้าท่าเป็นเหมือนกันนี่" จิณณ์ว่า
"ผมก็ลืมเรื่องถ่ายรูปไปเลย" รันเดลว่าอย่างเสียดาย ก่อนจะโดนคนตัวโตเกี่ยวคอไปยืนข้างๆ
"มาๆ สุภะด้วยไปยืนข้างจิณณ์นะ จะได้ถ่ายได้ทั่วๆ" แม็กเวลกดเข้าโหมดถ่ายรูปแล้วยื่นมือออกจนสุดแขน
"พูดว่าชีสสสสสสส นะทุกคน"
"เอาล่ะนะ หนึ่ง..."
"สอง..."
"สาม!"
"ชีสส~"- ชูวับๆ:
ทริปในครั้งนี้สนุกไม่น้อย คนที่ไม่เคยเจอกันก็ได้เป็นมิตรหลังจากที่ต้องเผชิญชะตาร่วมกัน
ร่างสูงสองคนหลังจากที่ขึ้นรถมาก็หลับสัปหงกไม่รับรู้เรื่องราวอะไรทันทีเพราะหลับไม่อิ่มมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้
รันเดลส่องช่องระหว่างเบาะไปมองรุ่นพี่ทั้งสองคนแล้วก็ยิ้มบางๆ
"สนุกจัง... ขอบคุณมากนะครับ" ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอประสบการณ์ที่แสนวิเศษ ไม่คิดเลยว่าจะได้พูดคุยกับคนอื่น
ทำกิจกรรมร่วมกันแล้วก็มีความสุขมากขนาดนี้....
รันเดลคิดแล้วก็หันไปถามความเห็นจากคนข้างๆ บ้าง
"คุณสุภะสนุกไหมครับ" สุภะหันมามองนิ่งๆ แล้วก็หันหน้าออกนอกหน้าต่างอีกครั้ง
"อืม... ก็สนุกดีนะ" เขายิ้มบางๆ ออกมาอย่างที่คนอื่นไม่มีทางเห็น ส่วนรันเองก็หันไปคลี่ผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วก็หลับไปอีกคน
พาหนะคันใหญ่แล่นไปตามถนนที่สองข้างทางมีแต่ทุ่งหญ้าที่เขียวขจี
สายลมพัดพาเกสรดอกไม้ปลิวฟุ้งไปทั่วบริเวณแล้วรถคันใหญ่นั้นก็หายลับตาไปบนทางยาวที่แสนไกล....
เนื้อเรื่องโดย: รันเดล
เพิ่มอรรถรส: จิณณ์
ตรวจสอบขั้นสุดท้าย: สุภะ
B. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เกือบเพอร์เฟ็ค สร้างความน่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- GRAND PENTAGON STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับสูงมากในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม
เทอร์ควอยซ์ผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +150 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้
สุดยอดเป็นที่น่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +2,000,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's Comment:
- ก่อนอื่นขอชื่นชมในเรื่องของทีมเวิร์คครับ ดูชิลๆ สบายๆ
แต่ก็ประสานงานกันได้เป็นอย่างดี ตัวงานก็ออกมาดูสบายๆดีครับ
ถึงจะบรรยากาศสบายๆแต่ตัวงานก็เป็นตัวงานคุณภาพอัดแน่น
ไม่ว่าจะเป็นงานวาดหรืองานเขียน ชอบภาพของรันเดลตอน
ชิมอาหารกันจังเลยครับ ฮาก๊ากเลย ชอบในจุดที่ใส่ใจเก็บ
รายละเอียดเล็กๆน้อยๆของแต่ละคน เช่นลายของผ้าห่ม
รวมไปถึงนำตัวละครทุกตัวที่มีมาใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์
สูงสุดมากครับ ชอบอีกอย่างตรงที่ค้นหาข้อมูลเรื่องการ
เข้าค่ายโดยรวม ทำให้รู้เรื่องของหัวหน้าหมู่ รองหัวหน้า
และหน้าที่แต่ละอย่างภายในค่ายที่สามารถนำมาปรับแต่ง
ใช้จริงได้ในเรื่องอีกด้วย
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Thu 16 Jul - 10:35:46
ผมเป็นตัวแทนของกลุ่ม 1 มาส่งงานครับ [Part1]
- Spoiler:
Isara's part
“อ-ออกค่าย?”
ผมรับเอกสารที่ได้มาจากห้องธุรการแล้วอ่านออกเสียงแบบงงๆ ที่ผ่านมาผมไม่เคยออกค่ายเลย
เอาจริงๆ นะไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากแถวบ้านกับบริเวณโรงเรียน ผมเหงื่อตกนิดหน่อยเพราะ
กังวลว่าจะไปได้รึเปล่า แต่ผมเป็นถึงประธานนักเรียน เรื่องแค่นี้จะปฎิเสธได้ยังไงกัน
“ไอรีนจะไปค่ะ!”
รูมเมทผมประกาศลั่นอย่างกระตือรือร้น แล้วเตรียมจัดกระเป๋าทันที ผมยิ้มอ่อนให้กับน้องที่แอคทีพ
ซะเหลือเกิน แล้ว..เอ่อ.. เข้าค่ายนี่มันต้องเอาอะไรไปบ้างนะ...
*****
3 วันต่อมา
ทุกคนที่ตอบใบตอบรับว่าจะไปเข้าค่ายปิดเทอมของทางโรงเรียน ก็มารวมตัวกันที่ล็อบบี้ แต่ละคนนี่
กระปรี้กระเปร่าเลยจริงๆ เสียงดังครึกครื้นสมกับเป็นกิจกรรมเข้าค่าย ผมเดินตามไอรีนที่ลั้ลลาไป
รวมตัวกับเพื่อนคนอื่นที่เริ่มมากันได้เยอะแล้ว
"โอ้~ ประธานฯ มาด้วยเหรอคร้าบ"
"ครับๆ คุณดีเจ"
น้ำเสียงยียวนของแม็กเวลดังขึ้นตรงหน้า งานแบบนี้อย่างหมอนี่คงไม่พลาดสินะ ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนจะ
พยักหน้าตอบรับเพื่อนร่วมชั้น สัมภาระที่ผมขนไปมีเป้แค่ใบเดียวเท่านั้น อ้อ..แล้วผมก็ถอยไม้เท้า
อันใหม่ด้วย เผื่อผมอาจจะต้องสมบุกสมบันกับป่า หนักกว่าอันเก่าแต่ดูสมบุกสมบันใช้ได้เลยครับ
"ประธานฯ ไหวแน่นะพวก?"
"ไหวสิไหว"
...เจ้านี่มันคงเห็นผมไม่ค่อยยิ้มมั้ง เลยเดินเข้ามาตบไหล่ ผมรู้ว่าแม็กเวลคงกำลังยืนจ้องหน้า (ซีดๆ)
ของผมอยู่ จึงยิ้มมุมปากแล้วตอบเจ้าเพื่อนตัวแสบไป
"ไหวน่า นี่ฉันนะ"
"แกแล้วไงวะ ไปเข้าค่ายนะเว้ย เคยออกไปไหนมั้ยเนี่ย?"
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจแบบเพลียๆ ของแม็กเวล ขณะนั้นเสียงโทรโข่ง
แตกๆ จากผอ. ก็ดังขึ้น ผอ.เรียกรวมพลทั้งหมดเพื่อขนรถไปยังสถานที่จัดค่าย ผมกระชับกระเป๋าเป้
ใบใหญ่ที่หลังก่อนจะเดินตามเพื่อนๆ ไป ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นรถ เสียงของผอ.ก็ลอยเข้ามาในหู
"ขอให้สนุกนะครับคุณอิสรา"
"...ครับ ขอบคุณครับ" ผมตอบกลับแบบแห้งๆ
รถที่นำพวกเราไปยังค่ายเป็นรถทัวร์สองชั้น ผมก้าวขึ้นไปแบบเกร็งๆ แต่ยังดีที่มีน้องพีคอยช่วย เรา
สองคนนั่งข้างๆ กัน พีกับผมจะคุยกันได้ช้าหน่อยเพราะน้องต้องใช้การเขียน ซึ่งสำหรับคนตาบอด
แล้วจึงเป็นอักษรเบลล์ที่ต้องมีอุปกรณ์ ถึงจะช้าหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่ได้คุย เมื่อรถเริ่มออกตัวได้สักพัก
รถทั้งคันดังสนั่นเพราะเสียงเพลง แต่เพราะมันโคลงเคลงแบบนี้ ผมที่ตื่นมาเช้าตรู่เลยผลอยหลับไป...
*****
กึกๆ...
หือ... ทำไมเจ็บๆ ที่ไหล่
ป๊าบ!!
"เย้ย!!"
ผมสะดุ้งตัวโยน ที่ไหล่ผมเหมือนมีใครมาฟาดเข้าให้ พอตั้งสติได้ถึงรู้ว่าเป็นพีน้อยที่นั่งข้างๆ นี่แหละ
กำลังสะกิดผมที่กำลังหลับใหญ่เลย แล้วสังเกตรอบตัว เสียงเพลงก็เงียบไป มีเสียงฝีเท้าย้ำและรถ
หยุดโคลงเคลงแล้ว
"เราถึงแล้วเหรอ?"
ผมถามหวังคำตอบ แต่มองไม่เห็นแบบนี้จะได้คำตอบแบบมีเสียงจากคนที่พูดไม่ได้ได้ยังไง ผมคิด
เอาในใจว่าคงถึงแล้วล่ะ แล้วเสียงโทรโข่งของผอ.ก็ดังขึ้นอีกครั้งยืนยันความเข้าใจของผม
"เด็กๆ ครับ มารวมกันที่ตรงนี้คร้าบ อย่าเพิ่งเถลไถลนะคร้าบ"
"ค่าาา/ค้าาาบ"
ผมลุกขึ้นยืนและจะเอื้อมไปหยิบเอากระเป๋าที่วางอยู่บนชั้นเหนือที่นั่ง แต่พีน้อยก็สะกิดผมและ
พยายามดึงมือผมให้สะพายกระเป๋า ใจดีจัง...ขอบคุณนะครับ
เมื่อเด็กทุกคนมารวมกันแล้ว ผอ.ก็เริ่มอธิบายกิจกรรมและสิ่งที่ต้องทำต่างๆ รวมถึงข้อควรระวัง
ด้วยค่ายนี้เป็นค่ายที่มีรั้วรอบขอบชิดพอตัว แต่เป็นป่าฤดูร้อนที่อาจจะชื้นๆ บ้างเพราะระหว่างเข้า
ค่ายคงจะมีฝนตก แต่ไม่มีสัตว์ร้ายใดๆ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องค่อยพะวงกับสัตว์ที่
ผมต้องวิ่งหนี ให้วิ่งในป่าคงทำไม่ได้แน่...แต่วิ่งในลู่ผมเคยนะ (กีฬาสีตอนม.2)
"แต่เด็กๆ ทุกคนจะต้องตั้งเต้นท์พักแรมและทำอาหารกันเองนะครับ"
"โอ้โห"
เด็กๆ ส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้นแต่บางคนก็เริ่มจะกังวลเหมือนผมสินะ เพราะผมทำอาหารไม่เป็น
นี่สิครับ ผมจะมีชีวิตรอดในค่ายได้อย่างไรกัน
ผอ.อธิบายต่ออีกว่าเพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถทางร่ายกายต่างกัน จึงต้องมีการแบ่งกลุ่ม
ซึ่งเป็นการสุ่มสมาชิก จากนั้นต้องช่วยเหลือกันตลอดการเข้าค่าย ทำกิจกรรมกันเป็นกลุ่ม 1 กลุ่ม
จะได้เต้นท์มา 1 หลัง ผมเริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่ไม่ต้องนอนกลางป่า
"เอ้า! ฟังนะครับว่ากลุ่มไหนมีใครบ้าง"
ผมลุ้นฟังว่าเพื่อนๆ ร่วมชะตากรรมอดทนถึกจะมีใครบ้าง พีที่ยืนข้างๆ ก็คงลุ้นเหมือนกันใช่มั้ยครับ
เงียบกริบเชียว
"คุณอิสรา คุณพีช คุณพีและคุณไอรีน กลุ่มที่ 1 นะครับ รู้แล้วมองหาเพื่อนแล้วจับกลุ่มกันไปรับเต้นท์
กับทางค่ายได้เลยนะครับ กลุ่มต่อไป..."
โอ้...ผมได้อยู่กับพีด้วย แล้วก็...น้องไอรีน ขนาดมาเข้าค่ายพวกเรายังได้อยู่ด้วยกันเลยเหรอเนี่ย!
แต่คนอื่นๆ อยู่ที่ไหนกันนะ นอกจากพีแล้วผมไม่รู้ตำแหน่งของพีชและไอรีนเลย แต่เมื่อกำลังจะอ้าปาก
เสียงเจื้อยแจ้วของไอรีนก็ดังขึ้น
"โธ่... มาเข้าค่ายยังต้องอยู่กะพี่ไอน์เหรอคะเนี่ย" น้องพูดแซวๆ
"..." ผมยิ้มให้น้อยๆ ...แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องแซวจริงรึเปล่านะ..
แล้วเราก็รวมกลุ่มกันได้โดยใช้เวลาไม่นาน แต่กว่าจะถึงค่ายก็บ่ายแล้ว วันแรกเหล่าครูอาจารย์ที่พาเด็กๆ
มาเข้าค่ายก็ใจดีด้วยการให้ทุกคนรับประทานอาหารที่ทางค่ายได้ปรุงขึ้น โดยที่ยังไม่ต้องไปปรุงเอง
ผมได้ยินแค่ไอรีนและพีชคุยกัน ดูไอรีนจะตื่นเต้นมาก คงจะชอบการแอดแวนซ์เจอร์ ส่วนพีกับผมจะ
คุยกันแค่สั้นๆ แบบได้ใจความ พีจะได้ไม่เสียเวลาจิ้มเบลล์
พวกเราทานข้าวกันไม่นานก็เริ่มจับกลุ่มและเดินตามเจ้าหน้าที่ของค่ายไปรับเต้นท์
"พี่ขนเอง"
"คุณไอน์มีกระเป๋าแล้วนะครับ" พีชที่กำลังจะแบกเต้นท์คุยกับผม
"ไม่เป็นไร ให้น้องแบกแล้วมันยังไงไม่รู้ เป็นคนนำทางพี่ดีกว่านะ"
"เอางั้นก็ได้"
พวกเราสี่คนตามเจ้าหน้าที่ประจำค่ายไปยังจุดสำหรับกางเต้นท์ สังเกตจากการหยิบจับอะไรต่างๆ พี
ท่าทางจะคล่องแคล่วในการตั้งเต้นท์อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนพีชดูเก้ๆ กังๆ นิดหน่อยตามประสาคุณหนู
ที่ไม่ค่อยลงแรง ส่วนผมก็ทำอะไรจิปาถะ ช่วยจับตรงโน้นที หยิบอันนั้นที ตามแต่คนตาบอดอย่างผม
จะสามารถช่วยได้ ผ่านไปนานพอสมควรพวกเราก็ได้เต้นท์หลังใหญ่ ซึ่งนอกจากจะได้เต้นท์จาก
ค่ายแล้ว ยังพ่วงถัง กะละมัง หม้อ กระทะ ตะแกรง อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นใช้ในทำอาหารมาอีกด้วย
กว่าจะแล้วเสร็จทุกอย่างก็เกือบเย็น เพราะหลังจากกางเต้นท์แล้วจะมีวิทยากรมาแนะนำจุดตั้งเต้น
แต่ละส่วนของค่าย และอีกสารพัดในการเข้าค่ายด้วย ราวๆ ห้าโมงเย็นจึงเริ่มเป็นเวลาทำอาหาร
ครั้งแรกของพวกเรา โดยวัตถุดิบทางค่ายจะมีให้ และคนที่ไปจัดการเลือกคือพีและไอรีน ส่วนผม
กับพีชนั่งก่อไฟ เตรียมอุปกรณ์อยู่ที่เต้นท์ อืม...ผมไม่ค่อยยุ่งกับไฟเท่าไหร่ ส่วนพีชเองก็ดูไม่ค่อย
เป็นแต่พวกเราก็ช่วยๆ กันจนได้ไฟที่พอจะตั้งกระทะพัดอาหารจนได้
"คุณไอน์เคยทำกับข้าวมั้ยครับ?"
พีชถามด้วยน้ำเสียงสุภาพระหว่างเติมฟืน
"ไม่เคยเลยครับ ผมเคยคิดจะลองแต่ยังไม่เก่ง อย่างมากก็ง่ายๆ พวกอาหารเวฟ"
"อ่อ..."
น..น่าอายเป็นบ้าเลย โตขนาดนี้แล้ว
"คงลำบากมากสินะครับ"
"...ไม่หรอกครับ"
"ผมก็ทำอาหารไม่เก่งหรอก ฮะๆ"
"งั้นเหรอครับ"
...คือผมทำไปแล้วมันจะกลายเป็นการพังครัวมากกว่าการทำอาหารน่ะ ผมคิดต่อในใจแต่ไม่ได้พูด
อะไรออกมา แล้วผมกับพีชก็คุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย ซักพักพีและไอรีนก็กลับมาพร้อมวัตถุดิบ
แต่คนที่ลงมือจริงๆ เป็นพีชกับพีช่วยๆ กันทำ โดยมีผมและไอรีนนั่งเป็นลูกมืออย่างคนไม่เป็น
เกือบฟ้ามืด อาหารเย็นของพวกเราก็เสร็จเรียบร้อย ดมจากกลิ่นแล้วก็...น่าทาน..อยู่นะครับ แต่
อาหารเสร็จแล้วก็ยังไม่มีใคร 'กล้า' ทาน
"พี กินก่อนสิ"
ผมไม่รู้ว่าพีตอบอะไร แต่ทั้งหมดเงียบไปซักพัก แล้วจู่ๆ ไอรีนก็พูดขึ้น
"อ-เอ่อ... ม มันยังร้อนอยู่นี่คะ"
ผมคิดว่าไอรีนกำลังโดนเล็งให้ชิมแล้วก็ทำเฉไฉ แล้วทั้งหมดก็เงียบอีก สุดท้ายผมคงต้องออกโรง
สินะ...
"มา พี่กินเอง หิวแล้ว"
"..." ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากน้องๆ ทั้งสามคนพร้อมกัน ผมตักกับข้าวเข้าไปคำแรกแล้วเคี้ยว...
อร่อย(?)น้ำตาจะไหลเป็นสายเลือดเลยครับ...
*****
หลังจากทานอาหารเสร็จ..ทุกคนยังมีชีวิตรอดกันอยู่ ก็ถึงเวลาต้องไปอาบน้ำครับ พีกับพีชที่เป็นรูมเมท
กันอยู่แล้วออกไปก่อนหน้านั้น (เดี๋ยวผมไปสำรวจที่ทางให้ครับพี่ไอน์...พีว่า : พีช) ส่วนน้องไอรีนก็
ตามไปติดๆ บอกครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว ผมที่สามารถทนอยู่กับความสกปรกได้ก็เลยรออยู่ในเต้นท์ไปก่อน
แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะเหงื่อก็ออก ยุงก็กัด ไม่คุ้นที่ในป่าเลย ผมจึงตัดสินใจหอบขันเสื้อผ้า ผ้าขาวม้า
เดินไปห้องน้ำ
ว่าแต่...ฝั่งไหนหญิง... ฝั่งไหนชายนะ...
ครั้นจะถามพี่เจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน แถมแถวนี้ยังเงียบสนิท คนอื่นไปอาบน้ำที่ไหนกัน ปกติถ้าไม่รู้
อะไรจะตะโกนเรียกคน แต่ตอนนี้มันเงียบมากอย่างกับไม่มีคน เลยไม่กล้าตะโกน จะยืนนานกว่านี้คง
ไม่ดีแน่ เลยเสี่ยงดวงเข้าไปที่ประตูซ้าย เพราะห้องผู้หญิงต้องอยู่ขวาแน่นอน (Men turn left
because women always right -..-)
ห้องน้ำของที่นี่เป็นห้องน้ำรวมขนาดใหญ่ มีแท็งก์น้ำรวมเพียงอันเดียว แต่มันเงียบมาก ไม่ได้ยินเสียง
ใครอาบน้ำเลย อย่างน้อยๆ พีกับพีชน่าจะอาบอยู่ หรือคนจากกลุ่มอื่นบ้าง แต่นี่มันเงียบเกินไปแล้ว
ผมเดินนุ่งผ้าเตี่ยวเข้าไปแล้วคลำแปะๆ จนเจอแท็งก์ ก่อนจะใช้ขันตัก แต่ขณะที่กำลังจะราด...
"กรี๊ดดดดดดดดด พะ..พี่ไอน์จะมาโชว์สำนักงานใหญ่อะไรที่นี่ค้าาา"
"หะ..ฮะ..!?"
"พี่ไอน์!!! กรี๊ดดดด"
ผมอึ้งไปซักพัก แล้วรู้สึกถึงลมเย็นๆ ลอดหว่างขา
"อร๊ายยยยย พี่ไอน์!!!! ช้างโผล่ อร๊ายยยยย"
"หะ-หะ!!"
ผ-ผมตกใจจนทำขันตกผ้าหลุด พอตั้งสติได้ก็รีบหันตัวไปอีกทาง ก่อนจะรับกุลีกุจอดึงผ้ามาพัน
รอบเอว ตายแล้ว เสียงแบบนี้มัน...ไอรีนนี่นา! ทำไมไอรีนมาอยู่นี่ล่ะ!? ตอนเข้ามาผมไม่เห็น
ได้ยินเสียงใครเลยนี่
"อ-ไอรีน มาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย?"
"พี่ไอน์นั่นแหละ! มาอะไรที่นี่เนี่ย ฮือ....ไอรีนกำเดาไหล..เอ้ย! ตาไอรีนต้องเป็นกุ้งยิงแน่
เลยยย ฮือ"
"ก็นี่ห้องน้ำ.. ก็ตอนเข้ามาพี่ไม่เห็นได้ยินเสียงใคร"
"ก ก ก็..." ไอรีนอ้ำอึ้งนิดหน่อย แต่น้องก็ร้องงุ้งงิ้ง
"ช่างเถอะ! นี่มันห้องน้ำหญิงนะคะ!"
"หาาา!!!"
โอ้วคุณพระคุณเจ้า ดีนะครับที่ในห้องน้ำมีแต่ไอรีนเมทผม น้องคงเห็นผมพันผ้าขนหนูบ่อยแล้ว
เลยมีภูมิต้านทาน ต แต่ตะกี้ผม... อืม ผมช็อคซีนีม่าไปครู่ใหญ่ก็จะรีบออกมาจากห้องน้ำ แล้ว
ก็จ๊ะเอ๋กับพีและพีชที่ดูเหมือนจะได้ยินเสียงกรี๊ดของไอรีน ทั้งคู่วิ่งมาถามไอรีนด้วยน้ำเสียงแตกตื่น
"ไอรีนเป็นอะไร อ้าว..พี่ไอน์"
"ฮือออ พี่ไอน์นั่นแหละ!"
"พี่ไอน์ทำไม"
"..พี่เข้าห้องน้ำผิดน่ะ" ผมรีบตอบกันน้องๆคิดอะไรแปลกๆ
และดูเหมือนทั้งสองคนจะถึงบางอ้อ ทั้งคู่จึงนำทางผมไปห้องน้ำอีกฝั่งและนั่งเฝ้า (คอยปลอบใจ)
ผม หลังจากหายช็อคแล้วผมก็ห่อเหี่ยวแบบสุดๆ แค่วันแรกยังได้เรื่องแล้ว วันต่อไปจะได้อะไรหนอ...
เฮ้อ~ ถูสบู่ดีกว่า
*****
"เฮ้อ..."
"คุณไอน์ครับ มันผ่านไปแล้วนะ" พีชปลอบใจ
ผมเลิกถอนหายใจไปสักพักก่อนจะ...
"เฮ้อ..."
นี่มันน่าขายหน้า หน้าอายสุดๆ ไปเลย เข้าห้องน้ำผิดไม่พอ ยังจะไปโชว์..อะไรให้น้องผู้หญิงเห็นอีก
ตอนนี้ไอรีนยังไม่พูดกับผมเลยครับ อยู่ซักมุมในเต้นท์นี่แหละ ผมก็นั่งหงอยเป็นหมาเหงา ขณะที่
กำลังเฟลกับชีวิตสุดๆ แรงสะกิดเบาๆ ที่ไหล่ผมก็ดึงความสนใจ ผมเงนหน้าขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่
กระดาษที่มีเบลล์อยู่ไม่กี่ตัวจะถูกยัดเข้ามาในมือผม
'เล่นเกมไหม'
ผมถอนหายใจนิดนึง
"...เล่นอะไรดีครับ"
'โดมิโน่'
เห...โดมิโน่งั้นเหรอ? น่าสนใจแหะ ผมไม่เคยเล่นเกมอะไรกับเพื่อนๆ เท่าไหร่ด้วย ดูเหมือนพี
จะบอกพีชแล้ว พีชจึงส่งเสียงเชียร์ผม
"เล่นมั้ยครับ ผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่ด้วย มาสนุกๆ กันก่อนนอนดีมั้ย"
"...ไอรีนจะเล่นด้วย"
น้องไอรีนโพล่งขึ้นในระยะที่ใกล้ผมกว่าแต่ก่อน เลิกกลัวผมแล้วใช่มั้ย (พราก)
"ล-เล่นไงครับ พี่ไม่เคยเล่น"
"หึๆๆๆ ไอรีนสอนเอง"
น...น้องไอรีนไม่โกรธ ไม่กลัวผมแล้วสินะ ผมเริ่มยิ้มออก แล้วเราทั้งสี่ก็เริ่มนั่งล้อมวงกันเล่น
โดมิโน่ ไอรีนอธิบายให้ผมเล่นสักครู่ อ๊ะ...เจ้าตัวนี้มีหลุมๆ พอให้ผมสัมผัสได้ด้วย ผมพอจะเข้าใจ
เจ้าเกมต่อแต้ม (ไอรีนพาเรียก) นี้แล้วล่ะ
"หึๆ... แต่ในฐานะที่พี่ไอน์ทำไอรีนเกาเดาไหล เอ้ย! ทำไอรีนเสียสายตาเมื่อค่ำ พี่ไอน์ต้องโดน
ลงโทษนะคะ!"
"อ อะไรกันครับ!"
ทำไมเพิ่งจะมาลงโทษตอนจะเล่นเกมแบบนี้ล่ะ! ผมได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้ายจากไอรีน และได้ยิน
เสียงเหมือนกลั้นขำของคนแถวๆ นี้
"เอาเถอะค่ะ ไอรีนใจดี 3 ตา..ถ้าใน 3 ตาพี่ไอน์ชนะ 2 ใน 3 ไอรีนจะยกโทษค่ะ"
เห...นี่มันวัดดวงสุดๆ เลยไม่ใช่เรอะ!
"อ-เอางั้นก็ได้ครับ"
"ดีมากค่ะ...คิกๆ"
แล้วพวกเราก็เริ่มเล่นเกมโดยมีพีเป็นเจ้ามือแจกโดมิโนคนละ 5 ตัว แต่ระหว่างที่กำลังลูบๆ คลำๆ
โดมิโนในมือ พีชก็เอ่ยขึ้น
"แล้วบทลงโทษล่ะไอรีน"
"...นั่นสิคะ ไอรีนยังไม่ได้คิด"
เสียงเขียนกระดาษของแพะดังขึ้น
" 'เบ๊สาธารณะ' พีว่าเงี้ย"
"เข้าท่าแหะ"
"นั่นสิ พรุ่งนี้ท่าจะหนัก"
"ถ้ามีคนแบกของให้ก็ดี"
"คุณไอน์แก่..เป็นพี่ใหญ่สุด"
"เราก็นำทางพี่ไอน์"
"อืม.."
"อืมมม"
"..."
ไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมสักคำเลยนะครับน้องๆ แหม...
"บทลงโทษของพี่ไอน์ถ้าแพ้คือ เบ๊แบกของ นะคะ" ไอรีนว่าด้วยน้ำเสียงชัดเจน และดูเหมือนน้องๆ
อีกสองคนจะเห็นด้วย แล้วก็เริ่มเกมกันครับ
ตาแรกผมหมดโดมิโน่ในมือเป็นคนที่ 3 ชนะพีชไปอย่างฉิวเฉียด (เหงื่อตก) เหลืออีกสองตาเท่านั้น
ที่ผมไม่ต้องเป็นเบ๊แบกของ แต่พอเริ่มตาที่สอง ดูเหมือนผมจะสวดมนต์ขอพรไม่ทันแล้ว เพราะผม
หมดเป็นคนสุดท้าย!!
"คิกๆ ตาหน้าไม่ชนะ... โดนนะคะ"
"สู้ๆ ครับคุณไอน์ ฮ่าๆๆๆ"
พีชที่ชนะผมไปก่อนหน้าหัวเราะเสียงดัง อ๊ากกก...ผมนี่แทบกัดปาก ปกติไม่มีดวงอยู่แล้ว ดวงเอย
จงมานะจงมา น้องๆ สามคนก็เฮฮาปาตี้กับการต่อแต้ม แต่ผมนี่นั่งเหงื่อแตกซิก
พอเริ่มตาที่สามผมเริ่มจะดูดีครับ วนมาตาผมทีไรก็ได้ต่อ แต่เหมือนขึ้นไปจุดสูงสุดก็เริ่มดิ่งลงเหว
คุณพระคุณเจ้า ทำไมไม่มีแต้มในมือผมเลยล่ะ ไอรีนหัวเราะคิกคัก ส่วนพีที่ตอนแรกเหมือนจะ
ไม่มีแต้มให้ลงดันหมดเป็นคนแรก (ได้ไงอ่ะ!!) จนเหลือผมกับไอรีน
"พี่ไอน์~~ ตานี้ไม่ชนะได้เป็นเบ๊น้า~~"
"คุณไอน์สู้ๆ ครับ"
"..." ผมกริบครับ จนตัวสุดท้ายของไอรีนลง ผมถึงกับร้อง
"ม่ายยยยยยย"
"ฮ่าๆๆๆ จงเป็นเบ๊ให้น้องซะเถอะค่ะ ฮ่าๆๆๆ"
"โถ่...ใจครับคุณไอน์" พีชว่ากลั้วหัวเราะน้อยๆ
'ตุบๆ' พีตบไหล่ให้กำลังใจ
ผมแพ้ตาสุดท้ายจนได้ ผมหมอบให้กับความพ่ายแพ้ ส่วนน้องๆ ก็เฮฮาปาจิงโก๊ะไปตามระเบียบที่
พรุ่งนี้ไม่ต้องขนเต้นท์ ผมเฟลนิดหน่อยแต่ก็ยิ้มขำออกมา เออนะ...โดมิโนก็สนุกดี
เอาอีกซักตามั้ยล่ะ!
********************
Phee's part
อากาศเย็นสบาย บรรยากาศที่สดชื่น มันทำให้หมอนที่หนุนอยู่นุ่มนิ่มน่านอนต่อขึ้นเยอะเลย
ผมรู้สึกเหมือนมีคนพยายามเขี่ยๆผมอยู่ แต่ความง่วงมันมีมากซะจนแรงเขี่ยนั้นไม่มีผลเลย แล้วผม
ก็ค่อยๆดำดิ่งสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง...
“..ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรงก็เพราะเราทั้งหลาย ถ้ามัวหลับมัวหลง
เราก็คงมลาย เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย.. ♪~~”
ไอรีนร้องเพลงเสียงดังซะผมสะดุ้งตื่นเลย แต่ยังไงก็ง่วงอยู่ดี ผมมุดหัวซุกกับหมอน ไอรีนก็ยังคง
ร้องเพลงต่อไปโดยมีพีชเล่นกีต้าร์ประกอบ
“..ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับไหลลุ่มหลง ชาติบ้านเมืองล้มจมเพราะพี่พีตื่นสายยยย.. ♪~~” เอ๊ะ
ทำไมเนื้อเพลงมันแปลกๆ...
ในที่สุดพวกไอรีนก็สามารถขุดผมให้ตื่นขึ้นมาได้ ไอรีนเปลี่ยนเป็นร้องเพลงกินกาแฟพร้อมแก้วมาให้
แต่แทนที่จะเป็นกาแฟกลับเป็นแก้วน้ำพร้อมแปรงสีฟันซะงั้น
พวกเรานั่งเล่นกันอยู่บริเวณเต้นท์ รอดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน แต่วันนี้หมอกค่อนข้างหนา กว่าเราจะเห็น
พระอาทิตย์ก็เริ่มลอยสูงแล้ว อดเห็นตอนขึ้นเลย
จากนั้นเราก็มาช่วยกันทำอาหารกินกัน แล้วผลัดกันไปอาบน้ำ จากเหตุการณ์เมื่อวานทำให้พวกเรา
เข็ดหลาบ เลยส่งพี่ไอน์ไปอาบก่อนเลย โดยมีพีชคอยคุมอยู่ไม่ห่าง
เนื่องจากค่ายครั้งนี้ค่อนข้างอิสระ ไม่ได้มีกิจกรรมตายตัวตลอดเวลา พอว่างๆพวกเราก็ไปวิ่งเล่นกับ
คนอื่นๆกัน ไปเล่นวิ่งไล่จับกันบ้าง เล่นซ่อนแอบกันบ้าง
ผมก็ไปเล่นหลายอย่างเลยล่ะ พอแพ้โดนคัดออกก็มานั่งถ่ายรูปอยู่ด้านนอกแทน พี่ไอน์ก็มานั่งงอแง
งุ้งงิ้งอยู่ข้างๆผมว่าไปเล่นกับชาวบ้านไม่ได้ตั้งหลายเกม แต่พอผมชวนเล่นโดมิโน่พี่ไอน์ก็ทำน่าสยอง
บ่นว่าเมื่อคืนแพ้มามากพอแล้ว แล้วทำหน้าปลงเหมือนกำลังนึกถึงตำแหน่งเบ๊สาธารณะที่เป็นบทลงโทษ
จากเมื่อคืนอยู่
พอถึงช่วงเที่ยง ความบ้าพลังของเด็กๆอย่างเราก็ยังไม่หมดง่ายๆ แทนที่จะใช้ของต่างๆจากที่ทางส่วน
กลางของโรงเรียนเตรียมให้ พวกเราวางแผนจะไปหาวัตถุดิบทำอาหารกันเองฮะ แน่นอนว่าท่านประธาน
หัวหน้าหมู่(เบ๊สาธารณะ)ย่อมโดนงานแบกหามหนักๆไป พี่ไอน์รับหน้าที่ไปลุยป่าหาฟืนและหาวัตถุดิบ
พวกพืชผักผลไม้ แต่ครั้นจะให้คนตาบอดไปคนเดียวก็คงไปแล้วไปลับไม่กลับมาแน่นอน น้องๆชาวม.2
ที่แสนน่ารักเลยส่งสายตาวิ้งวับมาทางผมแล้วบอกให้กับพี่ไอน์ด้วยนะ นั่น..ผมโดนซวยเข้าจนได้ ส่วน
พีชกับไอรีนบอกจะไปนั่งตกปลากันชิลๆ แล้วก็คว้าเบ็ดเดินลั้ลลาไปทางลำธารกัน
ผมกับพี่ไอน์เดินเข้าป่าไปตามทางเล็กๆที่มีอยู่ เนื่องจากพี่ไอน์มองไม่เห็น ผมเลยเป็นคนนำทางไปและ
หาวัตถุดิบไป ส่วนพี่ไอน์ก็คอยแบกของที่เก็บได้มาตามทางใส่ตะกร้าสะพายหลัง เราผูกเชือกโยงกันไว้
จะได้ไม่หลงกัน เพราะคนหนึ่งก็ตาบอด ส่วนอีกคนก็เป็นใบ้ จับสองคนนี้มาลุยป่ากันนี่เป็นอะไรที่หรรษา
สุดแล้วล่ะฮะ
ผมเองก็ไม่ค่อยรู้หรอกว่าอะไรกินได้กินไม่ได้ เห็นอะไรเป็นลูกเป็นผลก็เด็ดเก็บมาหมดเลย ไว้ค่อยไป
ถามคนอื่นๆอีกทีแล้วกัน
แล้วผมก็เจอดงเห็ดหน้าตาน่ารักน่ากินอยู่กลางกลุ่มต้นไม้รกนอกทาง มันอยู่ไม่ไกลแต่ก็ไม่ใกล้ทาง
เดินเท่าไหร่
‘ผมไปเก็บเห็ดตรงโน้นดีมั้ย มันอยู่นอกทางน่ะฮะ’ ผมจิ้มเบลล์ถามพี่ไอน์เพื่อถามความเห็นท่านผู้นำกลุ่ม
“อืม.. มันไกลมากมั้ยครับ ผมว่าเราอย่าออกนอกทางดีกว่ามั้ย”
‘ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลมากเท่าไหร่ฮะ’ ผมตอบไป ‘มันเป็นดงเห็ดน่าหม่ำมากเลยนะฮะ’
พี่ไอน์ทำหน้าเหมือนอยากพูดว่า อยากกินเห็ดก็บอกเหอะ.. แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เราสองคนเลยเดิน
ลุยออกไปนอกทางกันฮะ
ผมจำได้ว่าตอนไปเดินทางไกลกับพี่จิณณ์พี่แม็กเมื่อคราวก่อน ผมก็เจอเห็ดเหมือนกัน แต่อดกินเพราะ
พี่เขาบอกว่าเห็ดนั่นมีพิษกินไม่ได้ ตอนนั้นเห็ดมันเป็นสีเหลืองๆเหี่ยวๆผอมๆ แต่คราวนี้เป็นสีแดงสดมี
ลายจุดเหลืองๆอย่างกับเห็ดมาริโอแหนะ ถ้ามาริโอกินแล้วยังโตได้งั้นมันคงไม่น่ามีพิษ ว่าแล้วผมก็
เก็บมาสัก5-6ดอก แล้วเก็บเห็ดอื่นๆแถวๆนั้นมาอีกจำนวนหนึ่ง
พอจะกลับทางเดิมผมก็เริ่มงงทิศ ครั้นจะมองพระอาทิตย์หาทิศทาง เงยหน้าขึ้นไปก็เจอแต่ใบไม้คลุม
มิดเลย โชคดีที่พี่ไอน์เขาตาบอดเลยค่อนข้างแม่นเรื่องทิศพอสมควร เขาเลยนำทางไปได้
กร๊อบ! พรืดดด!!
พี่ไอน์เหยียบพลาดฮะ มันเป็นทางชันด้วยเขาเลยลื่นไถลกลิ้งไป แล้วเชือกที่ผูกมัดเราไว้ด้วยกันก็ลาก
เอาผมกลิ้งตามไปด้วย
เรากลิ้ง กลิ้ง กลิ้ง แล้วก็กลิ้ง ฝ่าดงไม้ใบหญ้า โดนเกี่ยวโดนข่วนสะบักสะบอมไปหมดทั้งตัว กว่าจะหยุด
กลิ้งได้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของป่าแล้ว มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นทางเดินหลักเลย มีแต่หญ้ากับต้นไม้เต็ม
ไปหมด แล้วเราก็ได้รู้ซึ้งถึงความจริงที่ว่า..
เราหลงทางแล้ว!!!
*****
“คุณไอรีนครับ ผมว่าเราพอแค่นี้แล้วกลับไปเต้นท์กันดีมั้ยครับ”
นี่ก็บ่ายสองโมงกว่า เลยเวลาที่นัดกันไว้กับคนอื่นๆ ในกลุ่มมาสักพักแล้ว ไอรีนยังคงสนุกสนานกับการ
ตกปลาอยู่ พีชมองปลาที่ใกล้จะเต็มถังด้วยความประทับใจ
เห็นอย่างนี้นี่ตกปลาเก่งเหลือเชื่อเลยแฮะ
“เอ๋ ขออีกตัวไม่ได้หรอ”
“แค่นี้ก็เอาไปเลี้ยงคนทั้งค่ายได้แล้วล่ะ อีกอย่างนี่ก็เลยเวลาที่นัดกันไว้กับพวกพี่ๆ มาพอสมควรแล้ว
นะครับ”
ไอรีนอิดออดนิดหน่อย นานๆทีจะได้ออกมาทำอะไรแบบนี้ เธอเลยสนุกจนลืมเวลาไปเลย แล้วปลา
ก็กินเบ็ดพอดี เธอเลยได้อีกตัวเพิ่มมาสมใจ จากนั้นทั้งสองก็กลับเต้นท์กันไป
ทว่าพอมาถึงเต้นท์กลับว่างเปล่า ดูท่าจะยังไม่กลับมากัน ทั้งสองเลยคอยกันอีกพักใหญ่แต่ก็ยังไม่มี
วี่แววของทั้งไอน์และพีเลย อาหารก็เริ่มทำไม่ได้ เพราะต้องคอยพวกฟืนกับวัตถุดิบอื่นๆจากพวกพี่ๆ
ที่ยังไม่กลับมากัน
“นี่ทำไมยังไม่กลับมากันอีกนะ ไอรีนนั่งรอจนจะกินปลาเป็นๆได้แล้วนะ” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เอา
เข้าจริงตอนนี้เธอเริ่มไม่อยากกินปลาแล้วมากกว่า เพราะระหว่างรอเบื่อๆไม่มีอะไรทำ ไอรีนก็เริ่มหัน
มาคุยกับน้องปลาทั้งหลายแล้วเริ่มตั้งชื่อให้พวกมันแล้วด้วยซ้ำ “หรือว่าจะหลงป่าหรือเกิดอุบัติเหตุ
อะไรหรือเปล่านะ”
“อืม... นั่นสินะ... แต่ทางเดินในเขตป่าที่เขากันไว้ให้มันก็ไม่ซับซ้อนเท่าไหร่นะ คนปกติเดินกันก็
ไม่น่าจะหลงได้ง่ายๆ หรอกครับ...” พีชวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผล แล้วเขาก็นึกถึงหน้ารูมเมทตัวเอง
ขึ้นมา “...ผมว่าก็อาจจะหลงป่ากันจริงๆ นั่นแหละครับ”
“ถ..ถ้าอย่างนั้นจะทำยังไงดีกันล่ะ งั้นเดี๋ยวไอรีนจะลองไปตามหาดูแล้วกัน”
ว่าแล้วไอรีนก็บอกลาน้องปลาทุกตัว แล้วลุกพรวดออกไป
“ไปคนเดียวมันอันตราย เดี๋ยวผมไปด้วยดีกว่าครับ”
ทั้งสองจึงออกไปตามทางที่พวกไอน์และพีไปกัน เดินอยู่ได้สักพัก พีชก็หยุดสังเกตุ
“ตรงนี้มีร่องรอยเหมือนมีคนลุยป่าเข้าไปเลยนะครับ” พีชชี้ให้ไอรีนดูแนวดงหญ้าที่หักล้มเป็นทาง
ราบคล้ายถถูกเหยียบและถางไป มีรอยเท้าบนดินแฉะๆและรูรีๆเป็นลักษณะที่มีแท่งทรงกระบอก
เรียวจิ้มลงไป “รอยนี่น่าจะเป็นไม้เท้าของพี่ไอน์นะครับ”
“ว้าว คุณพีชเก่งจังเลย เหมือนพวกโคนันไม่ก็คินดะอิจิเลยล่ะ”
พีชหัวเราะ เขาว่าเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้มา แล้วก็บอกว่าขออย่าเป็นตัวซวยแบบ
โคนันจะดีกว่า
“..ดูเหมือนจะมีคนลื่นไถลไปตรงนี้แฮะ”
ทั้งสองมองร่อยรอยเละเทะที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ไอ้เป็นห่วงก็ห่วงอยู่หรอก แต่
ถ้าพวกเขาลุยเข้าดงตามต่อไปก็จะเสี่ยงเกินไป เพราะร่อยรอยอะไรต่างๆก็เหลือไม่เยอะ แถม
ยังเป็นเด็กกันทั้งคู่ ไม่ได้ชำนาญป่าอะไร เผลอๆจะพากันหลงป่าไปอีกสองคนด้วยซ้ำ
..........
ที่นี่ที่ไหน... ทั้งตัวนี่สะบักสะบอมเละเทะหมดเลย มีรอยช้ำรอยข่วนอยู่ทั่วตัว
พี่ไอน์ทำหน้ารู้สึกผิดที่ล้มลากพวกเรากลิ้งมา ผมเลยตบบ่าปลอบใจไป
"..พี..........ตรงนั้นช้ำอยู่..พี่เจ็บ...." ข..ขอโทษนะฮะ
พี่ไอน์พยายามหันซ้ายหันขวาหาทิศทาง แต่ก็จับทิศทางอะไรไม่ได้ เพราะกลิ้งมาหมุนติ้วเกิน
เรานั่งแช่อยู่ตรงนั้นกันระยะหนึ่ง คอยให้ร่างกายระบมน้อยลงก่อน พอกะจะลองไต่ขึ้นไปตามทาง
เดิมก็พบว่ามันชันเกินไป แถมพี่ไอน์ก็ตาบอดปีนขึ้นไม่ไหว พวกเราเลยนั่งคอยคนอื่นมาเจอ เพราะ
ถ้าลองเดินต่อไปก็อาจจะหลงหนักกว่าเดิม
นั่งอยู่ได้สักพักใหญ่ พี่ไอน์ก็บอกว่าได้ยินเสียงคนเลยตะโกนร้องเรียกให้ช่วย ไม่นานนักความ
ช่วยเหลือก็มาถึง...กลิ้งมาอย่างไวพร้อมเสียงกรี๊ดแว่วมาแต่ไกลเลย
ความช่วยเหลือกลิ้งลงมาใส่พี่ไอน์อย่างจังเลย
"น..ในที่สุดก็เจอพวกคุณจนได้ หายไปซะนานเลยนะครับ" พอมาถึงก็ส่งเสียงทักทายด้วยความ
เป็นห่วง ไอ้ก้อนกลิ้งได้นั่นคือพีชนั่นเอง แล้วจะกลิ้งลงมาทำไมมม ลองห่วงตัวเองก่อนมั้ยยยย
"พอดีผมลื่นลงมาน่ะครับ" พีชตอบเหมือนอ่านสีหน้าผมออก
"ดีครับ.. แล้วทีนี้เราจะขึ้นไปยังไงดี" พี่ไอน์นิ่งฟังความช่วยเหลือที่แปรสภาพเป็นผู้ร่วมชะตาเดียวกัน
ด้วยสีหน้าสิ้นหวัง แล้วพีชก็หยิบไอเทมพิเศษขึ้นมา
"ทาด้าาา เชือกกู้ภัย~" แนะนำเหมือนของวิเศษของโดเรมอนเลย เขาค่อยๆไต่ขึ้นไปได้ระยะ
พอสมควร ผูกเชือกกับต้นไม้แถวนั้นแล้วโยกลงมา ให้ผมกับพี่ไอน์ที่น่วมไปทั้งตัวแล้วปีนขึ้นไป
ได้ง่ายขึ้น โดยคอยพูดช่วยบอกพี่ไอน์ว่าควรเหยียบควรจับอะไรตรงไหน
เราทำแบบนี้ค่อยๆ ปีนขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็กลับมาสู่ทางเดินหลักจนได้ เจอกับไอรีนที่คอยลุ้น
อย่างห่วงๆอยู่ว่าคนอื่นๆจะรอดกลับมามั้ย พอเห็นพวกเราเธอก็ทำหน้าดีใจใหญ่
"ตอนแรกว่าจะไปบอกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้มาช่วย แต่คุณพีชดันลื่นตกลงไประหว่างทำสืบสวนแบบ
โคนันอยู่" ไอรีนแฉทันทีที่พวกเราขึ้นมาได้สำเร็จ "เนี่ย ปากก็บอกว่าช่วยไม่ไหวหรอ แต่ตัวเองก็
ลงไปหา ทำเอาไอรีนใจหายใจคว่ำหมดเลย"
จากนั้นเราก็พากันกลับเต้นท์ไปทำอาหารกินกัน ระหว่างทำนี่ท้องร้องโครกครากกันทุกคนเลย
ผมให้พีชช่วยเลือกของที่เก็บมาได้ว่าอันไหนกินได้กินไม่ได้บ้าง โชคดีที่ถึงจะหล่นหายไป
ระหว่างกลิ้งกันอยู่พอสมควร แต่น้องเห็ดก็ยังเหลืออยู่
พอพีชเห็นของที่เก็บมาได้ก็ทำหน้านิ่งใส่ "นี่จะฆาตกรรมหมู่กันหรอครับ.." แล้วเขาก็ค่อยๆ
เลือกอย่างพิถีพิถัน
"กินแล้วท้องเสีย...กินแล้วประสาทหลอน...กินแล้วอัมพาต...กินแล้วตาย...มีพิษ...มีพิษ...
มีพิษ...มีพิษ...มีพิษ...มีพิษ...มีพิษๆๆๆๆๆๆ"
สุดท้ายเหลืออยู่ไม่กี่อย่างที่กินได้...ผมล่ะเสียใจจริงๆ
เรารีบทำอาหารกันอย่างสุดฝีมือ โดยพี่ไอน์ไปขอสูตรอาหารที่ "รวดเร็วและอร่อย" จากพี่จิณณ์
และด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพท้องไส้ของเพื่อนและน้องๆ พี่เขาเลยมายืนกำกับแนะนำ
ให้ด้วย มื้อนี้เลยรสชาติ....กินได้ท้องไม่เสียฮะ
พอกินกันอิ่มแปร้แล้ว ความเจ็บปวดระบบก็เริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเราสามคน ไอน์ พี พีช
จึงถูกจับโยนไปให้ครูลินคอยดูแลไปตามระเบียบฮะ รักษาตัวเสร็จออกมาร่อนได้ก็ถึงช่วงรอบ
กองไฟพอดีเลย
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Thu 16 Jul - 10:37:14
ผมเป็นตัวแทนกลุ่มที่ 1 มาส่งงานครับ [Part 2 End]
B. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เกือบเพอร์เฟ็ค สร้างความน่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- Spoiler:
Peace's part
รอบกองไฟ งั้นเหรอ....
ทุกครั้งที่ผมได้ยิน ก็คงเป็นการมาปิกนิคขำๆ กับครอบครัวในป่าเขากันซะมากกว่า
แต่...สำหรับประเทศไทย มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดน่ะสิ...
" ไง! เด็กๆ ที่รักทุกคนครับ ตอนนี้ก็ถึงเวลาเล่นรอบกองไฟในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะ
กลับกันไปยังบ้านพักอันแสนอบอุ่นที่โรงเรียนควิ้นของเรากัน โดยวันนี้ ผมก็คิดกิจกรรมให้เด็กๆ
และก็เหล่าคุณครูได้ร่วมสนุกกันครับ "
ทุกคนต่างก็ส่งเสียงตื่นเต้นกับกิจกรรมเล่นรอบกองไฟที่ผอ. คิดขึ้นมา
" สำหรับกิจกรรมแรกเป็น ไม้วัดดวง โดยผมจะทำการแจกไม้ให้ตามจำนวนสมาชิกในกลุ่ม
โดยไม้ที่แจกไป จะมี 1 ไม้ ที่จะมีรอยป้ายสีขาวไว้ ส่วนที่ใครได้ไม้ที่ว่า ก็รอลุ้นกันนะครับ
ว่าจะเจออะไร.....ฮุฮุ "
กลุ่มผม และกลุ่มอื่น ต่างก็ส่งตัวแทนออกไปหยิบกระปุกพลาสติกทรงกระบอก ที่มีฝาปิด
ไว้พร้อมทั้งเจาะรูเล็กๆ ที่พอใส่ไม้เข้าได้ประมาณ 4 แท่ง
คุณไอรีน ที่เป็นตัวแทนออกไปหยิบมาให้ ก็มากลับนั่งที่ พร้อมทำหน้าเหมือนรู้สึกตื่นเต้น
หน่อยๆ อาจจะเพราะวันนี้ พวกเราหลงป่ากันด้วย เลยทำให้ยังมีอารมณ์กังวลเล็กน้อยค้าง
ไว้อยู่
" เอ้าๆ อย่าพึ่งตื่นเต้นกัน เดี๋ยวผมจะให้ทุกคนจับไม้กันไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะนับ 1 2 3
แล้วให้ทุกคนหยิบออกมาพร้อมกันนะครับ "
คุณพี ช่วยคุณไอน์หาตำแหน่งไม้ให้ และบรรยากาศในตอนนั้น มันเงียบมาก เพราะทุกคน
ต่างก็รอสัญญาณจากผอ.
" 1.....2......3!!!!"
ทุกคนต่างก็หยิบไม้ออกมา ผมก็มองตรงไม้ของตัวเอง ว่ามีสัญลักษณ์อะไรไหม...และมัน
ก็มีจริงๆ ด้วย //กุมขมับ
" อ่ะ! พีชได้ไม้ที่ว่าสินะ " ไอรีนรู้ได้ทันที เพราะว่าสีหน้าของผมมันแสดงออกมาอย่างชัดเจน
ว่า ได้ไม้นั่นมา
ส่วนพี ก็นั่งขำนิดๆ ที่เห็นผมทำหน้าอย่างนั้น
" อืม...พีชได้ไม้มีรอยสิ...นะ" คุณไอน์ก็พูดออกมาพร้อมทั้งเสียงสั่นนิดๆ บางทีคุณไอน์อาจจะ
กังวลว่า จะโดนผอ.แกล้งอะไรสินะ.....
" ใครที่ได้ไม้สีขาว ออกมายืนตรงนี้ด้วยครับ "
ผมก็ลุกขึ้น พร้อมทั้งกลุ่มอื่นก็มี คุณภูมิ คุณธานินท์ และก็คุณจิณณ์ ออกมายืนเรียงกันอย่างกับ
แก๊งบอยแบนด์กันเลยล่ะครับ
" มีพีช ภูมิ ธานินท์ และก็จิณณ์ สินะ....." ผอ.พูดพึมพำเบาๆ
" โอเค พวกเราก็ได้เหล่าเด็กที่ถูกเลือกออกมากันแล้ว เอาล่ะ สำหรับกิจกรรมแรกของการเล่น
รอบกองไฟก็คือ....คือ....คือ..."
ทุกคนต่างตื่นเต้นกันยกใหญ่ น่าดูเลยแฮะ
" ให้เต้นตามเพลงที่พวกเรากำหนดไว้นั่นเอง...เอง.....เอง... " (มีเสียงสะท้อนเล็กน้อย)
ทุกคนที่ออกมายืนต่างก็หน้าซีดกันหมด
" สำหรับเพลงแรกก็คือ...เพลง แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม นั่นเอง "
ผมที่ได้ยินชื่อเพลงครั้งแรก ก็อดจะทำหน้าแบบ what the f-ck ไม่ได้ เพราะเกิดมาก็พึ่งได้ยิน
ชื่อเพลงอะไรแบบนี้....คนไทย นี่มีความคิดสร้างสรรค์ที่สูงจริงๆ สินะ?
" ผมรู้ว่า ทุกคนที่ยืนตรงนี้ อาจจะเคยเต้น หรือไม่เคยเต้นเพลงนี้ก็ตาม แต่ไม่เป็นไร วันนี้ เรามี
เทรนเนอร์ที่จะมาสอนพวกเธอให้เต้นเป็นได้อย่างรวดเร็วภายใน 10 นาทีได้เลย "
" ผมขอเรียนเชิญคุณหมอเกลิน มาเป็นเทรนเนอร์ให้กับเหล่าลูกศิษย์ที่รักด้วยครับ เอ้า! ทุกคน
ปรบมือให้กำลังใจคุณหมอเกลินหน่อยเร็ว "
" เอ๋!!!!? " คุณเกลินอุทานออกมาด้วยสีหน้าตกใจแบบไม่ทันตั้งตัว
เสียงปรบมือของเด็กๆ ที่ดังสนั่นหวั่นไหว ท่ามกลางป่าเขา ก็ทำให้คุณเกลินยอมใจอ่อน ออกมา
เป็นเทรนเนอร์ให้
" โอเค พวกเราก็ได้เทรนเนอร์แล้ว เดี๋ยวผมจะร้องนำให้ฟังสัก 2 - 3 รอบ พร้อมทั้งให้คุณหมอ
ทำท่าเต้นให้ดูไปด้วย "
ท่าเตรียมจะเป็นท่ายืนตรงพร้อมทั้งมือเท้าสะเอว และแยกขามาเล็กน้อยพออยู่ตัว ทุกท่าจะใช้เอว
เป็นส่วนที่เคลื่อนไหวเพียงอย่างเดียว โดย แอปเปิ้ล ขยับไปด้านหน้า, มะละกอ ขยับไปด้านซ้าย,
กล้วย ขยับไปด้านขวา, ส้ม ขยับไปด้านหลัง
ผอ.ก็ให้พวกเราลองซ้อม 2 - 3 รอบ แล้วรอบเอาจริง จะให้ทำตามนี้แต่แค่เพิ่มความเร็วเข้าไป
" ดีมากเลยครับ เด็กๆ เดี๋ยวผมจะให้คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ได้แก่ คุณเอลีท คุณเนฟ และ
คุณหมอเกลิน มาให้ความเห็นกัน ขอเรียนเชิญด้วยครับ "
" เอ่อ.....ถึงเวลาเต้นจะดูทื่อๆ แต่ก็ดูน่ารักดีนะคะ " คุณเนฟกล่าว
" มันเป็นการเต้นที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณมากๆ เลยครับ " คุณเอลีทกล่าว
" เอ่....ทุกคนก็ดูพยายามกันดีค่ะ " คุณเกลินกล่าว
" งั้น เราจะให้คณะกรรมการทั้ง 3 ท่าน ตัดสินโหวตผ่านกันครับ "
" ผ่านค่ะ/ผ่านครับ/ให้ผ่านเลยค่ะ "
" แก๊งบอยแบนด์ผ่านเข้ารอบ!!! เดี๋ยวเด็กๆ กลับไปประจำตำแหน่งที่นั่งของตัวเองด้วยครับ "
พวกผมก็กลับไปนั่งที่ พร้อมทั้งคุณพี โชว์กระดาษขึ้นมา
(ท่าเต้นคุณพีช ดูดีมากเลยฮะ)
" ขอบใจมาก พี " ผมบ่นเสียงเบาๆ
" ต่อไปก็เข้าสู่ช่วงที่ 2 ของกิจกรรมเล่นรอบกองไฟ คราวนี้เราจะไม่ใช้การสุ่มดวง แต่จะเอาคนที่
....ที่...ที่อายุมากที่สุดในกลุ่มออกครับ "
" เอ๋!!!? " คุณไอน์อุทานออกมาด้วยความกังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ที่กลัวว่า ผอ.จะแกล้งอะไรเขา
รึเปล่า
" พี่ไอน์ เดี๋ยวไอรีนนำทางให้นะคะ " ไอรีนเดินจูงคุณไอน์ออกมา
โดยคราวนี้ มีคุณไอน์, คุณแม็กเวล, คุณอนันดา และคุณเซ่ (ซู่เซี่ย)
" อ้าว! ประธานฯ ก็โดนด้วยสินะ ฮ่าๆๆๆๆ " คุณแม็กเวลทักกับคุณไอน์
" ก็...ทำไงได้ล่ะ โดนเรียกนี่น่า... " คุณไอน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกังวลนิดๆ
" เอาน่าๆ ประธานฯ ผ่อนคลายเข้าไหวน่าาาาา "
" ยินดีที่ต้อนรับเหล่าผู้ถูกที่เลือก(จากอายุ) สู่กิจกรรมที่ 2 ของเล่นรอบกองไฟ คราวนี้ เราจะมาเล่น
....ภาษากายกัน!!! "
" โดยกติกาการเล่นก็ง่ายๆ เลย เราจะให้ผู้เล่นคนแรกทำการจดจำรูปภาพที่เรากำหนดไว้ แล้วให้ทำการ
วาดภาพด้วยนิ้วมือ บนแผ่นหลังของผู้เล่นถัดไปเรื่อยๆ จนครบคนสุดท้าย แล้วให้คนสุดท้ายเดาว่า มัน
คือภาพอะไรนั่นเอง!!! และการเล่นครั้งนี้ห้ามใช้เสียงการบอกใบ้เด็ดขาด มิฉะนั้นถือว่า ไม่ผ่าน "
" แต่ว่า เฉพาะคนแรกเท่านั้น ที่ไม่ต้องหลับตา ส่วนคนที่เหลือรอให้ผมบอกว่า ลืมตาได้ ก็ค่อยลืมตา "
" เดี๋ยวเราจะทำการจัดตำแหน่งให้เหมาะสมกับลักษณะของแต่ละคนกันก่อน "
โดยคนแรกเป็น คุณเซ่ คนถัดมาก็เป็น คุณแม็กเวล ต่อมาก็ คุณไอน์ และคนสุดท้ายก็ คุณอนันดา
" เอาล่ะ ทุกคนที่ยืนตรงนี้หลับตา เดี๋ยวผมให้คุณเอลีท เอาภาพปริศนามาให้คนแรกจดจำก่อน "
.
.
.
" โอเค พร้อมแล้วก็เริ่มได้!!! "
คุณเซ่ ก็เริ่มวาดบนหลังคุณแม็กเวล แต่คุณแม็กเวลก็ยืนขำตลอดเวลา อาจจะเพราะรู้สึกสนุกก็เป็นได้
" หมดเวลาใบ้ คนต่อไปเริ่มได้ "
ต่อมา คุณแม็กเวลก็เริ่มวาดบนแผ่นหลังคุณไอน์
( อืม...มันเหมือนจะมีจงอย 3 อัน หันปลายขึ้นไปด้านบนเหรอ? ต่อมาก็เป็น...วงกลม? ไม่สิ มันออก
จะวงรีสักหน่อย อืม....มีลายเป็นลายตารางสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเหรอ?)
( มันเป็นของใช้? หรือของกินอย่างพวกสเต็ก ไม่ก็ผลไม้เหรอ? ตกลงมันคืออะไรเนี่ย!!? )
" หมดเวลาใบ้ คนต่อไปเริ่มได้ครับ "
( คนที่อยู่ข้างหน้าอนันดาสินะ...อนันดา...ผมเชื่อในตัวคุณนะครับ )
คุณไอน์ก็ทำการวาดภาพที่รับรู้มาจากแผ่นหลังตัวเอง
" หมดเวลาใบ้ครับ ทุกคนลืมตาได้ หันหน้าหาเพื่อนๆ ครับ "
" เดี๋ยวเราจะทำการสัมภาษณ์ผู้ที่ชี้ชะตาของการแข่งรอบนี้ครับ "
" คุณอนันดาครับ รู้สึกอย่างไรบ้างครับ กับภาพวาดปริศนาที่เราจะเตรียมมาครับ "
" เอ่...ก็น่าจะพอเดาได้อ่ะครับ ว่ามันคืออะไร "
" ว้าว! ผู้กล้าของเรา มั่นใจว่า ภาพวาดปริศนาครั้งนี้ จะเดาได้ครับ ท่านผู้ชม!!! "
" งั้นขอรบกวนคุณเอลีท หยิบแผ่นไวท์บอร์ด กับปากกามาให้ผู้กล้าของเราหน่อยครับ "
คุณอนันดา วาดภาพปริศนา ที่เขารับรู้ได้จากร่างกายออกมา มันดูเหมือนสัปปะรด
" แล้วตกลงมันคืออะไรครับ? "
" มันคือสัปปะรดครับ "
" แน่ใจนะครับ ว่าเป็นคำตอบสุดท้าย "
" ครับ!!! "
" ....ถูกต้องนะคร้าบบบบ!!! "
" เย้! "
( เฮ้อ...โล่งอกไปที ) คุณไอน์ถอดหายใจออกมาเมื่อรู้ว่า ชะตาของเขารอดพ้นแล้ว
" เดี๋ยวเด็กๆ กลับไปประจำที่ตัวเองด้วยครับ "
คุณไอน์ก็เดินกลับมาโดยมีไอรีนจูงมือมา
" เป็นไงบ้างคะ พี่ไอน์สนุกไหม? "
" กะ..ก็สนุกดีครับ ลุ้นแทบแย่แน่ะ "
" คุณพีเขียนว่า ก็ดีแล้วฮะที่สนุก น่ะค่ะ "
" ขอบคุณครับพี "
.
.
.
" เนื่องด้วยที่ เวลาก็ผ่านมาเยอะพอสมควร เราจะทำการปิดกิจกรรมเล่นรอบกองไฟกันครับ เพื่อ
ให้ทุกคนได้มีเวลาว่างไปจัดเตรียมของ เตรียมกลับวันพรุ่งนี้กันครับ "
" เดี๋ยวให้ทุกคนมายืนเรียงตามกลุ่มตัวเองล้อมรอบกองไฟกัน โดยเราจะทำการร้องเพลงปิดพิธี
รอบกองไฟ พร้อมทั้งจับมือกันไปด้วยครับ "
" เดี๋ยวเราจะมาร้องเพลงสามัคคีชุมนุมกัน ใครที่ร้องไม่ได้ ก็จับมือเฉยๆ ส่วนใครร้องได้ก็ช่วยกัน
ร้องครับ "
" เดี๋ยวผมจะทำการขึ้นนำให้นะครับ "
'พวกเราเหล่ามาชุมนุม....'
บรรยากาศในตอนนั้น ผมได้ฟังเนื้อหาของเพลงนี้ ทำเอานึกถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่พวกเราฝ่าฝันกัน
มาตั้งแต่ วันแรกของการเยือนที่นี่ จนถึงตอนนี้ มันเอาผมรู้สึกตื้นตันใจไม่รู้แฮะ มันเหมือนกับว่า
เราผูกพันธ์กับเพื่อนๆ ในกลุ่มล่ะมั้ง? ที่พวกเราต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ผมมีความสุขมาก
ที่ได้มีเพื่อนดีๆ ในโรงเรียนที่มีคนเป็นเหมือนเรา เข้าใจเหมือนเราครับ และได้ร่วมสนุกเฮฮากับ
กลุ่มเพื่อนไปด้วยกัน
นี่สินะ รอบกองไฟในแบบฉบับของไทย ที่มีความสนุก เฮฮา สามัคคีกัน และมีมิตรภาพไปด้วยกัน
จะบอกว่า มันคล้ายรอบกองไฟแบบปกติก็ได้ แต่เพียงแค่มีมันเรื่องราวในระหว่างการเข้าค่ายนั่นเอง
ไม่ใช่มาแค่พักผ่อนเฉยๆ
.
.
.
" แฮ่ม! ผมในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน รู้สึกตื้นตันเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นเหล่าเด็กๆ มีความสุข
มีรอยยิ้ม ไปกับการเข้าค่ายครั้งนี้ ถึงแม้ว่า จะมีปัญหาบ้าง ทั้งเรื่องเล็กน้อยและเรื่องใหญ่ แต่ว่า
เด็กๆ ก็สามารถฝ่าฟันเหล่าปัญหานั้นได้ "
" ผมขอขอบคุณเหล่าคณาจารย์ และคุณครูที่คอยช่วยเหลือเด็กๆ อย่างเต็มที และก็ขอขอบคุณ
เด็กๆ ที่สนุกไปกับการเข้าค่ายครั้งนี้ "
" ผอ ผอ.นรินทร์ ขอทำการปิดพิธีรอบกองไฟในการเข้าค่ายปิดเทอมของโรงเรียนควิ้นประจำปี
2558 ณ บัดนี้ ครับ!!! "
เสียงปรบมือของนักเรียน และคณาจารย์ คุณครู แด่ผอ. นรินทร์ ที่ทำการปิดพิธี
" เอ้อ! เด็กๆ อย่านอนดึกกันนะคร้าบบบ "
" คร้าบบบบบบ/ค่าาาาา!!!! "
หลังจากนั้น พวกเราก็กลับเข้าไปในเต๊นท์ เพื่อจัดเก็บของเตรียมกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ และก็นอน
หลับกันสนิททุกคน เพราะเนื่องจากวันนี้ มีการผจญภัยที่หนักหน่วงเอามากๆ สำหรับพวกเรา เลย
ไม่มีแรงในการเล่นอะไรแผลงๆ ตอนกลางคืนครับ
********************
Irene's part
เฮ้อ....ในที่สุดก็วันสุดท้ายของการเข้าค่ายสินะคะ บรรยากาศดีสุดๆเลยล่ะ แถมมีวิวที่น่าถ่ายรูป
เยอะมากกกก แย่จังเลย...ทำไมเวลาที่มีความสุขมันผ่านไปไวอย่างนี้นะ
ฮือออ.... ตอนนี้ก็มานั่งจัดของและรำลึกถึงประสบการณ์เข้าค่ายที่แสนจะประทับใจ และตื่นเต้น
อย่างเช่นห้องน้ำ ห้องน้ำก็สะอาดแล้วสะดวกสบายมาก แต่พอลำลึกถึงเหตุการณ์ที่พี่ไอน์เข้าห้องน้ำ
ผิดแล้วรู้สึกอายชะมัดเลย ดีนะที่พี่ไอน์ไม่เห็น ไม่งั้นได้เห็นวันแพ็คฉันแน่ๆเลย ช่วงนี้น้ำหนักขึ้นซะด้วย
พุงออกมากเลยแงๆๆT^T(ไม่ใช่ละ) แต่...จำได้ว่าเห็นอะไรสักอย่าง แต่มันเลือนรางมาก แต่คง
ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกมั้ง let it go.
ทำไมของมันเยอะอย่างนี้น้า เก็บไม่ไหวไม่หวั่นแล้วววว หิวก็หิว=…= ข้าวเช้าก็ยังไม่ทาน ฟันก็
ไม่ได้แปรง หน้าก็ไม่ได้ล้าง น้ำก็ยังไม่แตะ เน่าสุดๆเลย แงงงง..... หลังจากที่ฉันฟัดกับกระเป๋า
อยู่นาน เลียงพี่ไอน์ก็ดังขึ้น…
“ไอรีน ทานข้าวได้แล้ว พี่หิวแล้วนะครับ”พี่ไอน์พูดอย่างหิวโหย พร้อมจะขย่ำเนื้อได้ทุกเมื่อ(อันนี้
น่ากลัวเกินไป)
“ค่า รอแปบนึงนะค้า”แล้วฉันก็รีบเก็บแล้วยัดๆใส่กระเป๋าจนซิปแทบปริ ฮือ...หวังว่าคงจะไม่ลืม
อะไรหรอกนะ
“ครับ ระวังสะดุดล้มนะครับค่อยๆเดิน”พี่ไอน์พูดอย่างเป็นห่วง ตลอดมา ก็มีแต่พี่ไอน์นี่แหละที่ดูแล
มาตลอดในหลายๆเรื่อง พี่เขาเป็นคนที่เอาใจใส่คนอื่นรอบข้างตลอด บางครั้งก็รู้สึกอยากขอโทษ
เหมือนกันที่ทำตัวซุ่มซ่ามให้เขาดูแลเรื่อยมา=A=;;;
“โอเคค่า”แล้วฉันก็ค่อยๆเดินไปหาพี่ไอน์อย่างระมัดระวัง
“ป่ะกินข้าวกัน”พี่ไอน์พูด แล้วฉันก็เดินตามเขาต้อยๆเหมือนเด็กน้อย
หลังจากที่ทานข้าวจนอิ่มแล้ว ฉันก็ได้เจอกับคุณพีและพีชที่กำลังขนของอยู่
“อ้าว ขนของไปไหนหรอคะ คุณพีพีช”ฉันถามพลางมองดูกล่องที่พวกเขาถืออยู่ ดูท่าจะหนักนะนั่น
กล่องใหญ่เบ้อเร้อเลยยย
“อ้อ ช่วยเก็บของน่ะครับ จะได้กลับเร็วๆ”คุณพีชตอบแทนคุณพี
“งั้นให้เราช่วยไหม เรากำลังว่างๆพอดีเลย”ฉันเสนอตัวไปช่วยเขา ทั้งสองคนมองที่ตัวฉัน แล้วลังเล
จะให้ฉันช่วยดีหรือป่าว
“แหม...เห็นตัวเล็กอย่างนี้แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอนะคะ”ฉันทำหน้ามุ่ยใส่ทั้งสองคน แล้วพยายามจะ
ช่วยยกกล่องที่มือของพวกเขา คุณพีได้พยักหน้าให้คุณพีชเพื่อเป็นสัญญาณให้ฉันช่วย
“งั้นไปขนกองตรงโน้นนะครับ แล้วไว้ในรถคันนี้นะครับ”คุณพีชชี้อีกฝั่งที่มีกล่องเก็บของเต็มไปหมด
แล้วก็ชี้ไปอีกฝั่งที่มีเว้นทางประมาณร้อยเมตร จะมีรถจอดอยู่ เอิ่มมม...ไกลไปไหน แต่ไม่เป็นไร
ไอรีนสู้ตายค่า
ฮึบๆๆๆ แล้วฉันก็ขนมันต่อไป จนเหงื่อโชกเต็มตัว
(ไหวไหมฮะ)คุณพีเขียนถามฉัน แล้วฉันก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าไหว
สิบนาทีต่อมา
“คุณไอรีนไหวไหมครับ คุณพีชถาม”ฉันปาดเหงื่อไปมา พลางพยักหน้าเป็นเชิงว่ายังไหว ถ้ารีบขน
เร็วเท่าไหร่ก็จะได้กลับเร็วเท่านั้น คือตอนนี้อยากกลับไปนอนมากเลย
เหงื่อที่โชกเต็มกาย พร้อมเสียงหอบ บ้าจริง ทำไมยกไม่กี่นาที มันเหนื่อยขนาดนี้เลยหรอ ร่ายกาย
อ่อนแอขนาดนี้เลยหรอ?! ฉันไม่ชอบเลยที่เป็นแบบนี้ มันทำให้เสียโอกาสหลายๆอย่าง
ห้านาทีต่อมา ดูเหมือนว่าคุณพีชและคุณพีเห็นท่าว่าฉันจะไม่ค่อยดี แล้วคว้ากล่องที่ฉันถืออยู่ไปไว้
ในมือของทั้งสอง
“ไปพักก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวทางนี้พวกผมจะจัดการเอง”คุณพีชเอ่ย เมื่อดูท่าทางว่าฉันไม่น่าไหว
แล้วจริงๆ ฉันปาดเหงื่อแล้วก็เดินออกมาโดยดี
“โอเคค่ะ แฮ่กๆๆๆ”เบื่อจริงเวลาทำอะไรแปบๆก็เหนื่อยเนี่ย โรคนี้มันช่างน่ากลัวจริงๆ
เมื่อฉันนั่งพักสักแปบ ก็รู้สึกถึงไอเย็นๆที่มาจากต้นแขน ไอเย็นนั้นมาจากน้ำขวดที่พี่ไอน์ส่งให้นั้นเอง
“ขอบคุณค่ะ พี่ไอน์”แล้วฉันก็รับน้ำมาดื่ม แล้วกระดกมันอย่างหิวกระหายเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานาน
“รู้อยู่ไม่ใช่หรอครับว่าช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดี”เขาพูดแกมดุๆนิดๆ
“แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วนะคะ ทำอะไรนิดอะไรหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”ฉันทำหน้ามุ่ยใส่พี่ไอน์
แล้วพี่ไอน์ก็หัวเราะพลางดีดหน้าผากฉัน
“ดื้อขึ้นเยอะเลยนะเรา”แรงที่ดีดมาก็ไม่ใช่ย่อยๆเลยนะนั่น โอย...เจ็บจัง
“แหม... ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะไม่ดื้อหรอกนะคะ แต่ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”แล้วฉันก็ยิ้มให้เขา แล้ว
ฉันก็นั่งพักผ่อนอยู่สักครู่...
หลังจากทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว ฉันก็เตรียมตัวที่จะขึ้นรถกลับ อืมม...ว่าแต่เหมือนลืมอะไร
สักอย่างนะ เหมือนมีอะไรหายไป แล้วฉันก็ค้นในกระเป๋าดู มันทำให้ฉันช็อคมากๆ
นี่ฉันลืมสิ่งนั้นไว้ได้ยังไงกันนะ รูปถ่ายสำคัญที่ฉันเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา…
“เดี๋ยวมานะคะ คือทำของหายน่ะค่ะ”แล้วฉันก็รีบวิ่งไปหาทุกๆที่ที่แวะไป ตรงนี้ก็ไม่มี ตรงนั้นก็ไม่มี
ฉันหาจนคนอื่นๆต้องมาตามฉัน
“หาอะไรหรอครับ เดี๋ยวพวกเราช่วย”เพื่อนๆรีบถามฉันกันใหญ่ ฉันพูดน้ำตาแทบร่วง
“มันเป็นรูปถ่ายของฉันในสมัยเด็กๆน่ะ มันสำคัญมาก...”ฉันพูดเท่านั้นเพื่อนๆรีบควานหากันใหญ่
ในดงหญ้าหรือซอกไม้ก็ตาม มีคนหนึ่งหาภาพของฉันเจอก็คือคุณพีช
“นี่ใช่ไหมครับ”แล้วเขาก็ชูภาพมาให้ฉันดู
ซึ่งมันเป็นภาพที่ฉันมองกล้องแล้วยิ้มอย่างสดใส มือกุมตุ๊กตาที่มีเพื่อนคนแรกและคนสำคัญกำลัง
กุมตุ๊กตานั้นด้วยเช่นกัน ใบหน้าเขาบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจที่ฉันแย่งตุ๊กตาอะไรประมาณนั้น เขาชื่อซูโร
เป็นลูกชายของคนข้างบ้านเมื่อสิบปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ๆก็หายตัวไป ฉันพยายามค้นหาเขา แต่ก็ไม่เจอ
มันยังคงเป็นปริศนาจนถึงตอนนี้...
ถึงรูปมันจะเปรอะเปรื้อนไปด้วยดินโคลน หรือจะเก่าไปตามเวลา แต่มันก็ยังคงเป็นภาพที่สำคัญอยู่ดี
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ถ้าฉันไม่เจอฉันคงจะ..”แล้วฉันก็ร้องไห้ออกมา ฉันรู้ว่ามันอ่อนแอ
แต่ว่าฉันขอบคุณจริงๆ มันเป็นรูปที่สำคัญมากๆเลย
“เห...อย่าร้องนะครับ=[]=”คุณพีชทำท่าตกใจมาก แล้วฉันก็ฉุกความคิดที่อยากจะถ่ายรูปหมู่สัก
รูปในทีม
“นี่คุณพีช คุณพี แล้วพี่ไอน์ มาลองถ่ายรูปหมู่กันไหมคะ”ถึงแม้ว่าฉันจะยังคงเสียใจกับความทรงจำ
ในอดีตที่ผ่าน แต่เราก็ต้องเดินหน้าและมีความสุขกับปัจจุบันที่ยังคงเป็นอยู่ จะทำให้เราสามารถ
ก้าวข้ามผ่านไปกับความทรงจำในอดีตและทำให้เราเข้มแข็งขึ้น...
“1….2……3…..แชะ”แล้วเพื่อนคนใดคนหนึ่งถ่ายรูปให้ พอฉันได้รูปจากที่น้ำตาซึมตอนแรกๆ
ก็ยิ้มอย่างชอบใจกับรูปภาพที่ได้มา
“ไหนๆดูหน่อย”แล้วคุณพีชก็มาดูรูปที่ถ่าย
“เสียใจจังพี่มองไม่เห็น”พี่ไอน์ทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้
“ฮะๆๆๆ ”ฉันหัวเราะออกมา
(ก็ไม่ค่อยแปลกใจหรอกนะฮะ)คุณพีเขียนพูดในกระดาษ
หลังจากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถกลับโรงเรียนกัน ถึงเวลาจะล่าช้าสักหน่อยก็เหอะ....= =
เนื้อเรื่อง : อิสรา, พี, พีช, ไอรีน
ภาพ: อิสรา, พี, พีช, ไอรีน
ตรวจสอบเนื้อหาขั้นสุดท้าย: พี
Edit: อิสรา (คนเอามาโพส)
Concept: อิสรา, พี, พีช, ไอรีน
เลขา: พีชชี่ -3-
B. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้เกือบเพอร์เฟ็ค สร้างความน่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- GRAND PENTAGON STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับสูงมากในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นห้าเหลี่ยม
เทอร์ควอยซ์ผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +150 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้
สุดยอดเป็นที่น่าปลาบปลื้มแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +2,000,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
- Narin's Comment:
- กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีระบบการทำงานที่เป็นระเบียบแบบแผนมากที่สุด
รวมถึงเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหาระหว่างการทำภารกิจมากที่สุด
ผมขอฝากเรื่องนี้ไว้ว่าแต่ละคนมีวิธีการทำภารกิจแตกต่างกันไป
แต่พอเรามาอยู่ร่วมกันในฐานของกลุ่ม การเห็นพ้องร่วมกันทั้งกลุ่ม
จึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ ไม่เช่นนั้นงานกลุ่มก็จะเป็นเพียงงานเดี่ยว
ที่นำมาแปะต่อกัน ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจนจากภารกิจตัวนี้
งานแต่ละตัวเป็นงานคุณภาพที่ตั้งใจทำกันออกมาอย่างเต็มที่ไม่มีที่ติ
แต่พอนำทุกอย่างมารวมกันแล้วยังเป็นงานที่ดูโดดๆเกินๆไม่ลงตัว
เท่าที่ควร ซึ่งผมไม่ขอหักคะแนนตรงนี้ออกแต่ขอให้ทุกคนเก็บไว้
เป็นแง่คิดในการปฏิบัติภารกิจรูมเมทในครั้งต่อไป เพราะไม่ว่ายังไง
ก็ตามแต่ งานในครั้งนี้ของทุกคนในทีมก็เป็นผลงานที่ตั้งใจทำขึ้น
จากใจจริงครับ ความตั้งใจมันแสดงออกมาทางผลงานแม้จะไม่ได้
อ่านตัวโปรเสซก็ทราบได้ว่ามันผ่านการคัดกรองมานับครั้งไม่ถ้วน
โดยเฉพาะเรื่องภาพ รอบนี้ทุกคนในทีมจัดเต็มมากจนไม่รู้จะว่ายังไง
ขอชมเชยทุกคนภายในกลุ่มเลยครับ
ส่วนเรื่องความเบาะแว้งที่เกิดขึ้นผมขอให้ลองคิดในแง่ ผมที่เป็นคน
มองเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นคือความตั้งใจของพวกคุณทุกคน ความตั้งใจ
ที่จะพัฒนางานให้ดีที่สุด จึงไม่สามารถปล่อยให้เรื่องเล็กๆผ่านไปได้
ขอให้ลองมองในแง่นี้ดู แล้วจะเห็นว่าจริงๆแล้วพวกคุณร่วมงานกันได้
ดีขนาดไหน ทั้งความกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งเรื่องที่สู้เพื่อที่จะได้งานที่ดีที่สุด ผมอยากบอกให้รู้ว่าพวกคุณทุกคน
ได้ 'ร่วมแรงร่วมใจ' กันอย่างแท้จริงแล้วครับ
ปล.ระบบชมว่ารูปของพีตอนอยู่ในป่าแอ๊บสแต๊กมาก
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Thu 16 Jul - 22:42:23
สวัสดีค่ะ ตัวแทนส่งงานกลุ่ม 4 ค่ะ
- วันที่ 1:
- การเข้าค่ายเป็นอะไรที่น่าสนุกสำหรับเด็กๆ เสมอ
หลังจากที่ผู้อำนวยการประกาศว่าจะมีการเข้าค่าย โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียนรู้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เด็กๆ ดูตื่นเต้นกันยกใหญ่ แต่ละคนรีบวางแผน จัดหาของใช้และขนมนมเนยกันให้วุ่น แต่แน่นอนว่าก็มีบางคนเช่นกันที่รู้สึกเบื่อหน่าย อยากจะวางเพลิงเผาห้องผู้อำนวยการข้อหาทำให้ต้องสูญเสียวันพักผ่อนปิดเทอมอันแสนมีค่าไป
อย่างเช่นซู่เซี่ยเป็นต้น
หลังจากส่งนักเรียนขึ้นรถจนครบทุกคน และตรวจสอบความเรียบร้อยเสร็จแล้ว ซู่เซี่ยเดินหน้าบูดขึ้นรถเพื่อเตรียมออกเดินทาง ตามมาด้วยอาจารย์เนฟที่ในมือเต็มไปด้วยถุงขนมและบรรดาของใช้ส่วนตัว
“ร่าเริงหน่อยน่าเซี่ย ได้ไปเที่ยวทั้งที” เนฟกระทุ้งศอกใส่ซู่เซี่ยอย่างหยอกล้อ ก่อนจะหยิบขนมจากถุงขึ้นมายื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
ซู่เซี่ยรับขนมมา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเปิดแอพสร้างเสียงสังเคราะห์ พิมพ์ข้อความลงไป พอกดยืนยันก็มีเสียงดังขึ้นมาตามข้อความที่ถูกกรอกลงไป “ขอบคุณค่ะ” เธอค้นพบว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการสื่อสารกับคนรอบข้าง เมื่อตอนต้องรับบทเป็นพี่เลี้ยงจำเป็น เธอใช้วิธีนี้ในการสนทนาโต้ตอบกับเด็กน้อย ผลตอบรับนั้นไม่เลวทีเดียวจึงเริ่มใช้มันมาตลอด
“อ๊ะ อาจารย์!!”
นักเรียนชายคนหนึ่งหันมาเห็นขนมในมือเนฟเข้าพอดี เขาตาลุกวาว มองเนฟด้วยสายตาคาดหวัง
เนฟเห็นดังนั้นจึงจำต้องยื่นดาร์คช็อกโกแลตของโปรดในมือไปให้ แม้จะเสียดาย แต่การแบ่งปันนั้นก็ทำให้เธออิ่มใจทดแทนการอิ่มท้องไปได้
“อาจารย์ขอผมด้วยสิครับ” นักเรียนอีกคนเอาบ้าง
“ผมด้วยๆ” อีกคน
“หนูด้วยค่ะ น้า นะคะอาจารย์” และอีกคน
นักเรียนกลุ่มนั้นพากันมาขอขนมจนพร่องไปทั้งถุง เนฟถอนหายใจ ดีนะที่เตรียมมาเยอะหน่อยเผื่อไว้สำหรับสามวัน ไม่งั้นขนมของเธอคงต้องหมดลงตั้งแต่ล้อเคลื่อนแน่ๆ
รถเคลื่อนตัวออกเดินทางได้พักใหญ่แล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนเดินออกไปยืนที่ด้านหน้า กล่าวสวัสดีและเปิดงาน พร้อมอธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ให้ทุกคนรับทราบ จากนั้นบรรยากาศอันแสนสนุกสนานจึงเริ่มต้นขึ้น
บางคนนั่งทานขนมกับเพื่อน บางคนนอนหลับเอาแรง บางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น และมีไม่น้อยที่ลุกออกมาร่วมสนุกกันกลางรถ
เสียงดนตรีมันส์ๆ เปิดดังกระหึ่มไปทั้งคันรถ บรรยากาศคึกคักจนหลายๆ คนอดใจไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาเต้นตาม
ช่างสมกับเป็นการเข้าค่ายเสียจริง…
รถเคลื่อนตัวเข้าจอด ล้อค่อยๆ หยุดลง เสียงผู้อำนวยการประกาศให้เตรียมเก็บกวาดเศษขยะและตรวจสอบสัมภาระดังขึ้น
ในที่สุดก็มาถึงค่ายพักแรมแล้ว
คณะอาจารย์และผู้อำนวยการลงจากรถก่อนเพื่อเตรียมรอรับและจัดแถวให้นักเรียน บางส่วนตรงไปยังท้ายรถเพื่อขนข้าวของเครื่องใช้ลงมาจัดเตรียมสถานที่
นักเรียนทยอยกันเดินลงจากรถ เข้าแถวตามจุดที่อาจารย์เนฟร้องบอก
ทุกคนมารวมตัวกันที่ลานกว้างตรงชายป่า แบ่งแถวตามลำดับชั้นเรียนก่อนเพื่อความสะดวก
ผ่านไปราวสิบห้านาที ผู้อำนวยการเดินออกมาชี้แจงกฎระเบียบและสิ่งที่ต้องจำทั้งหลายอีกครั้ง นักเรียนบางคนเริ่มใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตื่นเต้นเสียจนไม่มีสมาธิฟัง ได้แต่มองสอดส่องไปรอบด้าน
ในการเข้าค่ายพักแรมครั้งนี้จะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มละ 4 คน ทุกคนเริ่มเข้าไปจับกลุ่มกันตามรายชื่อที่ได้มา เมื่อทุกกลุ่มรวมตัวกันเสร็จแล้ว ผู้อำนวยการจึงนำขบวนเคลื่อนย้ายไปยังค่ายรวมซึ่งเป็นจุดรวมพลและสถานที่อาบน้ำ
ค่ายรวม
เจ้าหน้าที่ซึ่งก็คือคณะอาจารย์และบุคลากรทั้งหลายยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อนักเรียนมาถึงก็ประกาศให้ทุกกลุ่มส่งตัวแทนออกมาสองคนเพื่อรับเต้นท์ไปกางสำหรับอยู่อาศัยทันที
แต่ละกลุ่มพากันเลือกทำเลดีๆ ในการตั้งเต้นท์ เพียงครู่เดียวจากค่ายรวมที่โล่งกว้างก็เต็มไปด้วยนักเรียนที่เข้ามาจับจองพื้นที่ กลุ่มไหนที่มีสมาชิกกางเต้นท์เป็นก็สบายหน่อย พวกเขาสามารถสร้างที่อาศัยได้อย่างรวดเร็วและพากันเอาสัมภาระอันหนักอึ้งเข้าไปวาง ทว่าบางกลุ่มที่ไม่มีใครกางเต้นท์เป็นก็ได้แต่ช่วยกันจับนู่นลองนี่อย่างทุลักทุเล
นักเรียนสองคนที่ได้รับเลือกให้เข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับอาจารย์คือธานินท์และปักษ์ หากแต่ธานินท์นั้นจะด้วยเพราะโรครักความสะอาด กลัวเชื้อโรคในป่าขั้นรุนแรงหรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม สรุปว่าเขาไม่ได้มาร่วมเข้าค่ายในครั้งนี้ ดังนั้นในกลุ่มจึงเหลือเพียงอาจารน์เนฟ แม่บ้านซู่เซี่ย และนักเรียนปักษ์เท่านั้น
ซู่เซี่ยนั้นเป็นแม่บ้านสารพัดนึก เธอทำได้เกือบทุกอย่างไม่ว่าจะงานหนักงานเบา การกางเต้นท์ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับเธอ เพียงพริบตาเดียวเธอก็กางเต้นท์เสร็จอย่างงดงาม ทำเอาเนฟและปักษ์ได้แต่อ้าปากหวอด้วยความทึ่ง
วันแรกผ่านไปด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงหัวค่ำ
ซู่เซี่ยนำน้ำไปเติมที่ห้องน้ำในเวลาหนึ่งทุ่มตามที่ได้รับคำสั่งจากผู้อำนวยการ เธอไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดจึงต้องจำกัดจำนวนน้ำที่ให้ใช้ เช่นนี้ออกจะน่าสงสารนักเรียนที่มาช้าเกินไปหน่อย
เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางและสำรวจสถานที่มาทั้งวัน หลังจากอาบน้ำเสร็จทุกคนจึงทยอยพากันเข้านอนทันที
“ฝากด้วยนะเนฟ” ซู่เซี่ยตบไหล่เนฟที่เดินสวนกัน ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เนฟที่ในมือเต็มไปด้วยถุงขนมทำหน้าราวกับจะร้องไห้ โอดครวญอย่างเจ็บปวด “จริงๆ เธอก็ควรจะต้องรับหน้าที่นี้ด้วยไม่ใช่เหรอเซี่ย…”
“หืม…” ซู่เซี่ยทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ผู้อำนวยการบอกว่า ‘อาจารย์ทุกคน’ นี่นา ไม่ใช่บุคลากรสักหน่อย ดังนั้นแม่บ้านก็คงไม่จำเป็นต้องไปเฝ้าค่ายด้วยหรอก”
“แต่.. แต่ว่า” เนฟยังไม่ยอมแพ้
“รีบไปเร็วเข้าน่า เดี๋ยวไปช้าจะโดนผู้อำนวยการทำโทษเอานะ” ซู่เซี่ยชะงักเมื่อนึกบางอย่างออก เธอเบ้ปาก แก้คำพูดเสียใหม่ “ไม่สิ ไม่ต้องกลัวหรอก ผู้อำนวยการนั่นชอบ’รังแก’แต่เด็กผู้ชายนี่นะ” พูดจบเธอก็เดินเข้าเต้นท์ไป ทิ้งให้เนฟเดินคอตกไปยังจุดรวมตัวอย่างปวดร้าว
อาจารย์ทุกคนต้องประจำการอยู่ที่จุดรวมตัวตลอด 24 ชั่วโมง
แน่นอนว่าเนฟก็ไม่มีข้อยกเว้น
เนฟหาวเป็นรอบที่สาม ตอนนี้น่าจะราวๆ เที่ยงคืนแล้ว อาจารย์บางคนเริ่มนอนหลับบนฟูกที่จัดให้ ยากันยุงก็มีบริการให้พร้อมทั้งแบบฉีดแบบทา แต่กระนั้นเธอก็ยังข่มตาหลับไม่ลงอยู่ดี
เนฟหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อยเปื่อย ตอบไลน์บ้าง กดไลค์ให้เพื่อนในเฟซบุ๊คบ้าง
“อาจารย์”
“เฮ้ยยยยย!!!!!” เนฟที่กำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์สะดุ้งเฮือก ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ
ผู้มาเยือนคือนักเรียนชายในชุดนอนลายหมีเท็ดดี้แบร์คนหนึ่งพร้อมเพื่อนๆที่คอยอยู่ด้านหลังอีกจำนวนไม่น้อย “ชู่ววววว เบาๆ สิครับอาจารย์”
“พวกเธอออกมาทำอะไรกันน่ะ มีอะไรให้ช่วยเหรอ”
“คือว่า… พวกผมหิว”
“หา ตอนนี้เนี่ยนะ” เนฟทำท่าจะบ่น แต่ก็ระลึกได้ว่าตนก็กำลังนั่งกินขนมอยู่เช่นกันจึงเงียบไป “พวกเธอก็ไปหยิบอุปกรณ์กับวัตถุดิบมาทำอาหารกินกันสิ นู่น ตรงนู้นไง” เธอชี้ไปยังซุ้มแจกจ่ายอุปกรณ์
“คือว่าเมื่อตอนเย็นพวกผมก็ทำกินกันแล้ว” เด็กชายหน้าเจื่อน “แต่รสชาติออกมาหมาไม่รับประทานเลยครับ พวกผมฝืนกินเข้าไปได้นิดเดียวก็ไม่ไหวแล้ว”
ที่ค่ายนี้มีกฎว่านักเรียนแต่ละกลุ่มต้องทำอาหารทานเองทุกมื้อ โดยจะมีอุปกรณ์และวัตถุดิบให้ ต้องทำเองทุกขั้นตอนตั้งแต่จุดไฟ หุงข้าว ปรุงอาหาร
ก็นะ ใช่ว่าทุกคนจะทำอาหารเป็น และใช่ว่าทุกคนที่ทำอาหารเป็นจะทำออกมาอร่อยเสียที่ไหน
เนฟพยักหน้าอย่างเข้าใจ ยื่นขนมในถุงให้จำนวนหนึ่ง
เด็กชายรับไปด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ต้องเอ่ยปากออกมาอีก “คือว่า… อาจารย์ครับ พอจะมีอีกไหมครับ พวกผมมีกันหลายคน แค่นี้คงไม่พอจะแบ่งกันให้อิ่มท้อง”
“แล้วพวกเธอต้องการสักเท่าไหร่ล่ะ”
“ก็… หมดทุกนั่นจะได้ไหมครับ” เด็กชายชี้ไปยังถุงใส่ขนมถุงใหญ่ด้านข้างเนฟ
“หา!!” นั่นขนมสำหรับสามวันของเธอเลยนะ ที่เต้นท์มีเหลือแค่มันฝรั่งทอดกรอบอีกสองถุงเล็กเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นเด็กชายหน้าหมองลงทันใด เนฟก็เกิดอาการปฏิเสธไม่ลง “ดะ… ได้จ้ะ ครูยังมีอีก ถุงนี้พวกเธอเอาไปแบ่งกันเถอะ”
เด็กชายและพรรคพวกข้างหลังโห่ร้องด้วยความดีใจ เอ่ยขอบคุณกันยกใหญ่ก่อนจะจากไปด้วยความยินดี
ส่วนเนฟได้แต่นั่งกุมขมับ คิดไม่ตกว่าวันต่อไปจะเอาอะไรกิน…
- วันที่ 2:
- ซู่เซี่ยตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งเพื่อเตรียมตัวไปทำภารกิจในตอนเช้า ซึ่งก็คือเติมน้ำในห้องน้ำให้บรรดานักเรียนมาแย่งกันราวกับแย่งน้ำสะอาดในช่วงน้ำท่วมกรุง
ปักษ์ยังคงนอนหลับอยู่ เธอพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้เขาตื่น
ซู่เซี่ยเดินออกจากเต้นท์ ฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างดี อากาศเย็นสบายอย่างที่หาไม่ได้ในเมืองกรุง ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปนั้นชุ่มช่ำสดชื่นบริสุทธิ์ไปถึงหัวใจ
ธรรมชาติงดงามถึงเพียงนี้ แต่บางคนกลับทำลายมันเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ช่างน่าเสียดายจริงๆ
เธอเดินมาจนถึงจุดรวมตัว สายตาพลันเหลือบไปเห็นภาพที่ทำให้อยากปล่อยก๊ากออกมา แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีเสียงและไม่ได้พกโทรศัพท์ออกมา
เนฟนอนหลับอย่างหมดสภาพ ขอบตาของเนฟดำคล้ำราวกับคนอดนอน ดูท่าทางแล้วเธอคงเพิ่งได้หลับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงหรือนาทีก่อนนี้ เดิมทีซู่เซี่ยตั้งใจจะปลุกเธอเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปลำบากแย่งน้ำกับคนอื่น แต่เห็นแบบนี้แล้วตัดสินใจไม่ปลุกน่าจะดีกว่า
วันนี้มีให้แต่ละกลุ่มเลือกระหว่างกิจกรรมเข้าฐาน กับกิจกรรมกระชับสัมพันธ์ภายในกลุ่ม
ซึ่งกลุ่มของพวกเธอเลือกอย่างหลัง เนื่องจากเนฟที่เสบียงหมดต้องการออกไปหาของป่ามาสำรองไว้ประทังชีวิตระหว่างเฝ้ายามในคืนนี้
ทั้งสามคนพกอุปกรณ์ล่าอาหาร และเต้นท์ที่ปักษ์ลงทุนแบกไปด้วยเหตุผลว่าอยากลองใช้ชีวิตอย่างสงบกลางป่าดูสักครั้ง ตรงไปยังลำธาร เดินวนไปวนมา หลงทางอยู่หลายทีจนสุดท้ายก็มาถึง
ตรงลำธารมีสะพานไม้เล็กๆ รอบด้านมีสัตว์ป่าหน้าตาน่ากิน(เนฟบอก)เต็มไปหมด ดูอุดมสมบูรณ์ยิ่ง
ปักษ์ตัดสินใจลงหลักปักฐาน วางเต้นเพื่อให้ซู่เซี่ยกางให้ทันที ส่วนเนฟฉวยเบ็ดตกปลาและเหยื่อไปยังสะพานไม้
ซู่เซี่ยบอกว่าถึงแม้ภายในรั้วจะปลอดภัยแต่ก็ไว้ใจไม่ได้เต็มร้อย บางทีอาจมีสัตว์ป่าดุร้ายหลงเข้ามาได้ ดังนั้นหน้าที่หาฟืนและวัตถุดิบในป่าเธอผู้มีวิชา(?)จะรับอาสาไปหาให้เอง
ปักษ์ผู้เข้าไปซึมซับความฟินแห่งชีวิตอันสงบสุขในเต้นท์ผลุบออกมาด้านนอก มองซ้ายมองขวาเห็นเนฟที่ยังคงนั่งถือเบ็ดอยู่บนสะพาน
เนฟเขย่าคันเบ็ดไปมาอย่างหงุดหงิด ดูท่าว่าจะนั่งตกมาตั้งนานแล้วไม่เห็นจะมีมาตอดสักตัว
ปักษ์จึงเดินตรงมาขอคันเบ็ดจากมือเนฟ ลงมือโชว์สกิลตกปลาเอง
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่นานก็มีปลาตัวนึงติดเบ็ด!
ดูท่าว่าคนเป็นอาจารย์จะทึ่งอยู่ไม่ใช่น้อย ปักษ์ที่เห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมา
“ของแบบนี้มันมีเทคนิคครับ”
ปลาถูกสายเบ็ดเกี่ยวขึ้นมา มันกระเด็นลงบนสะพานดิ้นกระแด่วๆ ปักษ์ไม่รอช้ารีบคว้าลงกระป๋องทันที
“ตกอีกสิ” เนฟพูดขึ้นเบาๆ ท่าทียังคงความขรึม
ปักษ์ลังเล “ครูครับ ผมว่า… เอ่อ…” ควรจะพูดดีมั้ยนะ
“อะไร”เธอไม่อยากเสียเวลาแม้สักนาที ได้ปลายิ่งเยอะก็ยิ่งดีมิใช่หรือ ฉะนั้นไม่ควรเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
“ครูเคยได้ยินไหมครับ” ปักษ์กระพริบตาปริบๆ “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า… เอ่อ ผมไม่ได้จะสั่งสอนครูนะครับ”
เนฟชะงัก อันที่จริงเธอไม่คิดมากถึงขนาดนั้น ปลาไม่ใช่อาหารโปรดของเธอ แค่ว่าตอนนี้ทางเลือกมีไม่กี่ทางก็เท่านั้น ออกจากป่าแล้วไม่มีปลาเธอก็หาอย่างอื่นกินแทนได้สบายๆ
แต่ที่ปักษ์พูดมาก็มีเหตุผลชวนให้ขบคิดพิจารณา ดังนั้นรับฟังไว้สักหน่อยน่าจะดีกว่า
เนฟเปลี่ยนจากยืนมานั่งลงข้างๆปักษ์อย่างจำใจ แต่ก็ทิ้งระยะห่างไว้พอควร แล้วรับฟังคำแนะนำวิธีการตกปลาจากปักษ์แทน
ร่ำเรียนวิชาจากอาจารย์ปักษ์อยู่ครู่ใหญ่ นักเรียนผู้ร้อนวิชาอย่างเนฟก็ลงมือปฏิบัติทันที
น่าเสียดายที่ผลออกมาไม่น่าประทับใจ เนฟยืนแกร่วถือคันเบ็ดรอให้ปลามาติดโดยมีปักษ์ยืนยิ้มแห้งๆ อยู่ข้างๆ
บรรยากาศมืดมนเริ่มก่อตัวรอบๆเนฟที่เขย่าแกว่งคันเบ็ดด้วยความหงุดหงิด
ขณะที่กำลังจะกระชากคันเบ็ดขึ้นจากน้ำด้วยความโมโห แรงดึงมหาศาลพลันปะทุขึ้นมา เนฟถึงกับตัวลอยไปตามแรง โชคดีที่ปักษ์คว้าไว้ได้ทัน
“เหวออออ อะไรเนี่ย” ปักษ์โวยวาย “หรือว่าปลายักษ์!? อาจารย์ครับ มื้อนี้เราอิ่มแน่แล้ว ดึงเร็วดึง!!”
เนฟเหงื่อตก อย่าว่าแต่ดึงปลายักษ์ขึ้นมาเลย แค่รั้งกันไว้ไม่ให้ตกน้ำก็ทำเอาเรี่ยวแรงปักษ์เหือดหายหมดแล้ว
“ฮึ้บบบบบบ หนึ่ง สอง ดึง!!”
“เอ่อ” เนฟเองก็พยายามออกแรงดึงตามเสียงสัญญาณแต่ก็ไม่เกิดประโยชน์
“เอาใหม่ๆ หนึ่ง สอง ดึง!!”
คราวนี้เนฟและปักษ์ออกแรงสุดตัวจนปลายักษ์เคลื่อนตัวตามแรงดึงขึ้นมา… นิดนึง ก่อนจะเกิดแรงเหวี่ยงกลับที่ทำเอาทั้งคู่ถลาไปยันสุดขอบสะพาน
ปักษ์เริ่มเห็นว่าไม่ได้การแล้ว แบบนี้ได้ตกน้ำทั้งคู่แน่ ลึกหรือเปล่าก็ไม่รู้ “อาจารย์ปล่อยคันเบ็ดเถอะครับ”
“ไม่!” เนฟยืนยันเสียงแข็ง ยังคงพยายามดึงสุดแรง “แล้วเซี่ยล่ะ”
“คุณแม่บ้านเซี่ยไปหาฟืนครับ” ปักษ์พยายามตอบกลับ เขาออกแรงมากจนสายตัวแทบขาด การที่ต้องการเปล่งเสียงพูดออกมายิ่งทำให้พลังงานลดลง “ปล่อยคันเบ็ดเถอะครับอาจารย์ ผมขอร้องล่ะ”
“ไม่!!!”
ให้ตายเถอะ อาจารย์เนฟที่ปกติเงียบขรึมสุขุม เหตุใดเวลาหิวถึงได้กลายเป็นคนละคนแบบนี้ล่ะเนี่ย ไหนจะเรี่ยวแรงมหาศาลที่ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหนนั่นอีก โอ๊ยยยย ปักษ์เครียด
"คุณเซี่ย ช่วยพวกเราด้วยคร้าบบบบ"
ซู่เซี่ยวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากป่าด้วยความเร็วสูง สกิลหลบหนีของเธอนับว่าสูงทีเดียว ซึ่งการวิ่งก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำให้เธอสามารถวิ่งมาถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็วแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วย
“เกิดอะไรขึ้น” โทรศัพท์ของเธอเปล่งเสียงออกมาตามข้อความที่ถูกกรอก
แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน
ซู่เซี่ยหยิบลำโพงในแขนเสื้อออกมาต่อเข้ากับโทรศัพท์ กดเล่นเสียงซ้ำอีกครั้ง ทีนี้เสียงดังก้องป่าเลยทีเดียว “เกิดอะไรขึ้นนน!!”
“มาช่วยกันจับปลายักษ์เร็วคุณเซี่ย!!” ปักษ์ตะโกนตอบกลับ
เมื่อรู้สถานการณ์ ซู่เซี่ยก็เข้ามาปฏิบัติการช่วยเหลือทันที เธอดึงตัวปักษ์ไว้อีกทอด ออกแรงดึงตามเสียงสัญญาณของปักษ์
“หนึ่ง สอง ฮึ้บบบบบ!!!”
เกือบได้แล้ว!
“อีกทีๆ หนึ่ง สอง ฮึ้บบบบบบบ!!!”
สำเร็จแล้ว!!
ทั้งปักษ์และซู่เซี่ยโห่ร้อง เนฟเองก็มีท่าทีดีใจราวกับได้พิชิตสงคราม ปักษ์โห่ร้องดีใจด้วยความโล่งอกที่มันจบลง ซู่เซี่ยไม่มีเสียง แต่เธอรีบคว้ามือถือขึ้นมาพิมพ์ว่า “เฮ้!!” ด้วยความไวแสง ทำให้ได้ร่วมโห่ร้องไปกับเขาด้วย
แต่ชูมือไชโยโห่ร้องได้ไม่นาน เมื่อหันมามอง ‘ปลายักษ์’ ที่ตกได้ ทั้งสามคนก็ต้องผงะ
ดวงตาสามคู่จ้องมองไปยังดวงตาอีกคู่นึงที่มองกลับมาอย่างท้าทาย
“เอ่อ…” ปักษ์พูดไม่ออก
“ไม่ใช่ปลานี่…” เนฟพูดบ้าง
“ชาร์ลนี่นา เพิ่งเคยเห็นตัวจริงนะเนี่ย” ตามมาด้วยเซ่
“ชาร์ลคืออะไรเหรอครับ” ปักษ์ถาม ดูยังไงเจ้านี่ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ชื่อ ‘ชาร์ล’ ของคุณแม่บ้านแน่ๆ
“ชาละวันไง ที่อยู่ในเรื่องไกรทอง”
“ครับ ใช่ ชาละวัน” ปักษ์อยากจะเอาเท้าก่ายหน้าผากเมื่อเห็นคุณแม่บ้านทำหน้าตื่นเต้นที่ได้เห็น ‘ชาร์ล’ “ชาละวันเผ่าพันธุ์คือจระเข้ครับ ฉะนั้นผมว่าเรียกพี่เข้จะดีกว่า” เพราะชาละวันตัวจริงต้องไซส์บิ๊กเบิ่มกว่านี้เยอะ
“ก็ได้ พี่เข้ๆ ขอถ่ายรูปหน่อยนะ” พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายดังแชะ
“มันใช่เวลาทำอย่างนั้นที่ไหนกันล่ะครับ!!” โธ่เว้ย นี่สัตว์กินเนื้อน่ะ เผลอแปบเดียวเจ้านี่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งสามคนแล้วกลืนลงท้องได้สบายๆเลย
“อะ… เอาไงดี พวกเราแกล้งตายดีไหม” ปักษ์เสนอ
“นั่นมันวิธีหนีตายจากหมีนะครับ” เนฟตอบกลับ “เราควรจะหาเชือกมามัดปากมัน”
“มีแต่เส้นเอ็นของเบ็ดตกปลา ใช้แทนได้ไหม”
ปักษ์หันไปมองคันเบ็ด แต่ด้วยแรงมหาศาลตอนที่ใช้ดึงพี่เข้ขึ้นมาทำให้เส้นเอ็นขาดไปหมดแล้ว “มันขาดแล้วนี่ครับ!!”
“งั้นเอาไงดี”
เนฟกับปักษ์มองหน้ากันไปมา ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้คนเรามักจะขาดสติคิดอะไรไม่ออก
“ผมว่าเราควรจะให้มันกัดหัวเราให้ขาดก่อน จะได้ไม่ทรมานเวลาโดนกิน”ปักษ์เริ่มเสนอออกมา
“หรือถ้าเรามุดเข้าไปในปากแล้วลงไปในท้องมันได้ เราอาจจะระเบิดตัวมันเหมือนในการ์ตูนได้”
“นั่นมันการ์ตูนนะ ในท้องมันมีอะไรบ้าง น้ำย่อย กรดอะไรมากมายเลย”
“แต่ก็ยังดีกว่าตายโดยไม่ได้ลองฮึดสู้นะครับ”
ปักษ์ยังคงเสนอวิธีการบ้าบอออกมาอีกหลายวิธี ไม่ได้สังเกตเลยว่าพี่เข้ไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามาทำร้ายตนเลยแม้แต่น้อย
ซู่เซี่ยกลับมาอีกทีพร้อมเนื้อไก่ซีพีที่หยิบมาจากซุ้ม เธอแกะห่อพลาสติกแล้วโยนให้พี่เข้กิน
พี่เข้กระโดดงับเสียงดัง ปั๊บ ทำเอาอีกสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจร้องจ๊าก
“ไม่ต้องกลัวหรอก เขาจะไม่ทำร้ายเรา” ซู่เซี่ยยืนยันคำพูดเมื่อครู่ด้วยการเดินไปลูบหัวพี่เข้ “เห็นไหม เขาน่ารักจะตาย”
อันที่จริงเมื่อครู่ตอนที่ทั้งสองคนมัวแต่โต้ตอบกันไปมา เธอแอบโยนยาเม็ดสูตรลับประจำตระกูลเข้าปากพี่เข้ไป อาชีพของตระกูลเธอต้องเข้าไปเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อคุ้มครองตัวเองและใช้ประโยชน์จากสัตว์ร้ายในเวลาจำเป็น บรรพบุรุษของเธอจึงได้คิดค้นยาสูตรลับที่จะช่วยกล่อมสมองของสัตว์ให้เชื่องจนถึงขนาดยอมทำตามคำสั่งได้ ว่าไปแล้วก็คล้ายๆยาบ้าชนิดรุนแรงพิเศษ แต่คิดค้นมาเพื่อใช้กับสัตว์แทนที่จะใช้กับคน
ทั้งสองคนเดิมยังกล้าๆ กลัวๆ แต่พอผ่านไปสักพักแล้วพบว่าพี่เข้กระดิกหางเล่นกับซู่เซี่ยราวกับหมาน้อยจึงค่อยเบาใจลง
ฟู่ววววว เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ น่ากลัวชะมัด เดี๋ยวพอกลับไปจุดรวมตัวแล้วคงต้องแจ้งเรื่องนี้กับผู้อำนวยการเสียหน่อย
“เอาล่ะๆ นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว ในเมื่อหมดเรื่องแล้ว งั้นเราแยกย้ายกันไปทำงานต่อเถอะ” ซู่เซี่ยเสนอความเห็นซึ่งทั้งสองคนก็เห็นด้วย
ปักษ์เดินไปนั่งปอกผักผลไม้ ซู่เซี่ยจุดไฟย่างเนื้อ พี่เข้กลับลงน้ำไปแล้ว เนฟตกปลาต่ออย่างไม่ยอมแพ้
ทั้งสามคนทำหน้าที่ของตนเองไปเรื่อยๆ จนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ยามเย็นเริ่มมาเยือน- Spoiler:
ยามค่ำคืน จากที่ได้ฟังผู้อำนวยการสปอยมาว่ามีจุดชมวิวที่เห็นดาวและทิวทัศน์สวยมาก ทั้งสามจึงตัดสินใจเดินขึ้นเขาเพื่อไปยังสถานที่ที่ว่านี้
และก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย นับเป็นคำพูดหนึ่งในไม่กี่ครั้งของผู้อำนวยการที่สามารถเชื่อถือได้
ทั้งสองคนเหม่อมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสาดแสงเปล่งประกายเต็มท้องฟ้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเดินทางกลับไปยังค่ายด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มทั้งกายและใจ คืนนี้พวกเขาต้องหลับฝันดีเป็นแน่
อ้อ… ยกเว้นเนฟที่ต้องเฝ้ายามทั้งคืนน่ะนะ
- วันที่ 3:
- งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา
ทุกนาทีที่ผ่านไปในค่ายเต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนมีชีวิตชีวาควรค่าแก่การจดจำ
หลายๆ คนพากันตื่นแต่เช้าเพื่อสูดอากาศแสนบริสุทธิ์ของยามเช้า ซึมซับทุกความรู้สึกไว้เป็นครั้งสุดท้าย
ผู้อำนวยการออกมาประกาศกำหนดการคร่าวๆ แจ้งเวลารวมตัวให้ทราบพร้อมเน้นย้ำให้เก็บสัมภาระเตรียมตัวไว้ให้เรียบร้อยเพื่อที่เมื่อถึงเวลาเดินทางจะได้ไม่เกิดเหตุขัดข้องให้ต้องล่าช้า
กว่าจะเริ่มออกเดินทางยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมง บางคนใช้เวลาไปกับการถ่ายภาพบันทึกความทรงจำไว้ บางคนก็เตรียมเก็บข้าวของ กลุ่มของเราก็เช่นกัน เนฟ ปักษ์ และซู่เซี่ยลงมือเก็บข้าวของลงสัมภาระ เมื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยเสร็จแล้วก็นั่งล้อมวงกันปรึกษาว่าจะทำอะไรดีในเวลาที่เหลืออยู่
ปักษ์เสนอความเห็นว่าไปพายเรือเล่นกันที่ลำธารน่าจะดี สมัยนี้ในเมืองกรุงหาเรือพายไม่ใช่ง่ายๆ เห็นจะมีแต่เรือเป็ดถีบไปถีบมาสำหรับให้คู่รักอี๋อ๋อกัน ยิ่งกว่านั้นคือแม่น้ำลำคลองที่สะอาดในเมืองกรุงนั้นหามีไม่ แต่ละแห่งต่างเต็มไปด้วยสิ่งของเน่าเสีย ไม่ว่าจะขยะที่คนโยนทิ้งด้วยความมักง่าย น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งบางทีก็เป็นสารเคมีที่นอกจากทำให้น้ำเสียแล้วยังส่งผลให้สัตว์น้ำตายอีกด้วย เขาอยากให้พวกคนมักง่ายเหล่านี้ได้มาสัมผัสธรรมชาติอันแสนงดงามจริงๆ เผื่อจะมีจิตสำนึกรักธรรมชาติกันขึ้นมาบ้าง
ทั้งสองคนไม่มีข้อโต้แย้ง ดังนั้นกิจกรรมในวันนี้จึงเป็นการพายเรือเล่น
เพราะมีประสบการณ์จากเมื่อวานแล้ว วันนี้ทั้งสามจึงเดินทางมาถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนวันนี้พี่เข้จะไม่อยู่ น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่มีโอกาสได้ล่ำลากันก่อนกลับ
ผู้ที่อาสาจะพายเรือคือเนฟและซู่เซี่ยเนื่องจากพวกเธอไม่อยากใช้แรงงานนักเรียนซึ่งมีอายุน้อยกว่า ประเดี๋ยวจะเกิดข้อครหาว่าใช้แรงงานเด็ก ปักษ์เองก็ไม่คัดค้านด้วยคิดว่าการพายเรือไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรถึงขั้นโดนตราหน้าว่าใช้แรงงานสตรี
เนฟพายทางด้านขวา ซู่เซี่ยพายทางด้านซ้าย ส่วนปักษ์นั่งชมนกชมปลาอยู่ท้ายเรือ เขานั่งเหม่อมองธรรมชาติอย่างเคลิบเคลิ้ม
“เรือนี่เคลื่อนที่ช้าจริงๆ” ซู่เซี่ยบ่น เธอไม่ค่อยชอบยานพาหนะที่เคลื่อนตัวได้ช้า ว่าแล้วเธอก็พยายามเร่งฝีพายให้เร็วขึ้น ส่งผลให้เนฟพายตามไม่ทัน หัวเรือจึงโยกเอียงไปข้าง ไม่แล่นตรงเช่นเดิม
เนฟครวญ “ซะ… เซี่ย ช้าหน่อยๆ” แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟัง ทางนั้นพยายามเร่งฝีพายเร็วขึ้นอีกราวกับอยากรู้ว่าเรือลำนี้จะสามารถเร่งความเร็วได้มากสุดแค่ไหนกัน
ปักษ์ดูเหมือนจะไม่เดือดร้อนอะไร ตรงข้ามเขาดูเหมือนจะชอบความเร็วที่เพิ่มขึ้น ความรู้สึกราวกับกำลังนั่งเรือติดไอพ่นอยู่ก็ไม่ปาน ละอองน้ำที่กระเซ็นทั้งสองข้างเกิดเป็นม่านไอน้ำให้ความรู้สึกชุ่มช่ำเย็นสบายคลายร้อน อา ฟินเหลือเกิน
สุดท้ายเมื่อพายไม่ทัน เนฟจึงหยุดพายแล้วปล่อยให้เซ่ควบคุมเรือแต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าการที่พายอยู่ข้างเดียวย่อมทำให้เรือโคลงไม่แล่นตรง แต่ก็ช่างเถอะ อย่างไรพวกเขาก็เพียงมาพายเรือเล่น ไม่ได้มีเป้าหมายจะไปที่ใดเป็นพิเศษ พายเรือวนไปวนมาก็สนุกไปอีกแบบ
โพละ เป๊าะ
จู่ๆ พลันเกิดเสียงกระแทกตามมาด้วยเสียงไม้แตก ปักษ์สะดุ้งออกจากภวังค์ มองหาที่มาหาของเสียง เนฟก็เช่นกัน แล้วทั้งสองก็พบว่าเสียงนั้นมีที่มาจากไม้พายในมือของซู่เซี่ยนั่นเอง
ไม้พายในมือของซู่เซี่ยในตอนนี้เหลือเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งลอยตามน้ำไปไกลแล้ว ซู่เซี่ยมองตามชิ้นส่วนที่ลอยไปด้วยความพิศวง เธอพยายามใช้อีกครึ่งที่เหลือพายไปเอามันกลับมา
“เอ่อ… คุณแม่บ้าน เอาไม้พายอันใหม่ไปใช้เถอะครับ”
ซู่เซี่ยกระพริบตาปริบๆ แม้จะเสียดายและไม่เข้าใจว่าจู่ๆ ไม้พายหักได้อย่างไรแต่เธอก็รับไม้พายอันใหม่มาแต่โดยดี ซึ่งเป็นอันที่เนฟเคยใช้นั่นเอง
เธอพายต่อไป แต่คราวนี้เริ่มลงความเร็วลงบ้าง
ฉึก
ซู่เซี่ยรู้สึกว่าไม้พายกระทบเข้ากับอะไรบางอย่างใต้ท้องน้ำ
ฉึก ฉึก
เธอลองใช้ไม้พายกระทุ้งลงไปอีกสองครั้งด้วยความสงสัย อยากจะรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ใต้น้ำ
แล้วก็ได้ผล…
‘เพื่อนเก่า’ของพวกเขาออกมาทักทายในทันที มันเริ่มจากใช้ปากอันมหึมาขย้ำไม้พายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะพยายามปีนขึ้นมาบนเรือด้วยความโมโห ส่งผลให้เรือลำน้อยเอียงจนแทบผลิกคว่ำ ผู้โดยสายบนเรือร้องเหวอ จับเรือไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองร่วงหล่นลงไปในน้ำ
โชคดีที่พอ’เพื่อนเก่า’มองเห็น’ผู้บุกรุก’ก็หยุดปฏิบัติการทำลายเรือลง ด้วยฤทธิ์ของยาที่ซู่เซี่ยให้กินเมื่อวาน มันจึงจำได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นมิตร แม้จะไม่พอใจที่ถูกใช้ไม้พายกระแทกใส่แต่ก็ตัดใจทำร้ายคนเหล่านี้ไม่ลง
มันส่งเสียงขู่คำรามคราหนึ่งเพื่อเตือนว่าอย่าได้ล่วงเกินมันอีก ก่อนจะกลับลงน้ำไป
“ไอ้หยา…ขวัญผวาหมด” ปักษ์ครวญ พยายามใช้ขันกะลามะพร้าววิดน้ำที่เข้ามาในเรือจากเหตุการณ์เมื่อครู่ออกอย่างเร่งด่วน
เนฟและซู่เซี่ยเห็นดังนั้นก็ทำบ้าง พวกเธอพยายามหาอุปกรณ์มาวิดน้ำที่ท่วมเรือเกือบทั้งลำออก พอวิดออกในระดับที่พอจะไม่ทำให้เรือจมแล้วถึงได้หยุดถอนหายใจด้วยความเหนื่อยและโล่งอก
เนฟเสนอความเห็น อันที่จริงยังพอมีเวลาเหลืออีกเล็กน้อย แต่ตอนนี้พวกเขาเหนื่อยเหลือเกิน ไปหากิจกรรมอื่นทำต่อในค่ายน่าจะดีกว่า “นี่ก็ใกล้เวลาเดินทางแล้ว เรากลับไปเตรียมตัวกันเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นก็เริ่มเดินทางกลับ
โดยคราวนี้มีปักษ์เป็นผู้พาย เขายืนยันเสียงแข็งว่าขอเป็นคนพายเอง เนื่องจากตอนนี้ไม้พายถูกทำลายไปแล้วสองอัน ในเรือเหลือไม้พายสำรองเพียงแค่อันเดียว ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาอีกเห็นทีพวกเขาคงต้องติดอยู่กลางลำธารแน่แล้ว
เรี่ยวแรงของผู้ชายนั้นอย่างไรก็มากกว่าผู้หญิง ปักษ์พายเรืออย่างชำนาญ เรือแล่นตรงไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็ว ท่อนแขนแข็งแกร่งของเขาควบคุมไม้พายให้เรือแล่นได้ดั่งใจหนึ่งแต่ไม่รุนแรง เรือแล่นรวดเร็วทว่านุ่มนวล ผู้หญิงสองคนที่โดยสารอยู่กวักน้ำใสสะอาดจากลำธารขึ้นมาเล่น ชื่มชมความกระจ่างบริสุทธิ์ของน้ำ- Spoiler:
เรือมาถึงฝั่งอย่างรวดเร็วเหลือเกินในความรู้สึกของพวกเขา… ทุกคนต่างหวังให้เวลาเดินช้าลงอีกสักหน่อย
และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับ
ทุกคนทยอยกันขึ้นรถ แต่ละคนมีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ไม่อยากกลับ
ปักษ์แยกตัวออกไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนในชั้นเรียน ส่วนเนฟและซู่เซี่ยต้องรอจนกว่าจะส่งนักเรียนขึ้นรถจนหมดก่อนจึงจะสามารถขึ้นไปนั่งยังที่โดยสารสำหรับอาจารย์และบุคลากร
“เป็นความทรงจำที่ดีเนอะ…” เนฟเอ่ยเสียงเบาราวกับกำลังพูดกับตนเอง แต่กระนั้นซู่เซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ยังได้ยิน
ซู่เซี่ยยิ้ม เธอเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
เนฟนั้นมีนิสัยกลัวคน แต่วันเวลาที่ผ่านมาในค่าย เธอดูออกว่าอีกฝ่ายสนุกสนานและผ่อนคลายอย่างแท้จริง ไม่ได้เกร็งเหมือนเวลาอยู่ร่วมกับคนอื่นเช่นปกติ
ทั้งสองเดินขึ้นรถ ประตูถูกปิดลง เมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวผู้อำนวยการก็กล่าวปิดงานสั้นๆ ส่วนพิธีปิดงานอย่างเป็นทางการนั้นคงเริ่มขึ้นเมื่อถึงโรงเรียนแล้ว และก็คงเหมือนโรงเรียนอื่นๆ ที่หลังกลับจากค่ายหรือทัศนศึกษา คุณครูมักจะต้องสั่งรายงานหรือบันทึกผลกิจกรรมให้นักเรียนทำอยู่เสมอ
รถเคลื่อนตัวจากมา ทิ้งผืนป่าไว้ด้านหลัง ครู่เดียวก็ไกลจนมองไม่เห็น
หากแม้จะมองไม่เห็นแล้ว แต่ความทรงจำอันแสนสุขยังคงติดตรึงอยู่ในใจของทุกคนไม่เสื่อมคลาย
เนฟหลับตาลง ยิ้มอย่างมีความสุขเช่นเดียวกับคนอื่น…
การมาเข้าค่ายครั้งนี้ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน…
- ตำแหน่งหน้าที่สมาชิก:
- ประชุมหาไอเดียงาน ร่วมกัน
ภาพ เนฟ ชวอ
ลงสี เนฟ/ปักษ์
เสนอแนะเนื้อหา เนฟ ชวอ/ปักษ์
เนื้อเรื่อง ซู่เซี่ย เรียบเรียงและแก้ไข ปักษ์
ตรวจสอบขั้นสุดท้ายก่อนนำเสนอ ร่วมกัน
นำเสนอ(โพส) ซู่เซี่ย
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Re: ROOMMATE 3 : เข้าค่ายปิดเทอม
Fri 17 Jul - 2:12:40
ขออนุญาตเริ่มเรปใหม่เนื่องจากเรปบนเต็ม ไม่สามารถใส่ข้อความเพิ่มได้ T^T
C. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมมาก 80% ประทับใจมากแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
C. รางวัลสำหรับคู่ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมมาก 80% ประทับใจมากแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน
- ULTRA SQUARE STAMP
[ ROOMMATE & SPECIAL QUEST ONLY ]
ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจรูมเมทและภารกิจพิเศษ มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
เพชรสีชมพูผสมทองคำแท้ มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจ
อย่างยอดเยี่ยมเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน- +1,500,000 Spirit Point
ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการ
แลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง
SILVER HONOR DEGREE TROPHY
ถ้วยเกียรติยศเงินแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียน
จัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการ
- Narin's Comment:
- กลุ่มนี้มาแบบชิลๆเรียบง่ายตั้งแต่ขั้นตอนการทำภารกิจไป
จนถึงตัวภารกิจเอง แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นเนื้อหาสั้นๆที่แฝง
ไปด้วยรอยยิ้มมากมายเลยนะครับ ทั้งมิตรภาพของซู่เซี่ย
และเนฟที่ไม่มีฉากให้เห็นกันบ่อยๆ ไหนจะปักษ์ร่วมด้วย
อีกคน เป็นภารกิจที่มาแบบไม่ยาวมากแต่ก็แฝงแง่คิด
ไว้มากมาย ทั้งเรื่องธรรมชาติ ไหนจะเรื่องความแตกต่าง
ของครูกับนักเรียนแต่สุดท้ายที่เนฟก็ฟังในสิ่งที่ปักษ์พูด
เรียกได้ว่าถึงจะสั้นๆแต่ก็ได้อะไรมากมายเชียวละครับ
ถ้วยเงินใบนี้ให้กับไอเดียการสลับกันวาดรูปให้คนนึง
วาดคนนึงลงสี วิธีนี้ใช้เวลามากกว่าปกติแถมถ้าลายเส้น
หรือวิธีการลงสีไปกันไม่ได้ก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้ออกมา
ไม่ดีได้ แต่ทุกคนก็ยังกล้าที่จะลอง และผลที่ออกมา
ก็น่ารักมากเลยครับ พยายามกันได้ดีมาก!!
Signature ------------------------------------------------>
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|