- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
On the way from Frankfurt
Mon 20 Nov 2017, 01:39
Cr.Art.Allis
- Part I : By.Nearmoki-2b:
- วันนี้นักการทูตประจำโรงเรียนเพื่อผู้พิการในนามของควิ้นท์
นั้นแต่งตัวหลายชั้นกว่าปกติ ชั้นในสุดเป็นเสื้อเชิ๊ตสีขาว
ซ้อนด้วยเสื้อกั๊กไหมพรมสีน้ำตาลเบจ และทับอีกชั้นด้วย
เสื้อโค้ทกันหนาวตัวยาวสีน้ำเงินเข้ม เสื้อผ้าหนาชนิดที่ว่า
ถ้าอยู่ในประเทศไทยคงละลายกลายเป็นน้ำ
ชายหนุ่มร่างสูงสะพายกระเป๋ากีต้าร์ใบใหญ่ยืนต่อแถวอยู่ด้าน
หลังผู้คนมากมาย ตอนนี้เขากำลังอยู่ในสนามบิน Frankfurt
ประเทศเยอรมนี พึ่งทำงานเสร็จจากเมืองนี้และกำลังจะเดินทาง
ไปต่อ ถึงจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่บางครั้งนักการทูตคนนี้ก็
จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ส่วนใหญ่เพื่อเยี่ยม
บ้านผู้ปกครองต่างชาติที่มีความประสงค์อยากส่งลูกเข้าเรียน
ในโรงเรียนที่เขาทำงานอยู่
ถึงแม้คนขี้เหงามักจะบ่ายเบี่ยงงานที่ต้องห่างจากโรงเรียนนาน
จนเกินไป แต่ครั้งนี้เป็นหนึ่งในครั้งที่ปฏิเสธไม่ได้ เขาจึงได้แต่
ทำใจพา ‘แฟน’ แบกขึ้นหลังและเดินทางมาถึงจุดนี้ อย่างน้อย
มีกีต้าร์คู่ใจอยู่ด้วยก็ทำให้รู้สึกหายเหงาขึ้นมาบ้าง....
.
.
.
“ขออภัยด้วยครับ สัมภาระของคุณมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะนำ
ติดตัวขึ้นเครื่องได้”
ประโยคนั้นทำเอาใจหายวาบ เขาเงยหน้ามองชายพนักงาน
ที่เค้าท์เตอร์เช็คอินของสายการบิน นอกจากเสียงเรียบแล้ว
ก็มีเพียงดวงตาเย็นเฉียบที่มองมายังกระเป๋ากีต้าร์ที่สะพาย
อยู่บนหลัง
“ทำไมล่ะครับ? ตอนขามาจากไทยไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย”
ปกติแล้วแล้วเขาไม่ใช่คนมากเรื่อง หากครั้งหนึ่งเคยโหลด
กีต้าร์เข้าใต้ท้องเครื่องแล้วโดนโยนเสียจนสุดที่รักของเขา
คอหักเป็นสองท่อน ครั้งนี้จึงค่อนข้างไม่ไว้ใจ ร่างสูงก้าว
ถอยหลังมาเล็กน้อยโดยที่ไม่รู้ตัว
“แต่ละสนามบินมีกฎแตกต่างกันไปน่ะครับ สำหรับที่นี่แล้ว
สัมภาระของคุณขนาดใหญ่เกินไป เราคงต้องขอให้คุณ
โหลดสัมภาระใต้ท้องเครื่องแทน”
แม็กเวลส่ายหน้าช้าๆกับตัวเอง ด้วยความเป็นคนเก็บกริยา
ไม่เก่ง ความกังวลจึงถูกแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน
“ช่วยเช็คให้อีกครั้งได้รึเปล่าครับ? ผมเคยเดินทางไฟท์นี้
มาก่อน แต่คราวนั้นเอาขึ้นเครื่องได้ไม่เห็นมีปัญหาเลย”
ชายหนุ่มกล่าวระหว่างที่กำสายสะพายกระเป๋าแน่นขึ้นเล็กน้อย
รอยยิ้มสดใสที่เคยมีเมื่อตอนกล่าวทักทายเริ่มเลือนหายไป
หากรู้จักกันดีจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้รักดนตรียิ่งกว่าผู้หญิงคนไหน
เขาถนุถนอมเครื่องดนตรีราวกับเป็นคนรัก การพกพวกมัน
เดินทางไปด้วยจึงเหมือนการมีเพื่อนร่วมทาง เป็นสิ่งที่ทำให้
อุ่นใจขึ้นระดับหนึ่ง
หากตอนนี้ไม่ได้กังวลเรื่องเล็กน้อยอย่างการไม่มีเพื่อนร่วมทาง
แต่เป็นห่วงสุขภาพของกีต้าร์ตัวโปรดที่จะถูกโยนไปมาระหว่าง
การเคลื่อนย้ายต่างหาก
“ไม่ได้จริงๆครับ ยังไงกฏก็ต้องเป็นกฏ”
“คุณอาจเข้าใจผิดไป...”
คนแย้งก้าวถอยหลังไปอีกก้าว มือกำกระเป๋ากีต้าร์แน่นขึ้น
ใจเชื่อมั่นว่าพนักงานคนดังกล่าวจะต้องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน
เพราะนี่ก็ไม่รู้ครั้งที่เท่าแล้วที่เดินทางด้วยสนามบินแห่งนี้
หากก็ไม่เคยมีปัญหาเลยสักคราว
“คุณใส่อะไรไว้ในนั้นเหรอครับ?”
ชายพนักงานหรี่ตามองท่าทีหวาดระแวงของหนุ่มผู้โดยสาร
จริงอยู่ที่แม็กเวลอาจดูลนลานเกินกว่าเหตุไปบ้างสำหรับการ
ปกป้องกีต้าร์ตัวหนึ่ง
“แฟนผม... ไม่สิ.. หมายถึงกีต้าร์...”
การสนทนาถูกยื้อออกไปด้วยการเจรจาของนักการทูต ทว่า
น่าเสียดายที่ทักษะการต่อรองที่มีไม่สามารถนำมาใช้กับ
สถานการณ์เบื้องหน้าได้ พวกเขาคุยกันอยู่สักพักจนมี
พนักงานของสายการบินอีกคนหนึ่งเดินเข้ามา ผู้มาเยือน
เข้าไปกระซิบกระซาบกับเพื่อนร่วมงาน
“นั่นคือผู้โดยสารคนที่พึ่งมาสอบถามเรื่องหมอประจำ
เครื่องบินไม่ใช่เหรอ?”
ผู้มาเยือนเอ่ยเสียงเบาข้างหู
“เขาป่วยเหรอ?”
“ใช่ น่าจะเป็นโรคทางจิต เขาถามหาว่าถ้าอาการกำเริบ
จะมีหมอพอดูแลได้หรือเปล่า?”
ถึงจะเสียงเบากันเพียงใด แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลบวกกับ
ความเป็นคนหูดี ทำให้ผู้โดยสารได้ยินเสียงเหล่านั้นได้ไม่ยาก
เป็นเรื่องจริงที่เขาถามหาแพทย์ เพราะการเดินทางครั้งนี้เป็น
ไฟท์กลางคืน และเดือนนี้เขาก็ยังไม่ได้ ‘อาการกำเริบ’
ถึงตอนนี้จะสบายดีแต่ก็รู้ตัวดีว่าอาจไม่สบายขึ้นมาคืนไหนก็ได้
เลยลองถามเผื่อไว้เพราะเป็นห่วงคนรอบข้าง
“ก็ไม่รีบบอกล่ะว่าเป็น ’คนบ้า’ ปล่อยให้ยืนเถียงอยู่ตั้งนาน”
ดวงใจของแม็กเวลกระตุกวูบ ใบหน้าเจื่อนสีไปถนัดตา สิ่งที่
ได้ยินไม่ใช่คำที่คุ้นชิน และไม่ดีต่อใจเขาสักเท่าไหร่
“เนี่ย หอบอะไรมาก็ไม่รู้ บอกให้โหลดใต้ท้องเครื่องก็ไม่ยอม
ไม่รู้จะหวงอะไรหนักหนา แถมยังเรียกว่าแฟนอีก”
“แล้วถ้า ‘แฟน’ เขาอยู่ในนั้นจริงๆล่ะ....”
ทั้งสองคนหันขวับมองผู้โดยสารเบื้องหน้าด้วยสีหน้าหวาดระแวง
“บ้าน่า.. กระเป๋าใบไม่ได้ใหญ่ขนาดใส่คนได้สักหน่อย”
พนักงานพากันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก สายตาที่มองมาเต็มไป
ด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะกลับไปคุยกันด้วยความระมัด
ระวังด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมจนแม็กเวลจับคำไม่ได้ เวลา
ผ่านไปชั่วครู่ก่อนที่พวกเขาจะพยักหน้าให้กันและหันกลับ
มาหาผู้โดยสารอีกครั้ง
“ผู้โดยสารเดินทางคนเดียวหรือครับ?”
“ครับ?....”
นักการทูตงุนงงกับคำถาม เขาเดินทางไปทำงานโดยลำพัง
มาโดยตลอด ครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งอื่นๆ
“ใครปล่อยให้คนโรคจิตเดินทางคนเดียวเนี่ย ให้ตายเถอะ”
เสียงกระซิบนั้นเป็นเพียงการสถบแผ่วเบากับตัวเอง
“ขอค้นกระเป๋าหน่อยได้ไหมครับ?”
แม็กเวลส่ายหน้าด้วยความไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องของ
รักของหวง แถมคนตรงหน้าก็ดูไม่น่าไว้ใจชอบกล
“คุณจะดูกีต้าร์ไปทำไมครับ?....”
“แล้วถ้ามันไม่ใช่กีต้าร์ล่ะครับ?”
“หมายความว่ายังไง?....”
ถึงจะไม่เข้าใจความหมายแต่ร่างกายที่รับรู้ถึงอันตรายก็พา
เจ้าตัวถอยหลังไปอีกหลายก้าว หากคราวนี้พนักงานทั้งสอง
เองก็เริ่มขยับออกจากเค้าท์เตอร์และเดินตามเขามาด้วย
รู้ตัวอีกทีก็ถูกคนในเครื่องแบบทั้งสองล้อมเอาไว้แล้ว
“พวกคุณจะทำอะไร?...”
เสียงนั้นกล่าวสั่นคลอน เหงื่อผุดขึ้นบนขมับทั้งๆที่อากาศ
ไม่ได้ร้อน ดวงตาสีเทากรอกมองล่อกแล่กอย่างไม่เข้าใจความ
สิ่งที่เห็นคือพนักงานที่จ้องมองมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
กับผู้คนรอบข้างที่เริ่มหยุดมองอย่างหวาดระแวง ทุกสายตา
ที่ได้สบ ไม่มีแววตาใดสื่อความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าเป็นแค่กีต้าร์แล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมให้ดูล่ะ!!”
เสียงดังเป็นสิ่งเรียกให้หันกลับมอง หากตอนนี้ความสนใจของ
แม็กเวลไม่ได้อยู่ที่กีต้าร์ สถานการณ์ที่แลดูไม่ปลอดภัยทำให้
เขาตื่นตกใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? พวกคุณต้องการอะไรจากผม?...”
ถึงแม้จะตื่นกลัวเพียงใดแต่ก็เลือกใช้โทนเสียงสุภาพ
การกระแทกกระทั้นเสียงเป็นมารยาทที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่สมควร
ใช้กับคนแปลกหน้า นั่นคือสิ่งที่ถูกปลูกฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก
ช่างน่าเศร้าที่ความกลัวของเขาส่งไปไม่ถึงผู้อื่น มิหนำซ้ำยัง
ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นท่าทีร้อนตัวหวาดระแวง
“ต้องการยืนยันว่าคุณไม่ได้ทึกทักว่าเด็กผู้หญิงแปลกหน้า
เป็นแฟนตัวเองและลักพาตัวมายังไงล่ะ!!”
“!?!”
แม็กเวลไม่เข้าใจอะไรเลย หากพอเห็นพนักงานที่กระโจนเข้าหา
ขาก็พาหนีห่างอัตโนมัติ ทำไมล่ะ? ทำไมถึงคิดแบบนั้นกันล่ะ?
หน้าตาเขาดูไม่ดี แต่งตัวไม่น่าเชื่อถืองั้นเหรอ? ถึงจะเสื้อหลุด
ออกจากกางเกงนิดหน่อยแต่ก็คิดว่าแต่งตัวสุภาพดีนี่นา?
‘โลกภายนอกน่ะ ไม่เหมือนภายในโรงเรียนเราหรอกนะครับ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจและยอมรับในตัวเธอ แต่เมื่อเวลา
แบบนั้นมาถึง นั่นเป็นเวลาที่เธอจะต้องบอกให้พวกเขารับรู้
ว่าเธอไม่ได้เป็นอันตรายต่อใคร’
คำของผู้อำนวยการนรินทร์ดังเข้ามาในหัว นักการทูตคิดว่า
ตัวเองรู้จักโลกภายนอกดีอยู่แล้ว เพราะทำงานนอกโรงเรียน
มาโดยตลอด และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกเข้าใจผิด
หากไม่บ่อยนักที่จะถูกเข้าใจผิดอย่างรุนแรงเช่นนี้
“พวกคุณกำลังเข้าใจผิด ได้โปรดฟังผมก่อน ผมอธิบายได้”
เขาร้องบอกขณะที่โดนพนักงานร่างใหญ่กว่าสองคนจับ
กดลงกับพื้น พวกเขาพยายามกระชากกระเป๋ากีต้าร์ออก
จากหลังผู้โดยสาร
“ที่เราต้องทำก็เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารคนอื่นๆ
นะครับ ยอมแต่โดยดีเถอะ!!”
‘ความปลอดภัย?’
คำนั้นดังก้องอยู่ในหัวผู้ฟัง ตอนนี้เขากำลังทำให้ผู้อื่น
รู้สึกไม่ปลอดภัยงั้นเหรอ? ทั้งๆที่ตัวเขาเองก็กำลังรู้สึก
ไม่ต่างกัน ความสับสนมากมายตีวนอยู่ในสมอง
เขาได้แต่ดึงกระเป๋ากีต้าร์ของตัวเองเอาไว้
รู้สึกไม่ปลอดภัย... รู้แค่ต้องปกป้องของสำคัญเอาไว้
ตอนนี้ชายหนุ่มผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นโจรลักพาตัวนั้น
กำลังกอดกระเป๋าใบใหญ่ของตนเอาไว้แน่น ราวกับ
เด็กน้อยที่กำลังปกป้องของเล่นชิ้นรักเอาไว้
“ขอร้องล่ะ ฟังก่อนได้มั้ย? ผมอาจจะมีโอกาส
ไม่สบายก็จริง แต่ตอนนี้ผมสบายดี เป็นคนปกติดี!!”
“คนปกติเขาไม่พูดว่าตัวเองเป็น ‘คนปกติ’ หรอกครับ!!”
ชายหนุ่มปกติหน้าชาไปทั้งหน้า ราวกับภาพในหัวขาว
โพลนไปชั่วขณะ ความรู้สึกอันเอ่อร้นทำเอาตัวชาไป
ทุกโซนประสาท ในเวลานั้นเองที่พนักงานทั้งสองยึด
กระเป๋าไปจากเขาได้สำเร็จ
ทันทีที่รู้สึกตัวแม็กเวลก็รีบกุลีกุจอจะเอาของของตนคืน
หากเสียงดังโวยวายและผู้คนที่มุงดูเป็นตัวเรียกให้
ผู้รักษาความปลอดภัยเข้ามาดึงตัวเขาเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ!?!”
คนพึ่งมาเอ่ยถามพนักงานที่กำลังจะเปิดกระเป๋า
“ผู้โดยสารสติไม่ค่อยดีน่ะครับ ไม่รู้ว่าพกของอันตราย
ขึ้นเครื่องรึเปล่า เลยขอตรวจดู แต่ผู้โดยสารขัดขืน”
ชายหนุ่มผมทองรีบส่ายหน้าเร็วไว ก่อนหันหาคนที่
ล็อคตัวเขาอยู่เพื่อขอความช่วยเหลือ
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะครับ ปกติผมเอากีต้าร์ขึ้น
เครื่องได้ไม่เคยมีปัญหาเลย ผมแค่พยายามจะบอก
ว่าเขาเข้าใจผิ--”
พูดยังไม่จบประโยคดีก็ถูกแทรกขึ้นเสียก่อน
“ผู้โดยสารเป็นผู้ป่วยทางจิตจริงๆค่ะ เขาแจ้งมาแต่ต้น
แล้วว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้ที่นั่งแถวที่ไม่ค่อยมีคน
เพราะอาจอาการกำเริบ”
พนักงานสาวอีกคนที่อยู่หน้าเค้าท์เตอร์ข้างๆตะโกนบอก
ตากำลังอ่านข้อมูลที่เขียนอยู่ในคอมพิวเตอร์ เสียงตะโกน
นั้นดังพอที่จะทำให้คนรอบข้างที่มุงดูพากันถอยห่าง
ทีละก้าวสองก้าว
“แต่ตอนนี้ผมสบายดี!!”
ดวงตาสีเทามองออกไปยังท้องฟ้าสีครามนอกหน้าต่าง
กระจกใส เขาคือ แม็กเวล ซอนเนอร์ ที่สติสัมปชัญญะ
ครบถ้วน และกำลังรู้สึกสับสน ถ้าจะบอกว่าไม่โมโหเลย
ก็คงเป็นเรื่องโกหก แต่ที่มากกว่าโทสะคือความหวาดกลัว
กลัว ‘คนปกติ’ ที่กำลังล็อคตัว รื้อข้าวของ และยืนมุงเขา
ถึงแม้จะดิ้นแต่ก็เกรงว่าศอกจะไปกระทุ้งโดนคนเบื้องหลัง
หรือไม่ นั่นอาจเป็นเหตุที่ทำให้ดิ้นไม่หลุดเสียที
เพราะเขาคือ แม็กเวล ซอนเนอร์ ที่อ่อนโยน ไม่สู้คน
และไม่ชอบใช้กำลัง
คนบนพื้นได้แต่เบิกตามองมองกระเป๋าที่ถูกเปิดออกเผย
ให้เห็น ‘กีต้าร์’ ออครูสติกสีเบจตัวโปรดที่ถูกพันธนาการ
ไว้เป็นอย่างดี เมื่อนั้นเองที่แม็กเวลหยุดดิ้น ทางฝั่งพนักงาน
เองก็หยุดมือ ฝั่งคนมุงยืนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทุกคนมองกีต้าร์
ธรรมดาๆตัวหนึ่งเป็นสายตาเดียวกันราวกับเวลาถูกหยุดไว้
ที่ภาพนั้น
พนักงานทั้งสองค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผู้โดยสารด้วยสีหน้าที่
เปลี่ยนไป ความหวาดระแวงที่เคยมีถูกแปลผันเป็นสีหน้าเจื่อนๆ
และรอยยิ้มแห้งๆที่พยายามดันขึ้นบนมุมปาก
“........”
คาดว่าน่าจะตั้งใจพูดอะไรสักอย่าง หากไม่มีเสียงใดเล็ดรอด
ออกมา แม็กเวลได้แต่มองภาพเบื้องหน้า หัวใจของเขายัง
คงเต้นระรัวด้วยความสับสน เขาหันมองคนที่ล็อคตัวเองไว้
ด้วยสายตาอ้อนวอนเป็นเชิงบอกให้ปล่อย ผู้รักษาความ-
ปลอดภัยค่อยๆปล่อยร่างสูงออกจากพันธนาการ ทันทีที่
หลุดออกมาเขาก็คลานไปรูดซิปปิดกระเป๋ากีต้าร์ลงตามเดิม
ทั้งๆที่ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที หากสำหรับ
แม็กเวลแล้วมันกลับเป็นช่วงเวลาอันยาวนานเหมือนไม่มี
ที่สิ้นสุด วินาทีที่เขาโอบกระเป๋ากีต้าร์บังหน้าเดินแทรก
ฝูงชนออกมา แม้จะสาวเท้าไวเพียงใดแต่กลับให้ความ
รู้สึกเหมือนระยะทางช่างแสนยาวไกล ดวงหน้าที่หลบ
อยู่หลังกระเป๋าเรือนสีแดงก่ำ เป็นสีที่เกิดจากความ
อับอายขายหน้า
ถึงแม้สุดท้ายแล้วจะได้รับการขอโทษ และได้รับการ
อนุญาตให้นำกีต้าร์ขึ้นเครื่องเนื่องจากเป็นการเข้าใจผิด
ของทางสายการบิน ถึงแม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี ถึงแม้
ว่าร่างกายจะไม่ได้เจ็บปวดอะไร หากความรู้สึกของเขา
ในตอนนี้
มันยากเกินกว่าจะอธิบาย...
.
.
.
ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินมายังจุดที่ไม่ค่อยมีผู้คน เขามอง
ซ้ายขวาเพื่อสำรวจรอบข้างอีกครั้ง ถึงได้ตัดสินใจทิ้งตัว
ลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในแถวที่ไม่มีใครนั่งอยู่เลย เขาวาง
กระเป๋ากีต้าร์ลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ลูบมันเบาๆด้วยความ
ถนุถนอม
“ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอต้องมาลำบากกับฉันด้วย”
ไม่ใช่ทุกครั้งที่เขาเอ่ยเสียงคุยกับเครื่องดนตรี ใจหนึ่ง
รู้ดีว่าไม่สมควร หากตอนนี้ไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าใครจะ
มองอย่างไร เขาจึงแค่ทำในสิ่งที่อยากจะทำ ชายหนุ่ม
มองนาฬิกาข้อมือก่อนจะส่งข้อความไลน์หาเพื่อนสนิท
ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของโลก แม้จะเวลาไม่ตรงกัน
แต่อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาแทบจะทันที
Maxwell S. : นอนยัง?
J. : ยัง อยู่ไหนแล้ว?
Maxwell S. : สนามบิน คอลหาได้ไหม?
J. : นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ได้ยิน?
Maxwell S. : คอลนะ
Maxwell S. Calling J. >>>
จิณณ์รับสายทั้งที่ยังงุนงง สำหรับเขาที่พิการทางการฟังแล้ว
การคุยโทรศัพท์นั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้น
ก็เลือกที่จะรับสายเพื่อนอยู่ดี
“นายพิมพ์ตอบเอาแล้วกันนะ”
คนปลายสายไม่ได้หยิบโทรศัพท์แนบหู เพียงแต่นำมาจ่อปาก
เวลาที่พูด และยื่นออกไปในระดับสายตาเพื่อรออ่านคำตอบ
”แล้วนี่เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“…………………………….….”
“โหลๆ ได้ยินเปล่า?”
เพราะไม่ได้คำตอบเลยลองเปล่งเสียงที่คิดว่าดังกว่าเก่า
คิ้วหนาขมวดเป็นปม เขาขยับโทรศัพท์ไปมาหวังหาระยะ
รับเสียงที่พอดี ท่าทีเก้ๆกังๆแสดงให้เห็นถึงความไม่คุ้นชิน
ถึงจะเคยถูกขอให้ส่งข้อความเสียงมาบ้าง แต่นี่เป็นครั้งแรก
ที่ได้ ‘โทรคุยกัน’
โดยปกติแล้วแม็กเวลมักจะนึกถึงใจเพื่อนสนิทโลกเงียบ
ของเขาอยู่เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงเรื่องที่จะทำให้เพื่อน
รู้สึกไม่สบายใจ หากครั้งนี้เขาทนไม่ไหว ไม่ว่ายังไงก็
อยากได้ยินเสียง อยากพูดด้วย ต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น...
“……………………………………………………………..…………….”
“พิมพ์ตอบสิ พูดตอบแล้วฉันจะรู้เรื่องได้ไง”
ถึงแม้จะไม่ได้ยินหากความสัมพันธ์อันยาวนานก็พอทำให้
คาดเดาได้
“………………………………………………………………………………………………………”
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
‘แกร๊ก’
สายถูกตัดลงไปทั้งอย่างนั้น ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็มีข้อความ
ถูกส่งมาแทนที่
“ฉันไม่เป็นไร”
“คิดถึงเฉยๆ อยากได้ยินเสียง”
แม็กเวลหยอกล้อทีเล่นทีจริงไปตามประสา น่าแปลกที่
คำตอบที่ได้รับไม่ใช่การหยอกกลับรับมุก ราวกับรู้อยู่แล้ว
ว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงการกลบเกลื่อนหลอกตา
“ดูแลตัวเองด้วย”
“อย่าฝืน”
ไม่รู้ทำไมคำตอบแสนสั้นนั้นถึงได้ทำเอาขอบตาร้าวผ่าว
เขาปิดเปลือกตาลงแน่น มือบีบโทรศัพท์ไว้ราวกับกำลัง
สะกัดกั้นอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดออกมา เสียงลมหายใจ
เข้าออกช้าๆอย่างมั่นคงดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนรอยยิ้มเบาบาง
จะเผยขึ้นบนใบหน้า มันไม่ใช่รอยยิ้มสดใสน่ามอง
เป็นเพียงรอยยิ้มขมขื่นของคนที่พยายามต่อสู้กับความ
โศกเศร้าภายในใจ
เพราะรู้ว่าไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพัง....“พวกเขาบอกว่าฉันเป็นบ้า”
“ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าโลกภายนอกเป็นยังไง แต่ก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้”
“บางทีฉันก็สงสัยว่าระหว่าง ‘คนปกติ’ กับ ‘พวกเรา’ ใครกันแน่คือฝ่ายที่น่ากลัว”
Signature ------------------------------------------------>
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Re: On the way from Frankfurt
Mon 20 Nov 2017, 03:20
- Part II :
- -บ้าน-
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า
จิณณ์มองมือถือที่ยังค้างหน้าไลน์ของแม็กเวลอยู่
ค้างอยู่ตรงนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว
คำสุดท้ายของหน้าแชทจบอยู่ที่ ‘เดี๋ยวถึงกรุงเทพแล้วจะไลน์ไปหานะ’
ตอนที่คุยกัน จิณณ์รู้สึกได้ว่าแม็กเวลแปลกไปจากเดิม
แม็กพูดอะไรบางอย่างระหว่างที่คอลกัน
คำพูดที่จิณณ์ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี
แม้ภาพจะไม่ชัดเจนเท่าอยู่ต่อหน้า แต่เขาเห็นความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ใน
ดวงตาของเพื่อน ความอึดอัด ความกังวล ความเสียใจ
ความรู้สึกทางลบที่เจ้าตัวพยายามกดเอาไว้แทบระเบิดออกมาตรงนั้น
แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเชื่อว่าเพื่อนจะผ่านมันไปได้
แต่ความเชื่อกับความเป็นห่วงมันคนละเรื่องกันไม่ใช่เหรอ
ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นห่วงเพื่อนอยู่ดี
อืมม์.. ห่วงมากด้วย
จิณณ์ถอนหายใจยาวแล้วพิมพ์ข้อความลงไปในช่องแชท
.
.
.
แม็กเวลเปิดมือถืออีกครั้งตอนลงจากเครื่องบิน
ตอนนี้เขาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว
ผ่านด่านตรวจทั้งหลายแหล่มาโดยไม่มีปัญหาอะไรอีก
ที่ไหล่ยังคงสะพาย ‘แฟน’ สุดที่รักเอาไว้
มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเดินทาง
มืออีกข้างหยิบมือถือขึ้นมาเช็ค
เห็นข้อความสุดท้ายจากเพื่อน
J. : เย็นนี้จะกินอะไร
ความห่วงใยที่มาในรูปคนปากแข็งก็เป็นแบบนี้เอง
แม้ในใจจะยังหน่วงๆ แต่แม็กเวลอดยิ้มกับข้อความนั้นไม่ได้
Maxwell S. : ถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพแล้วจย้าาา~
Maxwell S. : กินอะไรก็ได้ที่นายทำ
ยังเดินไม่ทันถึงรถ จิณณ์ก็ตอบกลับมาแล้ว
J. : เมื่อวานฉันเพิ่งปั้น the thinker เสร็จไป กินอันนั้นละกันเนอะ
Maxwell S. : มันกินได้ที่ไหนกันเล่าาา
แม็กเดินมาถึงรถและขนของขึ้นรถเสร็จพอดีตอนที่จิณณ์ตอบข้อความ
J. : 55555
J. : รีบมาละกัน
Maxwell S. : อะเคเบย ขึ้นรถแล้ว
J. : อย่าซิ่งนะ
Maxwell S. : บอกให้รีบกลับแต่ห้ามซิ่งอ่ะนะ 555
J. : เออ เป็นห่วง
คำว่า’เป็นห่วง’ที่นานๆจะหลุดออกมาจากคนขี้เก็กซักทีทำแม็กเวลยิ้มออกมาอีกครั้ง
หลังจากยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียวซักพักถึงนึกขึ้นได้ว่าลืมตอบเพื่อน เขาพิมพ์ตอบกลับไป
Maxwell S. : เออ ขอบใจ
Maxwell S. : ตั้งสำรับรอเลย!!
.
.
.
หมดเวลาพักเที่ยงแล้ว
จิณณ์มีสอนม.6ตอนคาบบ่าย
เขาเก็บมือถือลงกระเป๋า พยายามตั้งสมาธิกับการสอน
และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่พะวงถึงเพื่อน
จากที่คุยกันล่าสุด เขารู้สึกว่าเพื่อนอาการดีขึ้น..มั้ง
เอาเป็นว่าเขาหวังว่าเพื่อนจะอาการดีขึ้นก็แล้วกัน
แม้จะบอกว่าพยายามไม่คิดถึง
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็สอนไปคิดไปอยู่นั่นเอง ว่าเย็นวันนี้เขาจะทำอะไรให้เพื่อนกิน
ยิ่งใกล้หมดคาบ เขาก็ยิ่งใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
ถึงกับเผลอหลุดพูดคำว่า ‘ราดหน้า’ ออกไป ตอนกำลังสอนเด็กๆถึงความงามของ
‘โมนาลิซ่า’ อันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของจิตรกรเอกแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
เด็กๆพากันหัวเราะด้วยเข้าใจว่าคุณครูกำลังเล่นมุก
คุณครูก็หัวเราะแห้งๆคลอไปด้วย ในใจรู้สึกผิดที่ห่วงเรื่องเรื่องอื่นมากกว่าการสอน
จิณณ์พยายามตัดเรื่องเพื่อนไปจากสมอง
โฟกัสกับการสอนเท่าที่เขาจะทำได้ในตอนนี้
จนถึงตอนสั่งการบ้านในช่วงท้ายคาบที่มีเสียงโห่เป็นลูกคู่
เด็กๆไม่ได้โห่อย่างจริงจังนักหรอก
พวกเขาเองก็รู้ งานที่ครูพี่จิณณ์สั่งไม่ได้ยากเกินความสามารถ
เป็นพวกเขาเองที่รู้ว่าครูคนนี้ใจดีพอที่จะล้อเล่นได้ในระดับหนึ่ง
และถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ครูคนนี้ก็สนิทสนมกับนักเรียนมากพอ
ที่จะทำสีหน้าตลกๆล้อเลียนพวกเขากลับไปแล้ว
แต่ไม่ใช่กับวันนี้ ครูจิณณ์รีบร้อนเกินกว่าจะสนใจเสียงโห่(ที่เขาไม่ได้ยิน)
สั่งการบ้านพร้อมระบุวันส่งเรียบร้อย บอกลาเสร็จครูก็วิ่งฉิวออกจากห้อง
ทิ้งเสียงโห่เป็นแบ็คกราวน์ไล่หลัง
“ครูพี่จิณณ์รีบไปไหนหว่า” ใครบางคนถามขึ้นมา
“ปวดฉี่รึเปล่า เห็นลนๆมาสักพักแล้ว” ใครอีกคนสันนิษฐาน
“รีบขนาดนั้น น่าจะข้าศึกบุก” อีกเสียงคาดเดา
“หรือว่าหิว?” อีกคนว่า “เห็นพูดถึงราดหน้าด้วย”
“เป็นไปได้” หลายเสียงสนับสนุน
“แต่เพิ่งกินข้าวเที่ยงมาเองนะ” ใครสักคนพูด
เสียงเริ่มแตกออกเป็นหลายกระแส
สุดจะคาดเดาว่าครูพี่จิณณ์รีบไปไหน
จนคุณครูคาบต่อไปเข้าสอน
พวกเขาจึงหยุดข้อถกเถียงไว้เพียงเท่านั้น
ตกลงกันด้วยสายตา
เจอกันครั้งหน้าค่อยถามก็คงไม่สายเกินไป
.
.
.
ในส่วนของคนรีบนั้น
เขาวิ่งกลับมาถึงห้องพัก โยนกระเป๋าไว้บนโซฟา
รื้อตู้เย็นหาของที่พอจะเอามาทำกินได้
ล้างๆ หั่นๆ สับๆ ผัดๆ
ไม่นานอาหารจานเด็ดก็เสร็จสมบูรณ์วางอยู่บนโต๊ะ
จิณณ์เหม่อมองอาหารจานเด็ดของเขาอยู่เกือบสิบห้านาทีด้วยความเวิ้งว้าง
อืมม์..
อาหารที่ทำไว้เริ่มคลายร้อนแล้ว
และถ้าทิ้งไว้จนชืด มันก็จะไม่อร่อย
ว่าแล้วเขาก็ไลน์ไปถามเพื่อน
J. : ถึงไหนแล้ว
ซึ่งก็รู้ว่าเพื่อนขับรถอยู่ จะให้ตอบก็คงเป็นไปไม่ได้
ลองตอบสิ จะตีให้มือหักข้อหาขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นเป็นห่วงโดยใช่เหตุ
ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งนึกได้
แม็กยังมาไม่ถึงโรงเรียนในเร็วๆนี้หรอก
ทำไมเขาถึงต้องรีบหัวฟูขนาดนี้?
เป็นใจเขาเองที่เป็นห่วงเพื่อนจนลนไปหมด
พอได้มานั่งนิ่งๆ ก็เหมือนใจจะเย็นลงบ้าง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นห่วง
ไม่รู้ว่าเพื่อนจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วในตอนนี้
.
.
.
แม็กเวลมาถึงโรงเรียนเกือบค่ำแล้ว
ตอนที่เลี้ยวรถเข้าไปจอด จึงเห็นเพื่อนในชุดเสื้อยืดสีพื้นกับกางเกงนอนขายาว
สีสันสดใสยืนตบยุงรออยู่แถวป้อมยาม คล้ายว่าชวนพี่ยามคุยจนสนิทสนมกันไปแล้ว
“มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย” แม็กเวลถามตอนลงจากรถ ค่อนข้างแปลกใจ
ปกติจิณณ์ไม่เคยมารอถึงที่จอดรถแบบนี้มาก่อน
“มาช่วยขนของ” เพื่อนตอบหน้าตาย “เห็นไปเยอรมันตั้งหลายวัน ของฝากน่าจะเยอะ”
แม้เรื่องราวที่พบเจอยังคล้ายเป็นตุ้มน้ำหนักถ่วงอยู่ในใจ
แต่เมื่อเห็นสายตาที่มองมาก็รู้ ความห่วงใยของคนขี้เก็กเป็นแบบนี้เอง
แม้ไม่พูดออกมาตรงๆ แต่การกระทำของคนตรงหน้าชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร
แม้กระบอกตาจะร้อนผ่าว แต่เป็นอีกครั้งที่เขายิ้มให้กับความปากแข็งของเพื่อน
แม็กเวลรู้สึกในใจชัดเจน
เขาถึงบ้านแล้ว
“ขอบใจนะ” แม็กเวลบอก แน่นอนว่าเพื่อนไม่ได้ยินหรอก ก็เจ้าตัวหันไปเปิดท้ายรถ
หยิบกระเป๋ามาถือเรียบร้อยแล้ว ยังไม่วายหันมาถาม
“ของฝากอ่ะ”
“อยู่ในกระเป๋านั่นแหละ”
.
.
.
“ป่ะ ขึ้นห้อง” จิณณ์บอกตอนที่แม็กหยิบกีตาร์ออกมาถือ
ข้าวของของแม็กไม่ได้มีมากมายจนถือไม่หมดหรอก
ของฝากที่พูดถึงก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร
เขาก็แค่เป็นห่วงมากๆ
ห่วงเสียจนนั่งอยู่ไม่ติดที่
ห่วงจนต้องมาดูให้เห็นกับตาว่าเพื่อนยังอยู่ดี
ก็เท่านั้น…
พวกเขาเดินขึ้นห้องไปด้วยกัน พูดคุย หัวเราะดังเช่นวันวาน
ตุ้มหนักๆในใจแม็กเวลยังไม่ได้หายไปหรอก
แต่แค่มีใครบางคนมาช่วยแชร์น้ำหนักของมัน
แค่นี้ก็เบาลงเยอะแล้ว
.
.
.
END
Signature ------------------------------------------------>
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Re: On the way from Frankfurt
Mon 20 Nov 2017, 03:36
ถ้าสงสัยว่าทำไมรูปประกอบดูหลอกดาวไม่ตรงกับเนื้อหา
ซะทีเดียว เพราะแท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่เนื้อหาที่ร่างไว้ตอนแรก
ตอนแรกกะจะเขียนฉากเวลาที่แม็กทำงานอยู่นอกโรงเรียน
แบบตลกๆ ซึ่งฉากที่เขาโดนยึดกีต้าร์จะให้อารมณ์ประมาณนี้
แต่ตอนที่แต่งจริงปรากฏว่าอารมณ์สวนทางกับเนื้อหานิดหน่อย
จึงออกมาเป็นเนื้อหาที่ทุกคนได้อ่านกันในปัจจุบันครับ....
ุถึงจะออกมาแตกต่างจากที่แพลนไว้ไปหน่อย (หรือไม่หน่อย)
แต่ก็กลายเป็นงานอีกชิ้นหนึ่งที่ชอบมากๆ ชอบเป็นพิเศษที่มี
จิณณ์มาเขียนพาร์ทต่อ ซึ่งไม่ได้เตี้ยมกันเอาไว้ในตอนแรก
ต้องขอบคุณมากๆเลยครับ
ซะทีเดียว เพราะแท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่เนื้อหาที่ร่างไว้ตอนแรก
ตอนแรกกะจะเขียนฉากเวลาที่แม็กทำงานอยู่นอกโรงเรียน
แบบตลกๆ ซึ่งฉากที่เขาโดนยึดกีต้าร์จะให้อารมณ์ประมาณนี้
- Spoiler:
แต่ตอนที่แต่งจริงปรากฏว่าอารมณ์สวนทางกับเนื้อหานิดหน่อย
จึงออกมาเป็นเนื้อหาที่ทุกคนได้อ่านกันในปัจจุบันครับ....
ุถึงจะออกมาแตกต่างจากที่แพลนไว้ไปหน่อย (หรือไม่หน่อย)
แต่ก็กลายเป็นงานอีกชิ้นหนึ่งที่ชอบมากๆ ชอบเป็นพิเศษที่มี
จิณณ์มาเขียนพาร์ทต่อ ซึ่งไม่ได้เตี้ยมกันเอาไว้ในตอนแรก
ต้องขอบคุณมากๆเลยครับ
Signature ------------------------------------------------>
- pangkawjoaประธานนักเรียน
Taira Payakaroon
อาจารย์ภาษาไทย
3212
+586 M 322 K 265
PASSPORT
:
(2280/21000)
:
Re: On the way from Frankfurt
Tue 21 Nov 2017, 08:02
ไปดักตีคนทำป๊าแม็กแป๊บบบ ヽ(`Д´)ノ
ชอบความสัมพันธ์ระหว่างป๊าแม็กซ์กับม๊าจิณณ์จังเลยฮะ
จริงใจ เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก ♡(`ω`)♡
ปล. รูปแรกสีละมุนมากกก ส่วนรูปจิบิก็น่ารักมากเลยฮะ
ชอบความสัมพันธ์ระหว่างป๊าแม็กซ์กับม๊าจิณณ์จังเลยฮะ
จริงใจ เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก ♡(`ω`)♡
ปล. รูปแรกสีละมุนมากกก ส่วนรูปจิบิก็น่ารักมากเลยฮะ
Signature ------------------------------------------------>
初めまして、どうぞよろしくお願いします。
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|