Lesson 61 : In your dreams
5 posters
- Nearmoki-2b
Narin
อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
0
+65 M 413 K 676
Lesson 61 : In your dreams
Fri 30 Jun 2017, 23:51
สวัสดีครับ
ผู้ปกครองของแต่ละคนทั้งน่ารักและมีเอกลักษณ์
เฉพาะตัว เป็นภารกิจที่รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้อ่าน
มากเลยครับ ดีใจที่ได้รู้จักกับผู้ปกครองของ
แต่ละคนเพิ่มขึ้นอีกหน่อยนะ!!
ภารกิจนี้ผมมากับภารกิจกึ่งแฟนตาซีที่จะให้
ทุกคนได้โลดแล่นไปในความฝันกันครับ!!
.
.
.
เมื่อทุกคนหลับตานอน นั่นคือเวลาที่เราอาจ
ได้ไปท่องในดินแดนแห่งความฝัน ความฝัน
มีหลายประเภท ทั้งฝันดี ฝันร้าย ฝันถึงเรื่อง
ที่เคยเกิดขึ้น หรือสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แล้วคุณล่ะ ฝันถึงอะไร?
❤ รางวัลคุณภาพผลงาน
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คสูงกว่ามาตรฐานมาก (100%)
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐาน (80%+)
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้โดดเด่นกว่ามาตรฐาน (75%+)
✎ C. ผู้ที่ทำภารกิจได้ตามมาตรฐานทั่วไป (50%+)
✎ D. ผู้ที่ทำภารกิจได้ต่ำกว่ามาตรฐานควรแก่การพัฒนา (35%+)
❤ รางวัลแห่งความขยัน
.....รางวัลสำหรับแจกให้กับผู้ที่ส่งภารกิจเป็นคนแรกเท่านั้น เพื่อให้กำลังใจผู้ที่มี
ความขยันในการทำภารกิจส่งผู้อำนวยการโรงเรียน
❤ รางวัลเกียรติยศแห่งความสร้างสรรค์
.....ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์
เกินขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้น
อยู่กับผู้อำนวยการโรงเรียนเท่านั้น แม้ผลงานที่เพอร์เฟ็คแต่ถ้าขาดความสร้างสรรค์
ก็จะไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากผลงานไม่ได้สวยจน
น่าตะลึง แต่ถ้าหากมีความสร้างสรรค์ผู้อำนวยการก็สามารถมอบถ้วยเกียรติยศให้ได้...
★ Spectacular Award
.....รางวัล Spectacular จะถูกมอบให้สำหรับผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานได้ประทับใจ
สปอนเซอร์จากบริษัท NOBLEMAN (EST.1990) เป็นอย่างมาก โดยผลงานนั้น
จะต้องมีเสน่ห์ในรูปแบบต่างๆที่ดึงดูดสายตาและจิตใจของสปอนเซอร์ ซึ่งไม่ได้ขึ้น
อยู่กับคุณภาพผลงานแต่อย่างใด แต่จะขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์, จินตนาการ,
เสน่ห์ของผลงาน, ความกลมกล่อมของภาพรวม เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลนี้จะได้
รับการประกาศเกียรติคุณ ณ ความคิดเห็นที่ลงผลงาน และใต้ชื่อกระทู้ภารกิจในหน้า
กระดานภารกิจ พร้อมทั้งของรางวัลดังนี้...
** อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัลนี้ได้โดย "คลิ๊กที่นี่" **
ผู้ปกครองของแต่ละคนทั้งน่ารักและมีเอกลักษณ์
เฉพาะตัว เป็นภารกิจที่รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้อ่าน
มากเลยครับ ดีใจที่ได้รู้จักกับผู้ปกครองของ
แต่ละคนเพิ่มขึ้นอีกหน่อยนะ!!
ภารกิจนี้ผมมากับภารกิจกึ่งแฟนตาซีที่จะให้
ทุกคนได้โลดแล่นไปในความฝันกันครับ!!
.
.
.
เมื่อทุกคนหลับตานอน นั่นคือเวลาที่เราอาจ
ได้ไปท่องในดินแดนแห่งความฝัน ความฝัน
มีหลายประเภท ทั้งฝันดี ฝันร้าย ฝันถึงเรื่อง
ที่เคยเกิดขึ้น หรือสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แล้วคุณล่ะ ฝันถึงอะไร?
ระยะเวลาภารกิจ พิมพ์ว่า:SAT 01/07/17 ; 00.00 TH - SAT 15/07/17 ; 23.59 TH
รายละเอียดภารกิจ พิมพ์ว่า:เขียนนิยายเล่าถึงเหตุการณ์ความฝันของคุณ
จำนวน 1 เรื่อง ไม่กำจัดความยาวเนื้อหา
โดยจะเป็นฝันรูปแบบไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้อง
อ้างอิงบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงเสมอไป
พร้อมทั้งวาดภาพประกอบเนื้อหาอย่างน้อย
จำนวน 1 ภาพ
*คุณ = ตัวละครของคุณ*
กฏการให้สแตมป์ พิมพ์ว่า:ภาพ 50% / เนื้อหา 50%
ภาพตรวจจากสแตนด์ดาร์ดส่วนบุคคล ภาพตรง
กับเงื่อนไขภารกิจหรือไม่ ภาพมีความเกี่ยวข้อง
กับเนื้อหามากน้อยเพียงใด เนื้อหาตรวจจาก
เงื่อนไขภารกิจ ความถูกต้องของภาษาโดยรวม
การจัดบรรทัด ความลื่นไหลของภาษา โดย
ไม่เกี่ยวข้องกับความยาวของเนื้อหา
❤ รางวัลคุณภาพผลงาน
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คสูงกว่ามาตรฐานมาก (100%)
S - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีนิลสุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,500,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐาน (80%+)
A - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,250,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้โดดเด่นกว่ามาตรฐาน (75%+)
B - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีไพลิน สื่อถึงความลึกล้ำ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ดีมากเป็นที่น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,000,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
✎ C. ผู้ที่ทำภารกิจได้ตามมาตรฐานทั่วไป (50%+)
C - CLASS STAMP ตราประทับระดับกลางในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีมรกต สื่อถึงความมั่นคง มีมูลค่า +50 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ปานกลางเป็นที่น่าพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+900,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
✎ D. ผู้ที่ทำภารกิจได้ต่ำกว่ามาตรฐานควรแก่การพัฒนา (35%+)
D - CLASS STAMP ตราประทับระดับต่ำในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีแอเมทิสต์ สื่อถึงความเรียบง่าย มีมูลค่า +35 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจผ่านเกณฑ์ตามที่ได้รับมอบหมายไว้ |
+800,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
❤ รางวัลแห่งความขยัน
.....รางวัลสำหรับแจกให้กับผู้ที่ส่งภารกิจเป็นคนแรกเท่านั้น เพื่อให้กำลังใจผู้ที่มี
ความขยันในการทำภารกิจส่งผู้อำนวยการโรงเรียน
กล่องแห่งความขยัน กล่องของขวัญที่ทางโรงเรียนมอบให้กับผู้ส่งภารกิจหลักเป็นคนแรก เมื่อเปิดกล่องแล้วสามารถเลือกรับสกิลบัฟจำนวน 1 สกิลได้ดังนี้... หรือสามารถใช้แร่ QUAINT ORE จำนวน 20 ชิ้นแลกการใช้งานสกิลบัฟ 1 สกิลจาก... อ่านข้อมูลสกิลบัฟได้ที่ "คลิ๊กที่นี่" |
❤ รางวัลเกียรติยศแห่งความสร้างสรรค์
.....ถ้วยรางวัลแต่ละชนิดจะถูกมอบให้กับ นักเรียน-อาจารย์ ที่มีผลงานสร้างสรรค์
เกินขอบเขตของจินตนาการ โดยระดับถ้วยเกียรติยศและจำนวนที่จะมอบให้นั้นขึ้น
อยู่กับผู้อำนวยการโรงเรียนเท่านั้น แม้ผลงานที่เพอร์เฟ็คแต่ถ้าขาดความสร้างสรรค์
ก็จะไม่ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากผลงานไม่ได้สวยจน
น่าตะลึง แต่ถ้าหากมีความสร้างสรรค์ผู้อำนวยการก็สามารถมอบถ้วยเกียรติยศให้ได้...
GOLDEN HONOR DEGREE TROPHY ถ้วยเกียรติยศทองคำแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก |
SILVER HONOR DEGREE TROPHY ถ้วยเกียรติยศเงินแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการ |
BRONZE HONOR DEGREE TROPHY ถ้วยเกียรติยศทองแดง มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าดึงดูดใจผู้อำนวยการ |
★ Spectacular Award
.....รางวัล Spectacular จะถูกมอบให้สำหรับผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานได้ประทับใจ
สปอนเซอร์จากบริษัท NOBLEMAN (EST.1990) เป็นอย่างมาก โดยผลงานนั้น
จะต้องมีเสน่ห์ในรูปแบบต่างๆที่ดึงดูดสายตาและจิตใจของสปอนเซอร์ ซึ่งไม่ได้ขึ้น
อยู่กับคุณภาพผลงานแต่อย่างใด แต่จะขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์, จินตนาการ,
เสน่ห์ของผลงาน, ความกลมกล่อมของภาพรวม เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลนี้จะได้
รับการประกาศเกียรติคุณ ณ ความคิดเห็นที่ลงผลงาน และใต้ชื่อกระทู้ภารกิจในหน้า
กระดานภารกิจ พร้อมทั้งของรางวัลดังนี้...
** อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัลนี้ได้โดย "คลิ๊กที่นี่" **
+1,000,000 CHIPS เหรียญตราที่ใช้ในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในโรงเรียนหรือการร่วมกิจกรรมพิเศษที่ทางบริษัท NOBLEMAN จัดขึ้น โดยสามารถใช้แต้มสะสมจาก Spirit Point ในการแลกได้ |
+30 QUAINT ORE แร่ธาตุพิเศษที่พบได้ในบริเวณรอบโรงเรียน สามารถนำไปใช้แลกเป็นไอเทมต่างๆที่โรงเรียนกำหนดเอาไว้ได้ แร่ธาตุชนิดนี้จะหาได้ยากเป็นพิเศษ ถ้าไม่ได้เดินรอบโรงเรียนบ่อยๆก็จะไม่มีทางที่จะเจอแร่ธาตุชนิดนี้ได้เลย |
Signature ------------------------------------------------>
- pangkawjoaประธานนักเรียน
Taira Payakaroon
อาจารย์ภาษาไทย
3212
+586 M 322 K 265
PASSPORT
:
(2280/21000)
:
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sun 09 Jul 2017, 22:09
ส่งภารกิจครับผม
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐาน (80%+)
- ดินแดนขนมหว๊านหวาน:
- เพลงเพื่ออรรถรสในการอ่านครับ จะได้รู้สึกน่ารักมากขึ้นฮะ 555+
Cr. Sweetie Secret
ตุ้บ!
เด้งดึ๋งๆๆ~
‘นุ่มนิ่ม’
นี่เป็นความรู้สึกแรกหลังจากที่ร่วงหล่นลงมา
เอ๊ะ? ทำไมอยู่ๆ ผมถึงรู้สึกเหมือนร่วงลงมาจากที่สูงล่ะ พอคิดได้ดังนั้นเลยรีบมองรอบข้างทว่ามันกลับมีเพียงแค่ความมืดมิด หัวคิ้วของผมขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่ความตึงเครียดจะแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
ถึงแม้จะมืดจนมองไม่เห็น แต่สิ่งที่รองรับร่างผมอยู่มันค่อนข้างนิ่มแถมมีกลิ่นหอมจางๆ ด้วย เหมือนกลิ่นขนมเลยแฮะ
อา...ขนมงั้นเหรอ ถ้าใช่จริงๆ นี่อยากลองกินจังเลยแฮะ...เอ๊ย! เดี๋ยวสิ! นี่ไม่ใช่เวลามาเห็นแก่กินนะ ตั้งสติไว้ไทระ นายต้องตั้งสติ!
ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองคงทำหน้าจริงจังสุดๆ ก่อนที่มันจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคลิ้มไปกับกลิ่นขนมอีกแล้ว ให้ตายสิ! แพ้ทางขนมอร่อยๆ ทุกทีเลย!
ทั้งที่ผมพยายามควบคุมสติแท้ๆ แต่กลิ่นของมันก็หอมหวนเหลือเกิน และผมยิ่งต้องควบคุมสติตัวเองมากขึ้นไปอีก เมื่ออยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเพลง เอ่อ...มันเป็นเพลงที่มีชื่อขนมต่างๆ อยู่ในเพลง ทั้งได้ฟังเพลงทั้งได้กลิ่นแบบนี้ ผมแทบจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวแล้วนะ!
ว่าแต่...ทำไมผมถึงได้ยินเสียงเพลง? ผมเป็นคนหูหนวกนะเฮ้ย!
พรึ่บ!
ระหว่างที่กำลังสบสันว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ อยู่ๆ ภาพรอบข้างก็เปลี่ยนไป ฉับพลันนั้นบังเกิดแสงสว่างจนต้องหลับตาพลางเอามือป้องกันใบหน้าด้วย ผ่านไปครู่หนึ่งผมรู้สึกเหมือนแสงมันลดความสว่างลง เลยลองค่อยๆ ลืมตาดูแล้วก็ต้องตกใจอีกครั้ง
จากความมืดมิดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นสวนขนมหลากหลายชนิด ใช่...ผมดูไม่ผิด มันคือสวนขนมจริงๆ มันมีทั้งพุ่มไม้ที่ทำมาจากน้ำตาลปั้น ดอกไม้ที่ทำจากคุกกี้ โซฟาตัวใหญ่ที่ดูยังไงก็ทำจากเค้กผลไม้ น้ำพุช็อกโกแลตลาวา และที่ผมนั่งอยู่คือเบาะรองนั่งแพนเค้ก
อื้อหือออ~ นี่มันสรวงสวรรค์ขนมชัดๆ!
“เร็วเข้าๆ มาเร็ว~”
ขวับ!
“เฮ้ย!”
ยังตื่นตาตื่นใจกับสวนขนมได้ไม่เต็มอิ่ม ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเสียงดังพร้อมกับวิ่งมาทางนี้ และกว่าที่ผมจะได้ตั้งตัวก็โดนเธอดึงให้วิ่งตามมาซะแล้ว
“เดี๋ยวๆ ฮะ!” ผมพยายามร้องบอกแต่ก็ไม่เป็นผล น่าแปลกมาก ทั้งที่เธอตัวเล็กกว่าผมแต่ผมกลับสะบัดเธอไม่หลุด
“เร็วเข้าๆ มาเร็ว~” และเธอยังตะโกนแบบเดิมไปตลอดทาง
จะว่าไปแล้วเธอเป็นคนจริงๆ ใช่ไหมนะ ถึงจะไว้ผมเปียแต่ก็มีหูกระต่ายอยู่บนหัว คือมันเป็นหูกระต่ายจริงๆ ไม่ใช่ที่คาดผมอะไรแบบนี้ด้วย แถมชุดที่ใส่อยู่ก็ดูฟู่ฟ่องเหมือนกำลังจะไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง
อืม…
“เร็วเข้าๆ ถึงแล้วๆ” เธอยังพูดคล้ายๆ แบบเดิมแต่คราวนี้หันหน้ามาพูดกับผมตรงๆ ด้วย
เฮ้ย!!!
ผู้หญิงคนนี้คือ…
“เดียร์!” ชื่อของคนที่คุ้นเคยหลุดออกมาจากปากผมทันที หน้าตาทะเล้นน่ารักอย่างนี้นี่มัน 'เดียร์' ชัดๆ! “เดียร์ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่!”
แล้ววิ่งมาแบบนี้ โรคหอบไม่กำเริบเหรอ!?
“เร็วเข้าๆ อ่ะ นี่คุกกี้ เดียร์แรบบิททำเองเลยนะ”
“...”
“เร็วเข้าๆ เอาคุกกี้ไปงานเลี้ยงน้ำชาด้วย”
“หะ???”
“เร็วเข้าๆ ไปทางนั้น เดี๋ยวเดียร์แรบบิทตามไป” 'เดียร์แรบบิท' ( ? ) ส่งคุกกี้ถุงใหญ่มาให้ผมพร้อมกับชี้ไปทางขวา แล้วเธอก็เตรียมจะวิ่งไปอีกทาง ทว่าขยับได้สามก้าวก็หันกลับมาหาอีก “เร็วเข้าๆ ต้องเปลี่ยนชุดสำหรับไปงานด้วย”
“เอ๊ะ?”
ผมส่งเสียงร้องได้แค่นั้นแล้วก็มีแสงสว่างเกิดขึ้นรอบตัวผม เพียงไม่กี่วินาทีแสงก็หายไปพร้อมกับชุดที่ผมใส่อยู่ก็เปลี่ยนไปด้วย จากตอนแรกที่ใส่ชุดนักเรียน ตอนนี้มันกลายเป็นชุดแนวแฟนตาซีหน่อยๆ ก็เท่ดีเหมือนกันแฮะ
โย่ว!!! แปลงร่างเป็นไทระอินวันเดอร์แลนด์!!!
...กินจุดไปสามวินาที...
เอ๊ย! ไม่ใช่สิ! ผมจะโพสท่าแปลงร่างเพื่อ!? ต้องถามเดียร์แรบบิทให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแน่!
ฟิ้ว~
แต่ก็ไม่ทันแล้ว เธอหายไปแล้ว เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและสายลมกับใบหญ้า เอิ่ม...สรุปว่าผมต้องเดินไปตามที่เธอบอกโดยยังไม่ต้องรู้อะไรสินะ
เฮ้อ! เอาไงเอากัน มาถึงขึ้นนี้แล้ว!
ผมถือถุงคุกกี้ไว้แน่นแล้วเดินไปตามทางที่เดียร์แรบบิทบอก แต่เดินมานานสองนานก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะถึงงานเลี้ยงน้ำชาที่เธอพูดถึงสักที พอไม่เห็นจุดหมายปลายทางมันก็ทำให้เริ่มถอดใจ แต่แล้ววินาทีนั้นเอง…
“เหมียว~ ท่านหลงทางหรือขอรับ”
เอ๊ะ? เสียงแมว? ไม่ใช่สิ แมวที่ไหนพูดได้
ขวับ!
ผมหันซ้ายหันขวามองรอบข้างแล้วก็ไม่เห็นใคร สงสัยจะหูฝาดไปล่ะมั้ง พอคิดว่าไม่มีใครแล้วเลยกะจะเดินต่อแต่พอหันหน้ากลับมาเท่านั้นแหละ หัวใจแทบวาย!
“เฮ้ย!” ผมร้องเสียงหลงอีกแล้ว
ก็คิดว่าไม่มีใครแล้วนี่แต่พอหันมาดันเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนขวางอยู่แถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วย เป็นใครจะไม่ตกใจบ้างเล่า
พอเริ่มตั้งสติได้ผมเลยหันไปเผชิญกับบุคคลตรงหน้า...เฮ้ย? นี่มัน ‘กร’ ไม่ใช่เหรอ!?
แต่เดี๋ยวนะ อาจจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนก็ได้ ก็ผู้ชายคนนี้หน้าเหมือนกรก็จริงแต่มีหูแมวอยู่บนหัวกับหางแมวอยู่ด้านหลังด้วยนี่นา
“ท่านกำลังหลงทางหรือขอรับ” เขาถาม แสดงว่าเมื่อกี้เป็นเสียงเขาสินะ
ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเลยได้แต่ตอบไปตามตรง
“ฮะ ผมจะไปงานเลี้ยงน้ำชา แต่ผม…”
“โอ๊ะ! เหมือนกรเชียร์แคทเลยขอรับ”
“...”
“กรเชียร์แคทก็กำลังจะไปงานเลี้ยงน้ำชา”
อา คนนี้ชื่อ ‘กรเชียร์แคท’ สินะ
“แต่ติดธุระว่าจะตามไปทีหลัง งั้นกรเชียร์แคทฝากเค้กผลไม้ไปที่งานก่อนนะขอรับ เหมียว~”
“เอ๊ะ เดี๋ยว…”
ผมค้านไม่ทันก็มีกล่องเค้กมาอยู่ในมือแล้ว หลังจากนั้นกรเชียร์แคทก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนคราวเดียร์แรบบิทไม่ผิด
พอไม่มีใครให้ถามทางแล้ว ผมเลยตัดสินใจเดินไปตามทางเดิม ทางที่เดียร์แรบบิทบอกไว้ แต่ไม่ว่าจะเดินเท่าไหร่ก็ยังไม่เห็นจุดหมายอยู่ดี แถมตอนนี้ผมเริ่มหิวแล้วด้วย หรือผมจะหยิบคุกกี้มากินสักชิ้นสองชิ้นเพื่อประทังชีวิตไปก่อนดีนะ
‘กินชิ้นสองชิ้นไม่เป็นไรหรอกน่า’ <<< เสียงความคิดด้านมืด
‘ไม่ได้นะ ต้องเอาไปส่งที่งานเลี้ยงน้ำชาสิ’ <<< เสียงความคิดด้านสว่าง
‘อะไร! ไม่กินก็อาจหิวตายได้นะเฟ้ย!’ <<< เสียงความคิดด้านมืด
‘ยังไงก็ห้ามกินนะ อดทนไว้สิ!’ <<< เสียงความคิดด้านสว่าง
‘กิน!’ <<< เสียงความคิดด้านมืด
‘ไม่กิน!’ <<< เสียงความคิดด้านสว่าง
‘กินสิครับ!’ <<< เสียงความคิดด้านมืด
‘ไม่กินเฟ้ย!’ <<< เสียงความคิดด้านสว่าง
ตกลงด้านไหนมืดด้านไหนสว่างกันแน่ฟะ! ดูคำพูดคำจาเข้าสิ! โอ๊ย! ความคิดตีกันยุ่งไปหมดแล้ว!
หนักใจ...หนักใจสุดๆ เลย!
ขวับ!
หนักใจอยู่ได้ไม่นานนักก็ต้องตกใจอีกครั้ง ( นี่จะต้องตกใจอีกกี่รอบเนี่ย )
มีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดออกมาจากพุ่มไม้น้ำตาลปั้น เขากระโดดออกมาคุกเข่าตรงหน้าผมก่อนจะถอดหมวกทรงสูงที่ตนใส่อยู่ออก และเขาก็ล้วงลงในหมวกนั้นควานหาอะไรอยู่ไม่ถึงนาทีก็หยิบบางสิ่งขึ้นมา และมันคือแพนเค้ก
เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับส่งแพนเค้กมาให้ผม โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงผมพอรู้แล้วว่าต้องการให้ผมไปส่งแพนเค้กให้ที่งานเลี้ยงน้ำชาสินะ ผมเริ่มไม่ตกใจกับเรื่องเอาขนมมาฝากเท่าไหร่ล่ะ
เรื่องที่ตกใจมากกว่านั้นคือผู้ชายสวมหมวกคนนี้คือ ‘แม็ซ’ หน้าหวานพอๆ กับสุภะแบบนี้ก็มีแม็ซคนเดียวนี่แหละ!
ผมรับกล่องใส่แพนเค้กมาถือไว้ แล้วก็ตามสเต็ป 'แม็ซแฮทเตอร์' ( จะเรียกแม็ซหมวกก็ใช่ที่ ไม่รู้ชื่อเขาอ่ะ งั้นขอตั้งชื่อนี้แล้วกัน ดูคล้องจองดี ) หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
ผมรู้ชะตากรรมแล้วว่าคงต้องเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่เห็นจุดหมายปลายทาง แต่ผมตัดสินใจแล้วว่ายังไงก็จะไปให้ถึง ผมเลยรวบรวมพลังทั้งหมดก่อนจะออกวิ่งโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น น่าแปลกมากที่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่เหนื่อยแถมเหมือนวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก
และในที่สุดก็มาถึงจุดหมายแล้ว!
ผมมาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงน้ำชา ตรงกลางนั่นมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มชาแถมบนโต๊ะยังมีอาหารและขนมมากมาย รอบข้างก็ประดับประดาไปด้วยขนม มันช่าง...ช่าง...ช่าง…
ช่างตื่นเต้น...จนอยากล้มโต๊ะเลย!
คือให้ผมเดินวนวิ่งวนเพื่อจะกลับมาที่เดิม ที่ที่ผมตกลงมาครั้งแรก แล้วจะให้ผมไปเดินวนทำไมเนี่ย ให้นั่งรออยู่ที่นี่ก็ดีแล้วววว!
สงสัยอยากให้ผมออกกำลังกายมาก่อน เวลากินขนมจะได้อร่ยมากขึ้นมั้ง ( เกี่ยวไหมนะ? )
ในงานเลี้ยงน้ำชามีทั้งเดียร์แรบบิท กรเชียร์แคท และแม็ซแฮทเตอร์อยู่กันพร้อมหน้า และที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือตรงโต๊ะน้ำชานั่นมีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ คนหนึ่งหลับตากำลังยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ส่วนอีกคนลืมตาอยู่กำลังดื่มด่ำกับกลิ่นของน้ำชาอันหอมหวน
เดี๋ยวนะ...นั่นมัน ‘ผู้อำนวยการนรินทร์’ กับ ‘ครูไอน์’ ไม่ใช่เหรอ!
เอ๊ะ หรือจะไม่ใช่ ก็สองคนที่นั่งอยู่นั่นสวมมงกุฎด้วยนี่นา อย่างกับพระราชากับพระราชินีเลย
ไม่สิ...ต้องเป็นพระราชากับพระราชาต่างหาก...
โอ๊ย! ตกลงผมหลุดมาโลกแปลกประหลาดหรือสมองผมที่ประหลาดไปแล้วกันแน่เนี่ย รู้สึกคิดอะไรไม่ออกเลย!
“ได้มานั่งดื่มน้ำชาแบบนี้ก็สนุกดีนะครับ” คนที่เหมือนผู้อำนวยการนรินทร์พูดขึ้น “ไอน์ไวท์คิงก์ก็คิดเหมือนกันไหมครับ”
“ครับ ผมก็คิดเหมือนนรินทร์เรดคิงก์ครับ”
‘ไอน์ไวท์คิงก์’ กับ ‘นรินทร์เรดคิงก์’ โอเค...พระราชาทั้งคู่สินะ
“มาร่วมวงด้วยกันไหมครับ” ไอน์ไวท์คิงก์พูดต่อแต่เหมือนเขาไม่ได้พูดกับคิงก์คนข้างๆ ราวกับเขาหันมาพูดกับผมมากกว่า “นำขนมมาก็ร่วมได้ครับ”
ไอน์ไวท์คิงก์บอกพลางชี้มาที่ขนมที่ผมได้รับมอบหมายหอบหิ้วมา เขาพูดกับผมจริงๆ สินะ
“มาไหมครับ?” เขาถามอีกรอบ
ไหนๆ ก็มาไกลถึงขนาดนี้แล้วผมก็อยากร่วมงานอยู่หรอก แต่ขนมพวกนี้มันไม่ใช่ของผม มันเป็นของพวกเดียร์แรบบิทต่างหาก แล้วผมจะแอบอ้าง…
ชู่ววว~
ขณะที่กำลังหนักใจว่าจะบอกยังไงดี สายตาก็เหลือบไปเห็นทั้งเดียร์แรบบิท กรเชียร์แคท และแม็ซแฮทเตอร์ทำท่าเดียวกัน พวกเขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตัวเองราวกับเป็นสัญญาณบอกว่า ‘เก็บเรื่องขนมไว้เป็นความลับระหว่างพวกเรานะ แล้วมาร่วมงานเลี้ยงกัน’
ผมเลยพยักหน้ารับความหวังดีนั้นเอาไว้ แล้วเดินเข้าไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับทุกคน
ผมเข้าใจแล้วล่ะว่าที่ให้ผมวิ่งวนรอบๆ เพราะอยากเอาขนมให้ผมแบบเนียนๆ นี่เอง ต้องขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ที่ทำให้ผมได้ร่วมงานเลี้ยงนะ
สนุกมากเลยครับ แถมขนมก็อร่อยสุดๆ!!!+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ง่ำๆ ขนมอร่อยจัง~”
เขย่าๆ
“อาหย่อย…”
เขย่าๆๆ~
ผมรู้สึกเหมือนโดนเขย่าตัวเลยสะลึมละลือลืมตาขึ้นมา แล้วก็เห็นว่าเป็นเดียร์นั่นเองที่กำลังปลุกผมอยู่…
หือ? ปลุกเหรอ?
“ไทระเผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย” เห็นเดียร์ขยับปากพูดแบบนั้นนะ อ้าว? ผมไม่ได้ยินเสียงแล้ว!? “เดี๋ยวขนมจะเสร็จแล้วนะ”
“ขนม?”
“อือ ก็คุกกี้ เค้กผลไม้ แล้วก็แพนเค้กฝีมือชมรมตะหลิวไง ไทระมาขอให้ช่วยทำไง”
“...”
“เดี๋ยวเราจะมีงานเลี้ยงน้ำชากัน ไปกันเถอะ ช่วยกันยกขนมไปหาทุกคนกัน”
“อ๊ะ อ๋อ โอเค ได้เลยฮะ”
ผมรีบลุกไปช่วยเดียร์ กร และแม็ซขนขนมออกไป เออใช่! วันนี้พวกเราชาวควิ้นท์นัดกันว่าจะมานั่งดื่มชาทานขนมกันนี่นา ผมเลยมาขอให้ชมรมตะหลิวช่วยเตรียมขนมให้ แต่ผมคงเพลียจากงานหลายๆ อย่างเลยเผลอหลับระหว่างที่รอขนม จนฝันเป็นเรื่องเป็นราวเลย
แต่ก็นะ ความฝันแบบนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน และตอนนี้ผมกำลังจะได้ทำเหมือนในความฝันแล้ว
เย้ๆ น้ำชา ขนมมม~ ลัลล้าาา~
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐาน (80%+)
A - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,250,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
กล่องแห่งความขยัน กล่องของขวัญที่ทางโรงเรียนมอบให้กับผู้ส่งภารกิจหลักเป็นคนแรก เมื่อเปิดกล่องแล้วสามารถเลือกรับสกิลบัฟจำนวน 1 สกิลได้ดังนี้... หรือสามารถใช้แร่ QUAINT ORE จำนวน 20 ชิ้นแลกการใช้งานสกิลบัฟ 1 สกิลจาก... อ่านข้อมูลสกิลบัฟได้ที่ "คลิ๊กที่นี่" |
Signature ------------------------------------------------>
初めまして、どうぞよろしくお願いします。
- Skai
Khannika Aksawarakgosol
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
464
+99 M 426 K 398
PASSPORT
:
(650/1875)
:
Re: Lesson 61 : In your dreams
Fri 14 Jul 2017, 02:28
- Is it true?:
Is it true?
Genre: AU
Rate: PG-15
คงไม่มีใครอยากปฏิเสธความอบอุ่นของหน้าร้อนเมื่อมันเวียนมาได้แค่ปีละสามเดือนหรอกใช่ไหมล่ะ แต่เขาไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ
รันเดลขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดเมื่อรู้สึกถึงเหงื่อไคลที่ไหลย้อยบนแผ่นหลัง นี่เขาเพิ่งจะอาบน้ำไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วเอง ทำไมจะต้องร้อนขนาดนี้ด้วย
แต่คนอื่นกลับดูเหมือนจะไม่สนใจมันเท่าไรเพราะเขาเห็นแครอล สาวข้างบ้านสวมกางเกงยีนส์ตัวจิ๋วที่ทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหนเดินออกจากบ้านเมื่อกี้
ก็ไม่ได้อยากจะมองหรอก แต่อย่าลืมสิว่าเขาเองก็เป็นผู้ชายธรรมดาทั่วไป
หลังจากกินแตงโมที่คุณแม่หั่นไว้ให้ในตู้เย็นแล้ว เขาก็ไม่ได้มีแพลนว่าจะไปไหน
อากาศที่ร้อนเกินจะหายใจนี่ดูเหมือนจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เขาเอาแต่กลิ้งไปมาบนเตียงอย่างเอื่อยเฉื่อย รันเดลคิดว่าเขาไม่ได้เกลียดฤดูร้อน
แต่เพราะความเหนอะหนะบนตัวมันเกิดขึ้นบ่อยกว่าตอนอยู่ในหน้าหนาวก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
หนังตาหนักอึ้งหลังจากการนอนนิ่งๆ เป็นเวลานานทำให้จมลงสู่ห้วงนิทราในที่สุด อย่างน้อยก็นอนฆ่าเวลาจนกว่าแม่กับพ่อจะกลับมาแล้วกัน
1
รู้อยู่แล้วว่าอากาศมันไม่เคยแน่นอน รันเดลกระชับร่มคันเดียวในมือแน่นเมื่อเห็นเม็ดฝนเทห่าลงมาเหมือนท้องฟ้ากลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มีฝนอีกแล้ว
มองไปก็แอบหวั่นใจว่าร่มในมือจะพังก่อนถึงบ้านหรือเปล่า
“อึก!” สะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ๆ ก็มีสิ่งแปลกปลอมมาโดนขา ก้มมองก็เห็นว่าเป็นเพียงแมวสีขาวธรรมดาที่ตัวเปียกชื้นไปหมด
ด้วยความรักแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงไม่ลังเลที่จะนั่งยองลงไปเพื่อทักทาย ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้ามินิมาร์ทเพื่อรอให้ฝนซา
แต่ยืนมาตั้งนานแล้วก็ไม่มีท่าทีว่ามันจะหยุดจนกระทั่งติดสินใจจะวิ่งฝ่ามันออกไปด้วยอาวุธในมือซึ่งก็คือร่มสีดำก๊องแก๊งนั่นแหละ
รันเดลไม่เคยคิดว่ามันจะพิศมัยตรงไหนกับการให้ฝนตก แต่พอมองสัตว์หน้าขนที่กำลังเคลียหน้ากับมือของเขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไร
“เมี้ยว~”
“ว่าไง หนูน้อย” คงจะแปลกที่เรียกแมวว่าหนู แต่ก็นะ มันออกจะน่ารักขนาดนี้ใครจะทนไหว รันเดลเกาคางให้เมื่อมันดูเหมือนจะมีความสุขเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องชอบแมวขนาดนี้ เขาชอบมันมากกว่าหมาเสียอีกเพราะว่าแมวไม่เสียงดังแถมยังสวยอีกต่างหาก เฮ้ เขาก็ไม่ได้ว่าหมาไม่ดีหรอกนะ แต่อยู่กับแมวมันทำให้รู้สึกสงบมากกว่านี่นา
เจ้าแมวสะบัดหน้าหนีก่อนจะเดินเข้าซอกตึกซึ่งนั่นทำให้เขาแปลกใจ อะไรกัน นั่นงอนหรอ? เพราะเขาเกาคางให้ไม่ถูกจุดหรือว่าจะมือหนักเกินไป
คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองเบาๆ สองเท้าในรองเท้าผ้าใบสีขาวเปื้อนโคลนเดินตามเข้าไปในซอกตึกเมื่อได้ยินเสียงแมวร้อง
มันอาจจะมีลูก ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากเขาก็ได้
คนมักจะบอกว่าแมวสีดำเป็นแมวอับโชค และจะนำความชั่วร้ายมาให้เสมอ เขาไม่เคยเชื่อมันหรอกเพราะคิดว่าแมวก็เป็นแค่แมว
ทำไมเราจะต้องไปตัดสินมันจากสีขนด้วยล่ะ ไร้สาระสิ้นดี มันก็แค่เกิดออกมาตามพันธุกรรมที่ได้รับมาจากพ่อกับแม่เหมือนเขาที่ได้สีตาและสีผมของพ่อและมีนิสัยที่คล้ายแม่นั่นแหละ
ฉับพลันเท้าที่ก้าวเดินกลับชะงักค้าง หัวใจเด้นระรัวราวกับมันกำลังเตือนว่าเขาจะเจอกับอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนำพา
การที่เขาจะตามแมวน้อยเข้าไปต้องมีอันตรายอะไรอย่างนั้นด้วยหรือ? บ้าบอน่า แถวนี้ปลอดภัยจะตายไป เขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก วิ่งเข้าวิ่งออกจนชำนาญเส้นทางไปหมดแล้ว
ทำไมจะต้องรู้สึกกลัวกันเล่า รันเดลเมินเฉยต่อสัญชาตญาณและสาวเท้าเข้าไปในความมืดมิด มีแต่กลิ่นอับชื้นของสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่หยุดและกลิ่นขยะเหม็นเน่าที่ไม่มีใครใส่ใจ
ยิ่งเดินเข้าไปหัวใจที่อยู่ในอกก็เหมือนกำลังกรีดร้องอย่างไรอย่างนั้น ร่มก็เหมือนจะหลุดออกจากฝ่ามือ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องไปยังเจ้าขนปุยสีขาวที่เดินเนิบนาบตามทางไปอย่างไม่รีบร้อน
ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่รันเดลกลับรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังหายใจไม่ออก
เส้นทางที่ใช้เดินเหมือนจะแคบลงเรื่อยๆ และนั่นทำให้เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือ แม้ขาจะยังเดินแต่ก็ต้องใช้กำแพงในการค้ำจุน ร่างกายสั่นและหอบหายใจถี่ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเดินต่อ
ทำไมกันนะ
คิดถึงจัง
ในหน้าร้อนที่ 11 กรกฏาคมเป็นวันที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิตของรันเดลในวัยเจ็ดขวบ เด็กชายเบ้หน้าพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ
มือป้อมกำกางเกงลายสก็อตสีชมพูแน่นเมื่อโดนมารดาจ้องเขม็งอย่างตำหนิ ก็แน่ล่ะ เพราะหลังจากที่เห็นแครอลอุ้มแมวพันธุ์บริติชขนสั้นสีเทามาอวดว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดเธอ
พร้อมกับเชิดหน้าอย่างเหนือกว่าทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ เดินปึงปังเข้าบ้านและงอแงว่าอยากจะเลี้ยงแมวเหมือนแครอลบ้าง ทำให้โดนมารดาดุเรื่องที่จะเลี้ยงสัตว์ตามเพื่อนทั้งที่ตัวเองไม่มีความรู้
“รันจะเลี้ยงสัตว์เพราะคนอื่นเลี้ยงไม่ได้นะครับ” คุณแม่ที่มักยิ้มแย้มตลอดเวลาพูดด้วยเสียงที่เรียบเฉยแต่ทรงอำนาจสำหรับเด็กอย่างเขา
“ทะ.. ทำไมล่ะฮะ! แครอลยังเลี้ยงได้เลย”
เด็กชายเบ้ปากหนักกว่าเดิมเพราะต่อให้จะงอแงแค่ไหนแม่ก็คงไม่ยอมแน่ แม่ของรันเดลนั้นเป็นคนค่อนข้างจะเด็ดขาดและมีเหตุผล
เธอทั้งทำงานและเลี้ยงลูกไปในเวลาเดียวกันทำให้เหนื่อยไม่น้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสามีของเธอจะไม่ได้ช่วยเลี้ยงดูหรอกนะ
แต่เพราะงานในบริษัทที่มีมากยิ่งกว่าเม็ดเงินที่เราเก็บสะสมรวมกันทำให้เธอไม่อยากรบกวน เพราะอย่างนั้นเธอจึงอยากเลี้ยงให้รันเดล
ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอรู้จักมีเหตุผล อย่างน้อยก็จะได้ไม่ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยไปมากกว่านี้
“เพราะว่ายังเด็กเกินไปอย่างไรล่ะ”
“แครอลอายุเท่ารันนะ!”
“แล้วลูกรู้ไหมว่าแมวมีอายุนานเท่าไร”
รันเดลขมวดคิ้วมุ่น รับกระดาษทิชชู่ที่มารดาเป็นคนยื่นให้ซับน้ำตาให้เรียบร้อย
“ก็คง… สิบล่ะมั้ง”
“ถูกต้อง ถ้านานหน่อยก็คงสิบแปดปี แต่ลูกรู้อะไรไหม” ผู้หญิงวัยสามสิบต้นๆ ย่อเข่าให้ระดับความสูงพอดีกับลูกชาย
เอื้อมมือที่ผ่านการทำงานหนักไปลูบเส้นผมที่นิ่มเหมือนปุยนุ่นและใช้โทนเสียงที่นุ่มขึ้นกว่าเดิม
“จริงๆ แล้วพวกมันอายุสั้นนะเมื่อเทียบกับเรา เพราะฉะนั้นแม่คิดว่าอยากจะให้รันโตกว่านี้หน่อยเพื่อที่จะสามารถดูแลมันได้เวลาพ่อกับแม่ไม่อยู่
แม่ไม่อยากให้รันเลี้ยงเพราะแค่คนอื่นเลี้ยง แม่อยากให้รันเลี้ยงเขาด้วยความรักเหมือนที่แม่กับพ่อเลี้ยงรัน แมวเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนเรา
สัตว์ตัวอื่นด้วย แม่เลยไม่อยากให้รันเลี้ยงแบบทิ้งๆ ขว้างๆ เข้าใจไหมครับ”
รันเดลพยักหน้าเข้าใจแม้จะมีบางประโยคที่เขารู้สึกงงอยู่บ้าง ดวงตาของคุณแม่ยิ้มเมื่อลูกชายตัวน้อยไม่งอแงแล้ว
ฝ่ามือที่มีขนาดเกือบเท่าใบหน้าของเขาแนบลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง คุณแม่ยิ้มอย่างมันเขี้ยวก่อนจะพูดล้อ
“กลั้นน้ำตาจนจมูกแดงไปหมดแล้วเนี่ย ใครว้า ไม่หล่อเลย”
“คิ… แม่อะ”
2
“เมี้ยว~”
มันคือแมว
ใช่
ไม่ผิดแน่
รันเดลในชุดลำลองวัยสิบขวบยืนจ้องสิ่งมีชีวิตในลังสีน้ำตาลนิ่ง มันคือสิ่งที่เขาอยากได้เมื่อสามปีก่อนแต่ไม่ได้รับอนุญาต
เดินเข้าไปอย่างไม่ลังเลก่อนจะพบกับแมวสีดำสนิท มันยังเด็ก เอาแต่ขดตัวร้องหาความช่วยเหลือ พระเจ้า! นี่มันสุดยอดไปเลยไม่ใช่หรอ
วันนี้เพราะนึกครึมยังไงไม่รู้เลยเดินกลับจากโรงเรียนแทนที่จะนั่งรถบัสอย่างที่ทำประจำ แต่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กที่ดังแทรกลมเข้ามาในโสตประสาทเสียนี่
และบิงโก! เขาเจอมันแล้ว
“มะ.. ไม่ร้องนะ” เพราะไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน รันเดลไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวของมันเพราะกลัวจะโดนกัด
เขายกกล่องนั่นขึ้นมาและเขย่าเล็กน้อยเหมือนกำลังกล่อมเด็กทารก แต่มันก็ยังไม่หยุดร้อง เด็กชายตัดสินใจพามันกลับบ้านไปด้วยกันเพราะเขาไม่อยากให้มันอดตายอยู่ที่นี่
ดูจากรูปการณ์แล้วคงโดนเอามาทิ้ง เขาเดินสำรวจรอบบริเวณอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีแมวตัวอื่นเหลืออยู่อีก เดินกลับบ้านพร้อมหัวใจที่พองโตแต่ในขณะเดียวกันก็กังวลว่าคนที่บ้านจะว่าอะไรหรือเปล่า
โชคดีที่คุณแม่ไม่ว่าอะไร ส่วนคุณพ่อก็ดูเหมือนจะตามใจเขา สุดท้ายเขากับแมวในอ้อมกอดจึงเป็นเพื่อนกันในที่สุด เราพามันไปฉีดวัคซีน และดูแลเรื่องอาหารอย่างดี
เขาตั้งชื่อให้มันว่าแบล็คกี้ เป็นชื่อที่สิ้นคิดสิ้นดี แต่เพราะมันคือจุดเด่นเขาจึงชอบมัน
รันเดลกลับมาจากโรงเรียนด้วยความสุขทุกครั้งเมื่อนึกถึงเพื่อนใหม่ที่เขาเป็นคนพาเข้ามาในบ้าน เขากับแบล็คกี้ออกไปเล่นที่สวนข้างนอกด้วยกัน
รูปปั้นครอบครัวเต่าเป็นสิ่งที่เราไปเล่นด้วยบ่อยๆ แบล็คกี้โตเร็วมากจนเขาตกใจ และเป็นแมวที่รู้ความ อย่างวันนี้ที่เขาโดนคุณพ่อดุเรื่องทำจานแตก
แบล็คกี้ก็มานั่งปลอบเขาไม่ห่างและนั่นทำให้เขารักมันมาก
เราแทบไม่เคยอยู่ห่างจากกันเลยนอกจากตอนที่เขาต้องออกไปเรียน เขาไม่ชอบเลยเพราะมันทำให้แบล็คกี้ต้องอยู่บ้านตัวเดียว
เพราะอย่างนั้นรันเดลจึงมักไถ่โทษด้วยการพามันออกไปเล่นด้วยกันข้างนอกเสมอ ที่จริงเราก็ปล่อยให้แบล็คกี้ออกไปเล่นข้างนอกอยู่แล้ว
แต่พอไม่มีคนอยู่บ้าน เรารู้สึกอุ่นใจกว่าเมื่อรู้ว่ามันจะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรที่เขามีเพื่อนเป็นสัตว์หน้าขนอย่างแบล็คกี้ มันใจดีและไม่รังแกเขาเหมือนที่เดวิดทำที่โรงเรียน ขนของมันนิ่มยิ่งกว่าผ้าห่มขนเป็ดเสียอีก
“เฮ้ ได้ยินว่านายเลี้ยงแมวงั้นหรอ” เดวิด หัวโจกที่มักแกล้งเขาดึงปกคอเสื้อขึ้นและนั่นทำให้เขาหายใจลำบาก
รันเดลเสมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากมีปัญหา คงเพราะเขาเป็นเด็กขี้อายและไม่ตอบโต้จึงมักจะโดนรังแกเป็นประจำ
เขาไม่ได้โง่ที่จะไม่บอกครูหรอกนะ แต่บอกไปแล้วได้อะไร สุดท้ายไอ้หมอนี่ก็กลับมาแกล้งเขาเหมือนเดิม
“ถามก็ตอบดิวะ หูหนวกหรือไง!!” แรงรั้งจากเสื้อเพิ่มขึ้นไปอีกจนแทบหายใจไม่ออก รันเดลหลับตาปี๋และผลักเดวิดเต็มแรงจนตัวเองตกเก้าอี้
“อย่ามายุ่งนะ!”
สายตาวาวโรจน์นั่นทำให้รันเดลกลัวนิดหน่อย แต่ก็จ้องกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“โห เดี๋ยวนี้แกกล้าผลักฉันแล้วหรอห๊ะ!! ไอ้หมูสกปรก!”
เกิดการตะลุมบ่อนย่อยๆ ขึ้นในห้องเรียนของเด็กประถม เพื่อนในห้องไม่มีใครมาช่วยเขาสักคน เพราะนอนอยู่บนพื้นทำให้เสียเปรียบมากและหมัดเล็กๆ ของไอ้เดวิดนั่นก็เจ็บไม่ใช่น้อย
แขนเล็กพยายามปัดป้องและตอบโต้กลับไป แต่เพราะตัวเล็กกว่าเลยเป็นรอง รันเดลต่อสู้ทั้งน้ำตาก่อนจะรู้สึกตัวโล่งเมื่อมีครูเข้ามาดึงเดวิดออกไป
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในปากตัวเอง มันเหมือนสนิมและรู้สึกคลื่นเหียนจนแทบอาเจียน เย็นวันนั้นเราทั้งคู่โดนเรียกผู้ปกครอง
และเพราะเดวิดเป็นคนผิดจริงจึงได้รับโทษให้โดนกักบริเวณเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ เขาแอบรู้สึกสะใจตอนที่เห็นหมอนั่นน้ำตาคลอ เหอะ สุดท้ายก็แกเองนั่นแหละ
ที่เป็นหมูสกปรก
หลังจากที่เดวิดกลับมาเรียน ดูเหมือนเจ้าตัวจะทำตัวดีกับรันเดลผิดปกติและนั่นทำให้เขาแปลกใจ หมอนั่นไปกินข้าวเป็นเพื่อนและพาเขาไปเล่นเกมส์จนมีข่าวลือต่างๆ นานา
ว่าเดวิดเด็กเกเรคนนั้นคงเปลี่ยนตัวเองไปแล้ว นั่นทำให้รันเดลดีใจ เพราะเราจะได้ไม่ต้องตีกันอีก และเป็นเพื่อนกันเหมือนคนอื่นๆ
วันนี้เดวิดขอมาที่บ้านเพื่อเล่นเกมส์กับเขา รันเดลไม่ปฏิเสธเพราะคิดว่ามันคงจะเป็นการดีที่ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น
“นี่คือแมวที่นายพูดถึงงั้นหรอ” เดวิดมองไปที่แบล็คกี้นิ่งๆ ระหว่างที่รันเดลกำลังเกาหัวลูบหางมันอย่างรักใคร่
แก้มกลมยกขึ้นและยิ้มกว้าง พยักหน้ารัวพร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความตื่นเต้น
“ใช่! ตัวแรกของเราเลย”
“หืม...”
“เรารักมันมากเลยล่ะ!”
หลังจากวันนั้น ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ แบล็คกี้ก็หายไป แต่เพราะบางครั้งพอถึงช่วงฮีทมันก็มักจะหายไปวันสองวันอยู่แล้วรันเดลเลยไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ลึกๆ แน่นอนว่าต้องเป็นห่วงมากอยู่แล้ว
พลบค่ำของวันที่สอง มีกล่องพัสดุจ่าหน้าถึงเขา รันเดลรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยว่าใครกันนะที่ส่งของมาให้ แต่พอมองกลับไม่เห็นชื่อของผู้ส่งเสียอย่างนั้น
มือน้อยใช้กรรไกรตัดเทปอย่างระวังเพราะกลัวว่าของที่อยู่ข้างในจะเสียหาย ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ กับกลิ่นหืนที่ฟุ้งขึ้นมาเป็นระยะก็ตาม
ฟึบ!!
ทันใดนั้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกกว้างที่สุดในชีวิต ในกล่องคือแบล็คกี้ที่เขากังวัลว่ามันหายไปไหนมาในช่วงสองวันนี้
แต่…
แมวสุดรักที่เขาหวงแหนที่สุดกลับไร้ลมหายใจไปแล้ว ตาของมันยังเปิดอยู่ ปลอกคอนั่นเขาจำได้เพราะเลือกเองกับมือ
เลือดสีแดงเจิ่งออกมาจากช่องท้องทำให้เขาอาเจียนออกมาตรงนั้น น้ำตาอุ่นไหลออกมาพร้อมกับสะอื้นฮักอย่างน่ากลัว
มืออันสั่นเทาเอื้อมขึ้นไปลูบหัวของแบล็คกี้ที่ตอนนี้คงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของเขาอีกแล้ว เสียงทั้งหมดเหมือนถูกแม่มดในท้องทะเลขโมยไป ขาหมดแรงจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“ฮึก.. ม แม่ แม่!!”
เป็นช่วงเวลาห้าวันที่รันเดลแทบไม่กินอะไรเลยนอกจากน้ำ ดวงตาแดงก่ำและใต้ตาคล้ำเหมือนซอมบี้ หลังจากที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแม่ของเขารีบแจ้งตำรวจทันที
เพราะกลัวว่าอาจจะเป็นคนโรคจิตที่อยู่เบื้องหลัง เราฝังศพแบล็คกี้ไว้ในป่าที่มันชอบไปเล่น รันเดลเหมือนถูกควักหัวใจออกไปทั้งที่ยังเป็น แขนขาเขาแทบไม่มีแรงและไม่รู้สึกหิวอะไรเลย
เขายังจำได้ถึงเสียงเล็กที่มักจะร้องเรียกเมื่อเขากลับมาบ้าน จำได้ที่เราไปเล่นกับรูปปั้นครอบครัวเต่าด้วยกัน จำได้ว่าขนของมันนิ่มแค่ไหน จำได้ว่าตาของมันสวยเหมือนอัญมนีสีอำพัน
จำได้
จำได้…
“ไง ขาดเรียนไปนานเลยนะ เพื่อนยาก” เดวิดเดินเข้ามาทักทายเขาที่นั่งซังกะตายระหว่างรอครูภาษาอังกฤษ
รันเดลไม่ได้หันไปมองเขาด้วยซ้ำ รู้สึกไม่อยากพูดกับใครเลย พอคิดถึงแบล็คกี้ก็เหมือนขอบตาจะร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เฮ้ๆ จะร้องไห้ทำไมกัน นายไม่ชอบของขวัญของฉันหรอ”
รันเดลหันไปมองคนพูดทันทีที่เดวิดพูดถึงของขวัญ นัยน์ตาเบิกกว้างเมื่อเห็นรอยยิ้มแสยะอย่างน่ารังเกียจอยู่บนใบหน้านั่น ใช่ มันแน่! ที่ฆ่าแบล็คกี้!!
“โอ๊ะโอ ครูมาซะแล้ว ไปก่อนนะ”
“ไอ้หมูสกปรก”
‘เรามีเรื่องอยากคุยด้วย มาหาเราที่ห้องศิลปะได้ไหม’ เดวิดยิ้มเยาะเมื่อรู้ว่าใครคือเจ้าของจดหมายฉบับนี้ที่เสียบอยู่บนล็อกเกอร์
เขาผิวปากอย่างอารมณ์ดีก่อนจะปิดล็อกเกอร์จนเพื่อนที่อยู่ข้างๆ สงสัย
“อารมณ์ดีอะไรของนายวะ” เพื่อนอีกคนที่มักแกล้งรันเดลถาม
“เหมือนลูกหมูจะอยากให้ไปเล่นด้วยว่ะ”
สะพายกระเป๋าขึ้นไปบนไหล่ สองขาก้าวไปตามทางเดินทันทีอย่างไม่คิดอะไร หึ ไอ้เจ้าหมูตัวจ้อยนั่นจะทำอะไรเขาได้ แค่ตะโกนนิดหน่อยก็ตัวสั่นเหมือนลูกนก
ที่เรียกไปก็คงจะถามเขาเรื่องเจ้าแบล็คกี้นั่น ร้องไห้ฟูมฟายแล้วก็คงเขวี้ยงอะไรสักอย่างที่ไม่สะเทือนผิวมาโดนเขา ก็รันเดลน่ะ อ่อนแอจะตายไป
แกร็ก
เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับแผ่นหลังที่คุ้นเคย เดวิดเดินไปนั่งข้างๆ รันเดลที่ตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับการวาดดอกไฮเดรนเยียสีน้ำเงิน
เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือถึงขั้นวาดภาพเหมือนออกมาได้ถึงเพียงนี้ เขามองข้อมือที่ตวัดสีเข้มบนผ้าใบอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งลืมไปแล้วว่าตัวเองมาทำอะไร
“นายฆ่าแบล็คกี้งั้นหรอ”
จนกระทั่งเสียงจากคนข้างกายเอ่ยถาม เดวิดหัวเราะเพราะเขารู้อยู่แล้วว่ารันเดลจะต้องพูดมันออกมา
ใบหน้าของเด็กชายผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงเรียบนิ่ง ตวัดพู่กันไปบนกลีบก้านอย่างใจเย็น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกขนลุกกันนะ
“นายคิดว่าไงล่ะ สวยใช่ไหม ของขวัญสุดพิเศษรุ่นลิมิเตตจากฉันเลยนะ”
เหมือนลมหายใจขาดห้วงไปชั่วครู่ ความโกรธแล่นริ้วเข้ามาในทุกเส้นประสาท เสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียนที่ดังมากจากคนข้างๆ แทบจะทำให้เขาสติแตก
รันเดลวางพู่กันลงอย่างเรียบร้อยก่อนจะหันไปยิ้มให้เดวิดที่ตอนนี้ทำหน้าแปลกใจกับปฏิกริยาของเขาที่เหนือความคาดหมาย
“ตอนนี้ทุกคนคงจะเลิกเรียนกันหมดแล้ว แต่เรายังทำหัวข้อวิชาศิลปะไม่เสร็จ ช่วยเราหน่อยได้ไหม”
ถึงจะแปลกใจที่คนตรงหน้าดูไม่โกรธ แถมยังเมินคำพูดของเขาแต่เดวิดก็พยักหน้ารับ เขาถูกบอกให้ไปนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าผ้าใบ
รันเดลเปลี่ยนภาพดอกไฮเดรนเยียที่ยังวาดไม่เสร็จเป็นผ้าใบสีขาวว่างๆ
“อ้อ ต้องมีอุปกรณ์เสริมนิดหน่อยนะ” กายเล็กเดินเข้ามาใกล้และใช้ผ้าสีดำคาดตาคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เดวิดถามว่าทำไม
เขาก็เพียงตอบกลับไปว่ามันเป็นธีมสำหรับการวาดในครั้งนี้ นอกจากนั้นยังมัดมือไพล่หลังและเท้าของเขาติดกับขาเก้าอี้ด้วย
“เฮ้ยๆ นี่มันไม่มากเกินไปหรอวะ”
ความเงียบที่ส่งกลับมาทำให้เขาเริ่มใจเสีย ในความมืดแถมมือและเท้าที่ขยับไม่ได้นี่มันอันตรายชัดๆ เดวิดหันซ้ายขวาอย่างร้อนรนก่อนจะสัมผัสได้ถึงมือร้อนที่แนบลงบนแก้ม
“อย่ากลัวไปเลย”
ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขารู้สึกกลัวรันเดลเลยนอกจากครั้งนี้ น้ำเสียงนั่นเย็นยะเยือกจนขนอ่อนพากันลุกพรึ่บทั้งร่าง
เดวิดไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเมื่อรู้สึกถึงโลหะแผ่นบางที่แนบอยู่บนลำคอ เสียงเล็กหัวเราะอย่างสนุกที่เห็นเดวิดลนลานจนเหมือนคนบ้า
เหงื่อบนขมับที่ไหลซึมผ่านผ้าคาดตาสีดำนั่นเป็นตัวบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวตื่นเต้นแค่ไหน- Don't be scared:
คัตเตอร์เลื่อนผ่านลำคอลงมาจนถึงเสื้อเชิ้ตสีขาว โลหิตสดไหลออกมาจากบาดแผลที่เขาเป็นคนทำเมื่อครู่
เดวิดกัดริมฝีปากแน่นและสะอื้นไห้ทำให้รันเดลตีสีหน้าสงสารออกมาแม้คนตรงหน้าจะไม่เห็นก็ตาม
“เฮ้ๆ จะร้องไห้ทำไมกัน นายไม่ชอบภาพวาดของเราหรอ” ประโยคที่เขาได้รับเมื่อตอนกลางวันถูกนำมาใช้อีกครั้ง รันเดลยิ้มน้อยๆ มองริมฝีปากสั่นเทิ้มที่พยายามจะพูด
“นะ นายจะทำอะไร ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนี้เลยนะ” เขาพูดรัวเร็วจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง เดวิดไม่ได้รับเสียงตอบกลับแต่เป็นความรู้สึกดึงรั้งของกระดุมบนเสื้อที่ค่อยๆ ถูกกรีดออกไป
หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความแหลมคมที่จ่ออยู่บนหน้าอกข้างซ้าย
“นี่”
“ฮึก…”
“ทำไมตอนนั้นถึงทำกับเราแบบนั้นล่ะ”
“อ๊ากกกกกก”
เพียงเบาๆ
ที่ปลายคัตเตอร์กดลงไปบนผิวเนื้อเดวิดก็รู้สึกเจ็บแทบบ้า รันเดลใช้ผ้ายัดเข้าไปในปากเพื่อไม่ให้เสียงเล็ดรอดออกไปมากกว่านี้
ตวัดข้อมือบรรจงกรีดเนื้อนิ่มเหมือนที่เขาทำกับภาพวาดไฮเดรนเยีย
“ว้าวว สีสวยชะมัด” เขาแสร้งทำเสียงชม มองดอกกุหลาบสีแดงสดบนอกเดวิดแล้วก็รู้สึกปลื้มปริ่ม มองใบหน้าของเพื่อนร่วมห้องที่ตอนนี้น้ำหูน้ำตาไหลเต็มไปหมดก็รู้สึกสมเพช
ดึงผ้าอุดปากนั่นออกให้มันได้หายใจ และยิ้มขำเมื่อถูกด่ากลับมา
“FxxK!! แกมันบ้าไปแล้ว!!” รันเดลใช้มือบีบปลายคางนั้นแน่นก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เบาๆ หน่อยสิ อยากให้เราวาดภาพเพิ่มหรือยังไง?”
“ขะ.. ขอร้อง ปล่อยฉันไป” รันเดลสะบัดหน้าของเดวิดออกจากมือ หันไปเช็ดคัตเตอร์กับผ้าที่เตรียมไว้และหันความสนใจไปหน้าอกข้างขวาที่ยังคงว่างเปล่า
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราจะส่งของขวัญรุ่นลิมิเตตนี้ให้ถึงมือพ่อกับแม่นายเองนะ”
“ไม่!!”
3
ร่างโปร่งตื่นมาดื่มน้ำกลางดึกเพราะฝันประหลาด เหงื่อโชกจนเต็มแผ่นหลังและนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกกระหายมากขนาดนี้
รันเดลไม่รู้ว่าเพราะอ่านหนังสือมากไปหรือเปล่าถึงได้ฝันอะไรไร้สาระ จนตอนนี้หัวใจของเขาก็ยังเต้นรัวอยู่เลย
แต่เขาจำอะไรไม่ได้
จำไม่ได้สักอย่าง
มันคือความฝันขมุกขมัวเหมือนควันบุหรี่ที่เขาไม่เคยนึกชอบ ทำให้เขามึนหัวจนแทบจะอาเจียน รันเดลถอนหายใจเฮือกใหญ่
มองออกไปนอกบานกระจกใสซึ่งเป็นวิวของทะเลยามค่ำคืนก็รู้สึกเหมือนจะเริ่้มสงบขึ้นมาบ้าง หันมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาตีสองครึ่ง
อา เขานอนไปได้แปปเดียวเองนี่นา
ใช้มือสางผมลวกๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปนอนอีกครั้งโดยไม่ได้สนใจมือถือที่ส่งเสียงว่ามีข้อความเข้าของตัวเองเลยสักนิด
‘ว้าวว นี่ภาพวาดของลูกเองหรอเนี่ย ฝีมือไม่ใช่ย่อยเลยนะ แม่เจอในห้องเก็บของน่ะ’
อ่า หวังว่าคืนนี้เขาไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกอีกนะ
END
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คสูงกว่ามาตรฐานมาก (100%)
S - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีนิลสุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,500,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sat 15 Jul 2017, 19:32
- Spoiler:
- "เอ้า! ขอเสียงหน่อยเร็วววว"
เหมือนกับว่าผมอยู่ในผับใจกลางเมืองเพชรบุรี หรืออาจจะเป็นร้านชบา...อะไรสักอย่างที่ผมเคยไปดื่มเมื่อปีใหม่กับพี่ไมค์ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะเสียงมันดังอึกทึกมากกว่าตอนนั้นหลายเท่า ผมรู้สึกสึกอึดอัดตัวนิดหน่อย น่าจะเป็นเพราะว่าตอนนี้คนเยอะเหลือเกิน
เออ...เอาเถอะ ถือว่ามาสนุกก็แล้วกัน
ผมร้องโห่ฮิ้วไปตามเสียงดีเจ น่าจะดีเจล่ะมั้ง แต่คิดว่าไม่น่าใช่เจ้าแม็ก แต่ก็คล้ายๆ แหะ...อืม เอาเป็นว่าผมร้องเสียงดังตามเสียงของดีเจ บรรยากาศงานครื้นเครงมากๆ รอบกายผมเหมือนทุกคนจะสนุก เพราะผมฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ทั้งหมดนั้นเสียงดังมากๆ
"ทางนู้นครับสุดหล่อ โยกๆ หน่อย"
"เอาสิไอน์"
เสียงผอ.ที่ดังขึ้นด้านหลังของผม เหมือนว่าผอ.เองก็จะมางานนี้เหมือนกัน
"คุณออกมาข้างนอกได้แล้วเหรอ"
ผมถามด้วยใจที่เต้นตึกตัก ผอ.ไม่เคยออกมาข้างนอกเองเลย เว้นแต่จะเป้นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ตอนนี้เสียงผอ.อยู่ตรงข้างหน้าผม ผมสัมผัสได้ว่าผอ.กำลังยิ้มและจับมือผมไว้ทั้งสองข้าง เสียงหัวเราะสดใสที่ผมไม่เคยได้ยินก็ดังขึ้น
"มาได้สิ ก็มากับไอน์นี่นา"
"งื้อ..." ผมเผลอส่งเสียงงุงงิ้งออกไป
"น่ารัก..." เสียงผอ.เองก็ดูจะเอ็นดูผมมากเหลือเกิน เป็นผอ.ในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และผมเองก็ชอบซะด้วยสิ ดูผอ.เข้าถึงง่ายมากๆ อยากให้ผอ.เป็นแบบนี้ไปตลอดจัง วันที่ผอ.ยิ้มและหัวเราะได้สดใสแบบนี้
สงสัยต้องพามางานคอนเสิร์ตบ่อยๆ
"แกๆ ข้างหลังเหมือนดาราเลยอ่ะ"
คนข้างหน้าผมพูดขึ้น อนิจจาผมมองไม่เห็นหรอก แต่คนข้างหลังผมคือผอ.นี่นา จะใช่ดาราที่ไหน ซักพักคนข้างหน้าผมและผองเพื่อนของเธอ(?) ก็พากันกระซิบกระซาบ และเสียงถ่ายภาพมือถือก็ดังขึ้น ผอ.ที่อยู่ด้านหลังผมก็ขยุกขยิก อ๊ะ...จะว่าไป
"ผอ.ครับ เขารู้ว่าผอ.เป็นดารา"
"คิดว่าคงจะป่วนแล้วล่ะ"
เอาแล้วสิ บรรดาสาวๆ เริ่มเขามาวุ่นวายผอ.แล้ว ทันใดนั้น ผอ.ก็จับมือผมแน่น แล้วออกวิ่ง
"ไปกัน!!!"
แต่..คือ... ผมอยากวิ่งหนีบรรดาแฟนคลับผอ.นะ แต่คือผมมองไม่เห็นและผมก้าวขาไม่ออก จะวิ่งแต่ละเก้ามันยากลำบากเหลือเกิน เสียงสาวๆ พวกนั้นดังใกล้เข้ามาแล้ว ฮือ! ทำไงดีครับผอ.!!
"ทางนี้ๆ"
แล้วผมก็ถูกผอ.ฉุดมาที่ชานชาลารถไฟ ผมรู้ได้ไงน่ะเหรอ เพราะมีเสียงประกาศของผู้หญิงดังขึ้นว่ารถไฟสายสีส้มจะมาในอีก 5 นาที แต่สาวๆ พวกนั้นไปไหนหมดแล้ว แล้วนี่ผอ.ขึ้นรถไฟเองได้เหรอ?
"มาเถอะ เธอมีบัตรมั้ย"
"บัตรอะไรครับ"
"บัตรขึ้นรถไฟ"
ผมตบๆ กระเป๋าตัวเอง แล้วก็พบว่า...
"ผอ.ครับ.. ผม"
ให้ตายสิ บัตรผมหายไปไหน กระเป๋าตังของผมด้วย มันหายไปหมดเลย นี่ผมลืมไว้ที่โรงเรียนงั้นเหรอเนี่ย
ผมละล่ำละลักบอกผอ. ผอ.เดินเข้ามาจับมือผมไว้ แล้วทำเสียงเป็นกังวล
"ทำยังไงดีล่ะ"
แต่จู่ๆ ผมก็วูบลงไปอยูบนรางรถไฟ ขณะที่รถไฟกำลังจะมา ผมพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปแม้จะมองไม่เห็น ได้ยินเสียงผอ.พยายามจะช่วยเหลือ ทำไมผมก้าวขาไม่ได้ ก้าวขาสิไอน์! นายจะตายแล้วนะ!
"ไม่นะ ผอ.!!! ช่วยผมด้วยครับ!!!!"
.
.
.
"ผอ.ครับ!!!!!"
"ไอน์ ไอน์ตื่นรึยัง? ไอน์"
เฮือก... เดี๋ยวนะ... ตะกี้ฝันใช่มั้ย?
"เป็นอะไร เรานอนครางมาตั้งนานแล้วนะ"
"ผม ผมฝัน..."
"ฝันว่าอะไรเนี่ย..."
ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตื่นผมไม่แน่ใจว่าผมลงไปอยู่บนรางรถไฟได้ยังไง แต่คิดว่าไม่น่าใช่ผอ.ผลักหรอกมั้ง อากาศอุ่นๆ ขึ้นแล้ว น่าจะเป็นเวลาเช้าที่แดดส่องถึง นี่ผมนอนมากเลยฝันมากใช่มั้ย
"คือ..."
B - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีไพลิน สื่อถึงความลึกล้ำ มีมูลค่า +75 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ดีมากเป็นที่น่าพึงพอใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,000,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sat 15 Jul 2017, 21:01
- My Dream...:
ความฝัน...
ความจริง...
สิ่งใด คือสิ่งที่เจ้าปรารถนามากที่สุด?
ความฝัน กับ ความจริง...งั้นเหรอ? เป็นไปได้ ก็อยากจะลองฝันดูสักครั้งก็ยังดี
ฝันที่เราอยากจะเห็นมากที่สุด...ในชีวิต
นั่น...คือความปรารถนาของเจ้า ที่ต้องการ? ถ้าอย่างนั้น ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงขึ้นมา...ขอให้สนุก
ทันทีที่เสียงปริศนานั้นได้เงียบลง แสงสว่างจากจุดเล็กๆ ของสายตาค่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง...- ความฝัน:
- เพลงประกอบ:
" พีช! ตื่นสิลูก " น้ำเสียงที่ชวนคิดถึงของคนๆ หนึ่ง ที่ผมเฝ้านึกถึงอยู่ตลอด...- เจ้าของเสียงที่ว่า...:
" อืม...แม่? "
" ก็แม่น่ะสิ จะใครล่ะ "
" ที่...นี่? "
" นี่ ลูกละเม่ออะไร หืม? ก็ที่บ้านของเราไง "
ตัวผมได้ตื่นขึ้นมาที่บ้านเดิมของผม บ้านที่เป็นแหล่งความทรงจำที่ดีที่สุดของผมในสมัยเด็ก
" แม่...แม่!!! "
" อ่ะ...อะไร?!! "- ผมวิ่งโผบกอดแม่อย่างรวดเร็ว:
" อะไรกัน หืม? ถ้าจะอ้อนขออะไรอีก ใช้แผนนั้นไม่ได้แล้วนะ "
" ไม่ครับ ผมไม่อยากได้อะไรแล้ว...แม่ ผมคิดถึงแม่มากๆ เลยครับ "
" เอ่อ...อยากทำอะไรก็เชิญแล้วกันนะ "
ผมจำไม่ได้แล้วว่า ความอบอุ่นของแม่นั้น มันเป็นยังไง มันเจือจางราวกับอากาศที่...เรารับรู้ว่า มีตัวตนอยู่ แต่กลับสัมผัสไม่ได้...
" แม่ครับ แล้วพ่อล่ะ? "
" อ่อ อีธานไปทำงานอยู่น่ะ มีอะไรรึเปล่า? "
" ไม่เป็นไร ตื่นมาเจอแม่ก็ยังดีครับ "
" ขี้แงจริงๆ นะ เราเนี่ย โตป่านนี้แล้ว "
" แม่ครับ วันนี้แม่ไม่ต้องทำงานเหรอ? "
" แม่บอกไปแล้วหนิ ว่าแม่ลาออกมาแล้ว "
" เอ๊ะ!? ผมจำได้ว่- "
*ก๊อก *ก๊อก เสียงเคาะประตู ที่เคาะอย่างนุ่มนวล
" คุณชาล๊อต ฉันเอาน้ำชามาเสิร์ฟค่ะ "
" เข้ามาได้เลย "
สาวใช้ประจำบ้านของตระกูลโอลิเวอร์ " แมรี่ " ที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ทว่า
" หวัดดีครับ พี่แมรี่ "
" ส...สวัสดีค่ะ คุณหนูพีช "
" วันนี้ก็ชงชาหอมเหมือนเคยเลยนะครับ "
" ขอบคุณค่ะ "
" หืม นี่ลูกดื่มชาสมุนไพรเป็นด้วยเหรอ? "
" เอ๊ะ? ผมก็ดื่มเป็นประจำอยู่แล้วหนิครับ "
" สงสัยแม่จะจำผิด ปกติเห็นลูกชอบดื่มกาแฟ ไม่ก็โกโก้มากกว่า "
" เหรอ...ครับ? "
" งั้นเดี๋ยว ฉันจะชงชามาเพิ่มนะคะ "
" ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันดื่มกาแฟเอง ให้ชากับพีชเขาไป "
" ได้ค่ะ "
พีชมองแมรี่ แมรี่หน้าแดงเล็กน้อย...
" เป็นอะไรครับ พี่แมรี่? "
" ป่ะ...เปล่าค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ "
แปลกจังปกติ เห็นพี่แมรี่ดูเป็นคนมุ่งมั่น มีความเป็นผู้นำ ออกจะผู้ชายด้วยซ้ำ แต่ไหงถึงดูกุลสตรีขึ้นมาล่ะ งงแฮะ หรือว่า ทึ่งในความหล่อของเรากันนะ ฮ่าๆๆ
.
.
.
วันนี้ก็มีเรื่องแปลกหลายๆ อย่าง แบบเรื่องที่แม่ไม่รู้ว่า ผมดื่มชาด้วย หรือจะเป็นพี่แมรี่ ที่ดูเรียบร้อยเกินผิดปกติ บางทีอาจจะเป็นเพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่เสียไปซะก่อน ก็จะเป็นแบบนี้สินะ
วันนี้ ทั้งวันผมพยายามใช้เวลาอันมีค่ากับคนในครอบครัวให้ได้มากที่สุด เพราะคนที่ผมคิดถึงและอยากเจอมากที่สุด ได้อยู่ตรงหน้าผมแล้ว
ทุกช่วงเวลาที่ผมใช้ไป มันราวกับเวทมนตร์ หรือปาฏิหารย์ อย่างใดอย่างนั้น
ผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่มีความสุข และมีคนในครอบครัวที่ดี และไม่ลำบากเท่าคนอื่นที่ผมรู้จักในโรงเรียนควิ้น
ในบางครั้งผมก็เผลอคิดว่า ตัวเองลำบากกว่าใครๆ ล่ะ...นะ
- ความจริง:
" นี่ พีช...แม่มีเรื่องอยากจะขอร้องสักหน่อย ได้ไหม? "
" เรื่องอะไรครับ? "
" แม่ขอให้ลูกสัญญากับแม่ได้ไหม ว่าลูกจะเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเจอเรื่องที่เลวร้ายก็ตาม "
" ทำไม..ล่ะครับ"
" ก็...แม่ เป็นห่วงลูกน่ะ "
" ผมโตแล้วนะครับ ไม่ขี้แงเหมือนแต่ก่อนแล้ว "
" พีช ลูกอาจจะโกหกแม่ได้ แต่ลูกโกหกกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้นะ "
" ... "
" พีช ลูกเกลียดพ่อกับแม่รึเปล่า ที่ปล่อยให้ลูกอยู่อย่างโดดเดี่ยว "
" ม่ะ...ไม่ครับ "
" แม่ขอโทษนะ ที่แม่ไม่สามารถสวมกอดลูก ในยามที่ลูกต้องการใครสักคน "
" ผม...ไม่เป็นไรครับ... "
" พีช ขอให้แม่ได้กอดสักครั้งเถอะนะ ก่อนที่กาลเวลาจะสิ้นสุดลง..."
" แม่...*ฮึก *ฮึก "
ความเจ็บปวดทุกอย่าง มันปะทุออกมาจากอก ความเศร้า ความเหงา ความโดดเดี่ยว มันช่างน่ากลัว...- เพลงประกอบ:
พีช ลูกน่ะ เป็นคนที่มีความขยันขันแข็ง มีความมุ่งมั่น มีความน้ำใจเอื้อเฟื้อกับผู้คน แต่เพียงลูกปิดกั้นผู้อื่น และตัวเองเท่านั้นเอง นิสัยก็คล้ายๆ อีธานนี่นะ ฮ่าๆๆๆ แต่เขาน่ะ เวลาได้ลองทำอะไรให้มันสุดทางจริงๆ เขาก็จะเจอแสงสว่างที่เขาเฝ้าหามานาน
พีช แม่ขอให้ลูกเชื่อมั่นในตนเอง คนเราสามารถล้มเหลวกันได้ แต่ว่า ต้องลุกขี้นยืนให้ได้ด้วยเช่นกันนะ
ที่แม่กับอีธานตั้งชื่อลูกว่า พีช ก็เพื่อให้ลูกเป็นตัวแทนแห่งความสงบร่มเย็น และความสุขที่ใครๆ ก็อยากจะพึ่งพาด้วย และก็เพื่อให้แม่กับอีธานได้มีความสุขทุกครั้ง ที่ได้เฝ้าดูลูกเติบโตขึ้นมา เหมือนอย่างกับ ต้นกล้าต้นน้อยๆ ที่รอคอยเป็นที่ร่มเย็น ที่พักพิงให้กับสิ่งต่างๆ เมื่อเติบใหญ่เป็นต้นไม้ใหญ่
" แม่... "
" เอาล่ะ ถึงเวลาที่แม่จะต้องไปแล้วล่ะ...ยังไงก็ต้องขอบคุณแม่มดน้อยผมสีครามคนนั้นด้วยนะ ที่ทำให้แม่สามารถมาบอกลากับลูกได้สักที ถึงแม้ว่า จะดูลึกลับไปหน่อยล่ะนะ "
อะไรกัน...ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย- ความเจ็บปวด...:
ความจริงก็คือความจริงอยู่ดี ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ต่อให้จะย้อนเวลากลับมาแก้ไข หรือเขียนทับใหม่ ยังไงซะ ความรู้สึกเหล่านั้นที่เจ้าได้เผชิญกับมัน ก็ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว...มันเป็นกฏแห่งกาลเวลา
แล้วจะให้ฉันฝันแบบนี้ ทำไมล่ะ ในเมื่อมันไม่เปลี่ยนแปลงอะไร...
ก็นั่นแหละ คือคำตอบที่เจ้าเลือก...เจ้าเลือกที่จะฝันในสิ่งที่เจ้าปรารถนาแรงกล้ามากที่สุด แต่ถ้าหากเจ้าเลือกความจริง เจ้าก็จะตื่นขึ้นจากการหลับไหลนี้
คุณแม่...คุณพ่อ...
เจ้ามนุษย์ผู้โง่เขลา...เจ้ารู้ไหมว่า การที่เจ้ายังมีเรื่องทุกข์ใจที่เจ้าไม่สามารถทำได้สำเร็จนั่น มันทรมาณแค่ไหน เจ้าน่าจะรู้ดีที่สุดหนิ
เรื่องที่เราทุกข์ใจ...
ใช่แล้ว เพราะงั้นความฝันนี้ ถึงได้นำพาเจ้ามาพบเจอกับแม่ของเจ้าเอง เพื่อที่สามารถขจัดความทุกข์เหล่านั้นออกไปจากใจของเจ้าเอง... ความทุกข์ของเจ้านั้น ก็คือการที่ยังไม่ได้เอยกล่าวข้อความจากก้นบึงของหัวใจของเจ้า ให้กับบุคคลที่เจ้ารักมากที่สุด
พีช...
"คุณพ่อคุณแม่...ผมน่ะ กีฬาก็ไม่ได้เก่ง เรียนก็ได้กลางๆ ร่างกายก็ไม่ได้แข็งแรงดีเท่าคนอื่น สิ่งที่ผมพยายามตั้งใจทำให้สำเร็จก็ล้มเหลวไม่เป็นท่ามาตลอด จนบางที ผมเคยคิดว่า ผมจะเกิดมาทำไมในเมื่อตัวเอง ก็เป็นคนที่ล้มเหลวขนาดนี้..."
พีช พ่อน่ะ...รู้ว่า ลูกก็คงไม่อยากจะเป็นแบบนี้ พ่อเองก็เคยเป็นแบบลูกนะ แต่ว่า ถ้าลูกเลือกที่จะยอมแพ้ ก็เท่ากับว่า ลูกเลือกที่จะหันหลังให้กับความพยายาม อุส่าห ที่ลูกสร้างขึ้นมาทั้งหมดเลยนะ พยายามเข้าพีช ความสำเร็จเหล่านั้น มันจะเป็นเครื่องมือที่บ่งบอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกได้สร้างขึ้นมากับมือ เข้าใจไหม...
พีช แม่รับรู้มาตลอดถึง ความมืดหม่นในตัวลูก แม่ก็เจ็บปวดเช่นกัน ที่ไม่สามารถเป็นคบเพลิงที่นำพาความสว่างไสวให้กับลูก และส่งมอบไฟที่กำลังดับมอดให้กับลูกต่อได้ แม่ขอโทษ...แม่รักลูกมากๆ เลยนะ รอยยิ้มของลูกที่ส่งมาให้นั้น มันทำให้อีธานกับแม่ ได้รู้ถึงคุณค่าของชีวิตที่สามารถยอมทิ้งทุกสิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกเติบโตได้อย่างที่เราตั้งใจ...
" คุณพ่อคุณแม่ ผมจะสานต่อเจตนารงค์นั้นให้ดีที่สุดครับ "
" อ่ะ...ผมรักมากๆ เลยครับ คุณพ่อคุณแม่ "
.
.
.
" พ่อกับแม่ ก็รักลูกมากๆ เหมือนกันนะ...*ฮึก *ฮึก "- "...Last Smile":
- เพลงประกอบ:
" พีชครับ! "
" ...คุณไทระ ผม "
" ฝันใช่ไหมครับ? "
" ใช่ครับ "
" ผมก็ฝันเหมือนกันครับ อยู่ๆ ก็ไปอยู่ดินแดนขนมเฉยเลย..."
" งั้นเหรอ... "
" แล้วพีช ฝันอะไรครับ? "
" อืม...เอาเป็นว่า เป็นความฝันที่ดีและไม่ดีน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ "
ความฝันที่ผมได้เห็นนั้น มันค่อนข้างแปลกประหลาด และก็มีความสุขปนๆ กันไป แต่ว่า พอผมได้มาเจอพวกท่านอีกครั้ง มันเหมือนเติมไฟในใจผมให้สว่างไสวอีกครั้งแล้วล่ะครับ
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คสูงกว่ามาตรฐานมาก (100%)
S - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีนิลสุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,500,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
พลังไสยศาสตร์แห่งความรู้ [ ไอเทมจากการแลก QUAINT ORE ] สกิลบัฟเพิ่มค่า Grade Exp. ที่ได้รับจาก "STAMP" เฉพาะในภารกิจหลักนั้นๆ จำเป็นต้องระบุการใช้งานสกิลบัฟนี้ระหว่างการส่งภารกิจก่อนได้รับการประเมินสแตมป์เท่านั้น +50% ของ Grade Exp. ที่ได้รับจาก STAMP ในภารกิจนั้น |
- MJ_mini
Pearwa Yanil
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3
1380
+42 M 262 K 181
PASSPORT
:
(850/1500)
:
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sat 15 Jul 2017, 22:18
- ''ถ้าเป็นไปได้...'':
- [ เวลาที่อยู่ในห้วงของความฝัน คุณเองก็รู้สึกใช่ไหมว่ามันยาวนานทั้งๆที่บางครั้งในโลกความจริงเองก็ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที
แต่มันจะยิ่งยาวนานขึ้นเมื่อเป็นฝันร้าย....หรือเป็นสิ่งที่เราไม่อยากจำมันอีก.... ]
.
.
.
.
.
.
.
“ขอโทษครับ แต่ว่า.. ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้จริงๆ
เราคงทำได้แค่เพียงรักษาคุณภาพการมองเห็นให้คงที่"
ถึงแม้เสียงกระทบพื้นของส้นรองเท้าที่เดินผ่านไปผ่านมาหรือเสียงพูดคุยของคนไข้กับพยาบาลมันจะดังอยู่ตลอดเวลา
แต่เรากลับได้ยินเสียงนี้ชัดเจน มันเป็นเสียงของผู้ชายวัยกลางคน เป็นคุณหมอที่คอยดูแลรักษา และตรวจดูอาการให้
"ถ้าเป็นไปได้อยากให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยดูแลน้องให้ดี"
เขากำลังบอก บอกว่าเราไม่มีโอกาส...
ถึงจะเห็นไม่ชัดนักแต่ด้วยแรงของฝ่ามือเรียวที่บีบไหล่ และมือหนาที่บีบแขนเราอยู่ตอนนี้
พวกท่านกำลังเสียใจ แต่ไม่อยากให้เรารู้ และปลอบใจเราด้วยคำว่า ‘ไม่เป็นไรเนอะ’
.
.
.
.
.
.
“ใครจะยอมให้เล่นด้วยล่ะ”
เราถูกกีดกันออกจากกลุ่มในเวลาเพียงไม่กี่นาที ทั้งๆที่ตอนแรกที่คุณพ่อคุณแม่อยู่ด้วย ก็บอกจะเล่นกันดีๆ
แต่พอพวกท่านหายออกไปทำธุระ ทุกๆคนกลับเปลี่ยนไป...
“ฮ่าฮ่าฮ่า ยัยษรตาบอด ยัยษรตาบอดด”
เสียงของเด็กๆในรุ่นราวคราวเดียวกันที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อรู้ว่าเรามีอะไรที่แปลกไป
“อย่ามามองหน้า” ฝ่ามือเล็กๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยื่นมาตบตีที่แขนที่หน้าเรา
ในขณะที่เด็กผู้หญิงอีกคนพยายามจะเปิดเปลือกตาเราออกกว้างๆเพื่อขอดูนัยย์ตาของเรา
เราเองก็ต้องป้องกันตัวเลยยกแขนมาบังและใช้มือปัดออกไป
“นิสัยไม่ดีอ่ะ” และเด็กผู้ชายอีกคนที่เข้ามาทั้งดึงและกระชากผม...
จู่ๆเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาดูสนุกสนาน ทำไมถึงหัวเราะกันนะ
“อย่าเล่นแรงๆแบบนั้นดิเดี๋ยวแม่ก็ว่าหรอก”
ถึงแม้จะมีเสียงห้ามปรามของเพื่อนๆบางคน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหยุด ถึงแม้เราจะตะโกนและร้องไห้ออกมาแค่ไหน
ก็ไม่ได้รับความเห็นใจ ซ้ำยังถูกบอกกลับมาว่า ‘จะร้องทำไมเรื่องแค่นี้’ ‘ปัญญาอ่อน!’
โชคดีที่ยังมีเด็กนิสัยดีสองสามคนผ่านมาเห็นและเข้ามาช่วยแยกพวกเราออกจากกัน แต่เด็กๆกลุ่มที่แกล้งเราก็ยังคงตะโกนด่าว่าเราอยู่
เราได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้คุณพ่อกับคุณแม่เห็นเหตุการณ์ทั้งก่อนหน้านี้และตอนนี้เลย เพราะพวกท่านต้องเสียใจแน่
“น้องษร!!” แต่คำขอของเรากลับไม่เป็นผล พวกท่านเห็นเกือบทั้งหมดและตอนนี้ทั้งสองวิ่งมาถึงตัวเราแล้ว
เสียงทุ้มๆของคุณพ่อกำลังดุและสั่งสอนเด็กๆนั้นดังขึ้น เราไม่อยากให้คุณพ่อดุเลย มันจะทำให้ท่านเครียดนะ....
จนแล้วจนรอดทั้งคุณพ่อรับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆเลยต้องไปเคลียกับผู้ปกครองของเด็กๆแต่ละคน พวกเราได้รับคำขอโทษมา
และบางท่านบอกจะชดใช้ค่าเสียหายให้ด้วย แต่ภายใต้คำพูดพวกนั้นก็ยังมี...
“ก็อย่างว่าอ่ะค่ะน้องเขายังเด็กจะเอาอะไรมาก เด็กๆเล่นกันแรงนิดๆหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“อย่าเวอร์ไปเลย เรื่องแค่นี้ใครๆก็เคยเจอรึเปล่า?”
“จะไปถือสาอะไรมาก เด็กก็แบบนี้แหละ”
บางครั้งพวกเราก็ได้รับสายตาดูถูกเหยียดหยามตอบกลับมา เราทำอะไรผิดไปรึเปล่านะ
หรือเพราะเรามองเห็นไม่เหมือนคนอื่นกันนะ
[ คุณรู้มั้ยว่าสังคมสมัยนี้เปลี่ยนเป็นแบบไหน ]
.
.
.
.
.
.
.
‘ถ้าเป็นไปได้......’
.
.
.
ทั้งที่อุตส่าห์พยายามตั้งใจ
พยายามเรียน ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจศึกษา
เพื่อให้เหมือนคนอื่น เพื่อให้ทุกคนยอมรับ....
.
.
.
แต่การได้รับการยอมรับ
.
.
.
มันยากเหมือนกัน
.
.
.
“ทางเราคิดว่า น้องอาจจะเรียนลำบากน่ะค่ะ”
“ขออภัยจริงๆค่ะ แต่ถ้าเป็นไปได้อยากให้คุณแม่พาน้องไปเข้าเรียนโรงเรียนสำหรับน้องเลยดีกว่านะคะ เพื่อตัวของน้องเอง”
เพราะคุณพ่อคุณแม่อยากให้เราเข้ากับเด็กที่มีร่างกายปกติสมบูรณ์แบบได้เร็วๆเลยพาเราไปสมัครเข้าเรียนในโรงเรียน
แต่แล้วความ‘พิการ’ก็เป็นข้อจำกัดของเราอยู่ดี ไม่ว่าจะกี่ที่ หรือกี่หน
.
.
.
.
‘ก็อยากหายไปเหมือนกัน....’
.
.
.
.
.
“น้องษร....แม่ขอโทษนะ”
“หมูไม่เป็นอะไรนะ....พ่อขอโทษจริงๆ”
“ลูกยังมีเรานะ..”
เสียงสั่นๆนั่นเอ่ยขึ้นพร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ แรงจากการกอดค่อยแรงขึ้นและแน่นขึ้น
เราได้แต่กอดตอบและลูบหลังพวกท่านไปเบาๆ และบอกไปพลางว่าไม่เป็นอะไร
ทำไมถึงต้องขอโทษนะ...ทั้งสองคนไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ....ไม่เอาสิคะ
ทำไมถึงเอาแต่กอดหนูแบบนี้ล่ะ เช็ดน้ำตาเถอะนะ.....
“พวกเราขอโทษจริงๆ ขอโทษที่ทำให้หนูเกิดมาเป็นแบบนี้..”
.
.
.
.
“ถ้าเป็นไปได้....”
.
.
.
.
“พวกเราก็อยากจะ...”
.
.
.
“ให้ตาของเรากับหนูนะ......”
.
.
.
.
.
.
พรึ่บ!
“ไม่!!”
......?
เด็กสาวได้ตื่นจากความฝัน ผมสีดำที่ตอนนี้เริ่มยาวแล้วถูกปัดและจับไปทัดหูอย่างช้าๆ
‘ฝัน.....’
‘ฝันนี้อีกแล้วหรอ......’
‘เฮ้อ...หวังว่าเมื่อกี๊จะไม่ทำให้แอนตื่นนะ’
เสียงถอนหายใจดังขึ้นสองสามทีแต่มันไม่น่าจะดังพอที่จะปลุกให้คนที่นอนอยู่เตียงข้างๆตื่นได้
เพราะเสียงเครื่องปรับอากาศคงจะกลบมันไปเอง
น่าแปลกที่มีลมเย็นๆปะทะอยู่แท้ๆแต่สาวเจ้ากับเหงื่อแตกพลั่ก อาจจะเป็นเพราะฝันเมื่อกี๊ที่เป็นเรื่องที่เธอเองไม่อยากนึกถึงมันเท่าไหร่นัก
อักษรได้แต่นั่งเท้าแขนกับที่นอนเงียบๆ อันที่จริงเธออยากจะลุกออกไปทำอะไรให้ตัวเองผ่อนคลายสักหน่อย
แต่ก็กลัวจะปลุกให้ ‘แอนนาเบลล์’ เพื่อนสนิทสุดแสนวิเศษของเธอออกจากห้วงแห่งความฝัน...
‘ฝันอะไรแบบนี้นะ’
‘อักษร...’
มือบางค่อยๆยกขึ้นมาปาดน้ำใสๆที่ไหลออกจากตา ทุกทีเลยสิ พอฝันถึงเรื่องแบบนี้ก็กลายเป็นเด็กขี้แยได้เลยทันที
มันเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่ต้องคอยกลั้นเอาไว้ เธอแทบอยากจะปล่อยโฮออกมา
‘อักษรต้องสู้...อักษรต้องเก่งนะ’
‘อักษรต้องยิ้ม’
‘เพื่อคุณพ่อคุณแม่ เพื่อเพื่อนๆ และทุกๆคน..’
คงไม่มีใครรู้แน่ๆ ทั้งที่เธอมีรอยยิ้มและดูมีความสุขตลอด แต่กลับมีอีกมุมนึงที่เป็นแบบนี้
[ แล้วคุณรู้รึเปล่าว่าคนที่มีรอยยิ้มให้คุณเสมอกำลังคิดอะไรอยู่บ้าง ]
.
.
.
.
.
ความฝันมันเหมือนเทปที่ถูกเก็บเอาไว้ และจะถูกนำออกมาเล่นเมื่อเราหลับสนิทไปแล้ว จะดีจะร้ายก็อยู่ที่ว่าเอาเทปม้วนไหนออกมาเล่น
และในบางครั้งถ้าโชคดีพอเครื่องสร้างสรรค์เทปใหม่ๆจะทำงาน และทำให้เราได้ฝันถึงสิ่งแปลกใหม่
ทำให้เราได้เข้าไปอยู่ในโลกของภาพยนต์หรือการ์ตูนที่เคยดู ไม่ก็พาเราเข้าไปเป็นฮีโร่ในโลกของความฝัน
แต่สำหรับสาวน้อยคนนี้ คงโชคร้ายหน่อยที่เครื่องสร้างสรรค์เทปของเธอไม่ค่อยทำงาน
และเครื่องเล่นเทปของเธอดันสุ่มมาแต่เรื่องราวที่เธอไม่อยากจำมาเล่นบ่อยกว่าเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต
บ่อยครั้งที่เหตุการณ์เหล่านั้นเล่นวนซ้ำไปซ้ำมา มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เจ็บตรงอกข้างซ้าย มันเหมือนค่อยๆถูกบีบอย่างช้าๆ
และมันก็สะกิดต่อมน้ำตาของเธอด้วยเช่นกัน...
.
.
.
.
.
.
.
หลังจากที่นั่งมาได้สักพักคนตัวเล็กก็ค่อยๆเอนตัวลงบนที่นอน และค่อยๆขยับตัวเข้าไปซุกๆในผ้าห่ม
"ฝันดีนะแอน..."
เสียงเล็กเอ่ยบอกเพื่อนของเธอ เพราะสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนที่นาฬิกาจะดังสะอีก
อักษรเองเลยคิดว่าน่าจะยังเหลือเวลานอนอีกหน่อยและได้แต่หวังว่า การนอนครั้งนี้จะเจอเรื่องดี
ก่อนจะ
หลับตาลง
อย่างแผ่วเบา...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"แอนๆ"
"คา?"
"ษรอยากรู้จัง เมื่อคืนแอนฝันอะไรหรอ เป็นเรื่องดีรึเปล่า?"
"ก้อ......"
.
.
.
.
.
.
.
.
' จาก อักษร
ถ้าเป็นไปได้ก็ขอฝันถึงเรื่องดีๆบ้างนะ
ถึง เครื่องสร้างสรรค์เทป'
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้ยอดเยี่ยมกว่ามาตรฐาน (80%+)
A - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีทับทิม สื่อถึงความหรูหรา มีมูลค่า +80 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้ยอดเยี่ยมเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,250,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
- bluebearz
Bonita Blanchett
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
1263
+122 M 935 K 310
PASSPORT
:
(350/2125)
:
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sat 15 Jul 2017, 23:36
- The Story of The Prince:
- ...And they lived happily ever after-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Happy Ending : Fairy Tales
“...ตื่นสิ”
เอ๊ะ...เสียงใครน่ะ...
“...เราไม่มีเวลาแล้วนะ!”
ไม่มีเวลา? ใครกำลังจะไปไหนเหรอ…
“บอกให้ตื่นไง ได้ยินที่ข้าพูดไหม!”
“อ...อือ..”
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงอันเล็กแหลมของใครบางคนดังแทรกเข้ามาในความมืด เสียงปริศนานั้นเรียกให้ผมลืมตาตื่น ก่อนจะยกมือขึ้นขยี้ตาเพื่อไล่ความงัวเงีย
เช้าแล้วเหรอ...ผมนึกกับตัวเอง ก่อนจะหันซ้ายหันขวาสำรวจรอบกายที่ตอนนี้ไม่ใช่โซฟาที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือ กลับเป็นที่โล่งแจ้งที่ถูกรายล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ผมนั่งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจีที่กำลังปลิวไสวหน่อยๆ หลังพิงกับต้นไม้แข็งแรงต้นหนึ่ง กิ่งก้านที่แผ่ขยายกว้างของมันบดบังแสงแดดจางๆ จนเกิดเงาทาบทับบนตัวของผม
เอ๊ะ...จำได้ว่าตอนแรกอยู่ที่ห้องพักนี่นา...
แล้ว...ที่นี่ที่ไหนกันเนี่ย!
หลังจากที่ทบทวนเหตุการณ์ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่นี่ ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ทุกคนหายไปไหนกันหมด...โรงเรียนล่ะ….แม็ซล่ะ...ผมพยายามมองหาพวกเขาผ่านช่องว่างอันน้อยนิดระหว่างต้นไม้ที่เรียงชิดกัน แต่ทว่าไม่พบอะไรเลย รู้เพียงแค่ว่าผมอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวและตอนนี้เสื้อผ้าของผมก็ไม่ใช่ชุดนักเรียนอีกต่อไป
“ว...เหวอ!!”
ซ่อกแซ่กๆ
ตุบ!
“อ..อะไรน่ะ…”
ในระหว่างที่กำลังสับสนงุนงงว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ทันใดนั้นเสียงเล็กที่หายไปได้สักพักก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงของอะไรบางอย่างหล่นลงปะทะผืนหญ้าอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนผมสะดุ้ง ผมไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร แต่ตรงหน้าผมตอนนี้มีตัวอะไรก็ไม่รู้นอนแอ่งแม้งอยู่
เข้าไปดูดีไหมนะ...แต่จะทำร้ายเราหรือเปล่า?
ผมตัดสินใจลุกขึ้น โชคดีที่มีไม้ค้ำวางอยู่ข้างๆ ผมรีบคว้ามันก่อนจะก้าวขาไปข้างหน้าอย่างช้าๆ รู้สึกว่าขาแขนจะสั่นนิดหน่อยราวกับว่าผมไม่คุ้นเคยกับร่างกายของตัวเองยังไงยังงั้น? แต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ต้องเก็บมาคิดเท่ากับเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าที่ตอนนี้นอนนิ่งไปซะแล้ว
จึกๆ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมจิ้มไปที่ขนสีขาวของมัน นิ่มจัง! ผมคิดก่อนจะรีบคว้ามันมากอดอย่างเผลอตัว ของนุ่มนิ่มนี่ดีจังเลยนะ กอดแล้วสบายสุดๆ ผมเพิ่งรู้ว่ามันเป็นตุ๊กตาก็ตอนที่เห็นรอยเย็บบางๆ และที่หูข้างหนึ่งของมันก็มีผ้าพันแผลสีขาวและกลัดด้วยเข็มกลัดสีดำ
“คุณกระต่ายนุ่มนิ่มจัง..”
“หยุดเลยนะ!” ทว่าเสียงเล็กนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่คุณกระต่ายจะกระเด้งออกจากแขนของผม ผมสะดุ้งมองคุณกระต่ายที่ยืนห่างไปไม่ไกลนักด้วยสองขาเล็กๆ ของมัน “ข้าเป็นเจ้าชายไม่ใช่คุณกระต่ายซะหน่อย อีกอย่างเจ้าห้ามมาแตะตัวเจ้าชายโดยพลการนะ!”
ทันทีที่ได้ฟังผมก็รู้ว่าเสียงเล็กนั่นเป็นของคุณกระต่ายนี่เอง แต่ว่า...ยืนสองข้างได้แถมพูดได้ด้วยเหรอ!?
ผมตาฝาดไปเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย!
“คุณเป็นตัวอะไรกันแน่…” ผมขมวดคิ้วใส่ด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมมันดูงุนงงนไปหมดทั้งป่าแห่งนี้ที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ทั้งร่างกายของตัวเองที่ยังสั่นไม่หาย ไหนจะตุ๊กตากระต่ายที่เคลื่อนไหวได้เองแถมพูดได้ด้วย คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด แต่ก็ยังไม่มีอันไหนที่เจอคำตอบเลยสักอย่าง
“ก็บอกไปแล้วไงว่าข้าเป็นเจ้าชาย ข้าถูกปีศาจสาปให้กลายเป็นตุ๊กตาเพื่อไม่ให้ไปช่วยเจ้าหญิงได้..” คุณกระต่ายพูดขึ้น ก่อนที่จะทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก “จริงสิ! เจ้าหญิง! เจ้าต้องไปช่วยเจ้าหญิงสุดที่รักของข้านะ!”
ว่าจบนิ้วชี้ของผมก็ถูกคุณกระต่ายจับไว้แล้วลากให้ตามไป ผมที่ไม่เข้าใจความกระตือรือร้นของคุณกระต่ายเลยทำได้เพียงรั้งตัวเองเอาไว้ “ด..เดี๋ยวสิ จะไปไหน”
“เจ้าหญิงของข้าถูกปีศาจจับตัวไปขังไว้ในปราสาทที่ไกลจากที่นี่ ข้ากำลังตามหาคนที่เป็นเจ้าชายแทนข้าไปช่วยเจ้าหญิง ซึ่งข้าเลือกเจ้าแล้วดังนั้นเจ้าต้องฟังคำสั่งข้านะ”
“เอ๊ะ แต่ผมไม่ใช่…”
“เถอะน่า! ไม่มีเวลาแล้วนะ!”
ไม่รอให้ได้แย้งอะไรคุณกระต่ายก็ลากผมเดินไปข้างหน้า ระหว่างที่เดินไปผมล้มบ่อยมาก...มันเหมือนกับตอนที่ผมยังอยู่มอต้นเลย ตอนนั้นผมก็ล้มบ่อยเหมือนกันเพราะยังไม่ค่อยชินกับขาแขนที่อ่อนแรงนี่เท่าไร อีกทั้งไม้ค้ำนี่ก็จับไม่ถนัดมือเลยทั้งที่หน้าตาของมันก็คล้ายกับไม้ค้ำที่ผมใช้อยู่ตลอด
ใช้เวลาไม่นานคุณกระต่ายก็พาผมออกมาจากป่าสีเขียวแล้วตรงไปยังป่าต่อไปซึ่งเป็นป่าของปีศาจ คุณกระต่ายบอกว่าป่าแห่งนั้นเป็นทางเข้าสู่โลกแห่งเทพนิยาย ที่นั่นเคยมีสีเขียวขจีแถมสวยงามกว่าป่าอื่นๆ แต่ทว่าปีศาจ (ตนเดียวกับที่สาปเจ้าชายให้เป็นตุ๊กตาและลักพาตัวเจ้าหญิง) ก็ยึดและเสกให้มันกลายเป็นสีม่วงทั้งหมด
...ไม่เข้าใจเลยแฮะ แต่ว่า…
“ผมอยากกลับโรงเรียน…”
จู่ๆ ผมก็โพล่งออกมาท่ามกลางความเงียบ หลังจากที่รู้ว่าตัวเองต้องกลายเป็นเจ้าชายแทนแล้วเข้าไปต่อสู้กับปีศาจเพื่อช่วยเหลือเจ้าหญิงออกมา ผมก็กังวลขึ้นมา กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้กลับไปที่โรงเรียนควิ้นท์อีกแล้ว
คุณกระต่ายหยุดอยู่ท่ามกลางอากาศ หันขวับมามองผมก่อนจะทำหน้ามุ่ยลงหน่อยๆ แต่ในสายตาผมกลับดูช่างน่ารัก ผมพยายามหักห้ามใจเต็มที่ไม่ให้เผลอเข้าไปกอด
“ถ้าเจ้าช่วยข้าสำเร็จ ข้าจะพาเจ้ากลับ”
“เห๊ะ...จริงเหรอครับ”
“แน่นอนสิ! รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะถึงป่าของปีศาจแล้วนะ”
เมื่อมาถึงป่าของปีศาจ ผมก็เห็นต้นไม้สูงมีกิ่งก้านแต่ไร้ซึ่งใบเรียงกันเป็นแถวมากมาย ช่วงกลางลำต้นของมันมีหน้าตาคล้ายคนกำลังโกรธ ตาของมันสีแดงฉานราวกับเลือด ท้องฟ้าเริ่มอึมครึมพร้อมกับเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ คุณกระต่ายพาผมเดินผ่านท่ามกลางต้นไม้น่ากลัวเหล่านั้น ในขณะที่ผมไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด
ผมปิดจมูกเอาไว้เพราะคุณกระต่ายบอกว่าต้นไม้พวกนี้ถูกปีศาจเสกให้มีชีวิต ถึงพวกมันจะมีตาแต่ก็มองไม่เห็น
แต่สามารถรับรู้ลมหายใจของสิ่งมีชีวิตที่ย่างกรายเข้ามาที่นี่ได้แล้วพวกมันจะจับกินทันที
ระหว่างทางที่เดินไปมีแต่คราบเลือดแห้งกรัง เสียงฟ้าร้องและเสียงขู่เบาๆ จากต้นไม้คอยตามหลังตลอดเวลา ผมรู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาที่แก้ม ทั้งผมและคุณกระต่ายไม่มีใครพูดอะไรเลย ผมได้แต่คิดในใจว่าผมจะมีชีวิตรอดกลับไปหรือเปล่านะ…
....
...
..
.
.
.
เฮ้อ…
ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะในที่สุดพวกเราก็ผ่านป่าของปีศาจมาได้ คุณกระต่ายบอกว่าถ้าหากเดินผ่านไปอีกสามป่าก็จะถึงปราสาทที่เจ้าหญิงอยู่
ผมเดินเงียบตลอดทาง สายตาก็สำรวจนั่นมองนี่ไปเรื่อยด้วยความสนใจ ระหว่างทางผมได้เจอหมู่บ้านที่เหมือนในนิทานที่เคยอ่าน เจอผู้คนและสัตว์ประหลาดมากมายราวกับมันเป็นเรื่องปกติที่ควบคู่ไปกับโลกนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรน่ามหัศจรรย์เท่าสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว
มันเหมือนกับ...ฝันไป?
เอ๊ะ...หรือผมกำลังฝันอยู่กันนะEpisode 1 : The Story of The Prince-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
END
“เฮ้! นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ!”
ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรถ้าหากนี่อาจเป็นความจริง เลยลองตบแก้มตัวเองอยู่หลายทีเผื่อว่าตัวเองจะตื่นจากฝัน แต่ไม่รู้ว่าผมตบแรงไปหรือเปล่าคุณกระต่ายถึงได้หยุดแล้วหันมามอง ก่อนจะรีบเข้ามาดึงมือของผมเอาไว้
“เจ้าโรคจิตงั้นเหรอถึงได้ตบหน้าตัวเองน่ะ?” เสียงเล็กนั่นถามอีกครั้ง
ใช่ที่ไหนกันเล่า…
ผมได้ฟังก็ส่ายหัวหน่อยๆ “ผมแค่อาจกำลังฝั…”
“อ๊ะ! เรามาถึงป่าที่สองแล้วล่ะ!”
ทันทีที่เสียงของคุณกระต่ายแทรกขึ้นผมก็รีบกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ แล้วมองตามหูของคุณกระต่ายที่ชี้ไปข้างหน้า จริงด้วยแฮะ...ตอนนี้ด้านหน้าของพวกเราเป็นป่าสีชมพู มันคือป่าขนมหวาน ทุกอย่างในป่านี้ไม่ว่าจะต้นไม้ ก้อนหินสามารถกินได้แต่ไม่จะรู้ว่าอันไหนมีพิษหรือไม่มี คุณกระต่ายบอกว่าแต่ก่อนมักจะพาเจ้าหญิงมาที่นี่บ่อย เพราะเจ้าหญิงชอบขนมหวานมาก
ผมมองด้วยความสนใจ ก่อนจะเดินตามคุณกระต่ายเข้าไปในป่า…
…….
…..
…
..
.
.
.
เมื่อเดินไปถึงใจกลางของป่า ผมก็ได้เห็นบ้านหลังใหญ่ที่ประดับด้วยขนมหวานตั้งขวางทางอยู่ มันบังทางหมดจนพวกเราไม่สามารถไปต่อได้ คุณกระต่ายบอกว่าเราต้องเดินผ่านบ้านหลังนี้ไปเพราะประตูหลังจะเชื่อมกับทางออกจากป่านี้ ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดราวกับว่าเคยเห็นบ้านหลังนี้จากที่ไหนมาก่อน ผมคิดพลางเหลือบมองลูกอมแท่งขนาดใหญ่ที่มีรอยถูกกัดไปนิดหน่อยตั้งอยู่หน้าบ้าน...
แอดดดดด
ประตูที่เปิดออกเผยให้เห็นสภาพด้านในที่มืดสลัว แต่กลับสีสันของขนมหวานเต็มไปหมด ผมกลัวว่าเจ้าของบ้านจะตกใจหรือเปล่าที่จู่ๆ พวกเราก็ถือวิสาสะเข้ามา แต่ทว่าไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงไฟในเตาผิงเท่านั้นที่สั่นไหวเพราะแรงลม ผมลองเดินสำรวจที่นี่จนได้เจอกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีแดงหน้าเตาผิง
Hansel and Gretel
...นั่นคือข้อความที่ถูกเขียนไว้บนปก ข้างในมีเนื้อหาที่ดำเนินเรื่องมาถึงเด็กชื่อฮันเซลและเกรเทลเจอบ้านขนมหวาน
พวกเขาหิวเลยกัดลูกอมแท่งที่ประดับอยู่หน้าบ้านโดยไม่รู้ว่าเป็นบ้านของแม่มด จึงถูกแม่มดจับตัวไว้แล้วขังไว้ในบ้าน พอพลิกหน้าต่อไปเรื่อยๆ ก็มีแต่กระดาษเปล่า
ผมขมวดคิ้วมุ่น ผมเคยอ่านเรื่องนี้ตอนมอต้นแต่ว่ามันมีตอนจบนี่นา…
ปัง!
ทันใดนั้นเองประตูหน้าบ้านก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมีร่างของใครบางคนเดินทึกทักเข้ามา ผมรีบวางหนังสือลงก่อนจะรีบดึงคุณกระต่ายเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
ประตูที่เปิดแง้มออกหน่อยๆ ทำให้ผมมองเห็นหน้าตาของคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าของบ้าน เป็นหญิงสาววัยชราสวมชุดกระโปรงยาวสีกรมท่าคู่กับรองเท้าบูทสีเดียวกัน เธอวางอะไรสักอย่างลงบนพื้นใกล้เตาผิง มันคล้ายกรงและในนั้นก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกขังไว้ ก่อนจะมีเด็กสาวอีกคนวิ่งตามมา จับชายกระโปรงของหญิงชราไว้แล้วร้องไห้
“ปล่อยพวกเรานะ ยัยแม่มดใจร้าย!”
“หนูขอโทษค่ะ ปล่อยพวกหนูไปเถอะ...ฮึก..”
“หุบปากน่า! วันนี้ฉันหิวมาก! ฉันจะจับพวกแกมาทำเป็นอาหารซะ!”
ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกเขา ในมือก็กอดคุณกระต่ายเอาไว้แน่น คุณกระต่ายบอกว่านั่นคือแม่มดที่เป็นเจ้าของบ้านขนมหวาน ถ้าเธอรู้ว่าพวกเราแอบเข้ามาในบ้านเธอจะต้องจับพวกเราไปทำเป็นอาหารแน่ พวกเราซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร พอรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นแม่มดเดินหายเข้าไปในอีกห้องแล้ว
ผมรีบย่องออกมาจากตู้เสื้อผ้าพยายามทำทุกอย่างให้เสียงเบาที่สุดแม้กระทั่งการปิดประตู แต่ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านโซฟากำมะหยี่เพื่อตรงไปประตูหลังบ้านนั่นเอง เสียงของเด็กทั้งสองที่อยู่ตรงนั้นก็ดังขึ้น
“พี่ชายตรงนั้นน่ะ! ช่วยพวกเราด้วย!”
“ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะ หนูอยากกลับไปหาคุณพ่อ”
แสงไฟสีส้มอ่อนจากเตาผิงที่ต้องลงบนร่างกายของพวกเขา ทำให้ผมแน่ใจว่าพวกเขาคือฮันเซลและเกรเทลจริงด้วย…
“อ..เอ่อ..”
ผมตอบอึกอัก ไม่อยากเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานเพราะกลัวแม่มดกลับมาซะก่อน สุดท้ายผมก็เลยต้องหาทางช่วย ในระหว่างที่กำลังหาวิธีเปิดกรงให้ฮันเซล เสียงกลอนประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ผมทำอะไรไม่ถูก คุณกระต่ายเลยบอกให้ไปหลบอยู่ตรงข้างเตาผิงเพราะเป็นมุมมืด
“มีใครอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า เกรเทล” เสียงของแม่มดดังขึ้น ดูเหมือนว่าสายตาของเธอจะไม่ค่อยดีนัก
“ม..ไม่มีค่ะ” เกรเทลตอบพลางส่ายหัวเป็นพัลวัน
“จุดไฟซิ ฉันจะเอาเจ้าเด็กผู้ชายนั่นมาทำเป็นอาหารมื้อแรกของวันนี้ซะเลย”
“ต...แต่ว่า” เด็กสาวมีท่าทีเลิกลักสลับกับมองฮันเซลในกรง ตัวของเธอสั่นเทิ้มไปหมดพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า
“บอกให้จุดไฟ! หูหนวกหรือไงห๊ะ นังเด็กโง่!!”
สิ้นเสียงตะเบ็งของแม่มดเกรเทลก็รีบแกล้งก้มหน้าตาก้มตาจุดไฟทันที แต่จริงๆ ไฟในเตาผิงได้ถูกจุดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ผมมองภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบๆ ฉับพลันก็นึกถึงนิทานเรื่องฮันเซลและเกรเทลขึ้นมา ผมคิดว่าเด็กสาวคงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปเลยกระซิบเรียกเธอเบาๆ
ผมบอกให้เธอแกล้งทำเป็นจุดไฟไม่ติดและขอให้แม่มดช่วยแล้วจึงผลักแม่มดเข้าไปในเตาผิง ซึ่งเกรเทลก็ทำตามและในที่สุดร่างของแม่มดก็แหลกสลายไปท่ามกลางไฟอันร้อนระอุ เกรเทลจำได้ว่าแม่มดเก็บกุญแจไว้ไหนเลยสามารถนำมาไขช่วยฮันเซลออกจากกรงได้สำเร็จ เด็กทั้งสองกอดกันแน่น ผมเห็นแล้วก็พลอยโล่งอกไปด้วย…
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรานะคะ ถ้าไม่มีพี่ชายต้องแย่แน่ๆ”
“พี่ชายฮะ...นี่ฮะ” เสียงของฮันเซลทำให้ผมต้องชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง เด็กชายตัวเล็กเดินจ้ำอ้าวมาหาก่อนจะยื่นลูกกวาดอันหนึ่งมาให้ “แทนคำขอบคุณจากพวกเราฮะ”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะรับมาถือไว้ มันเป็นลูกกวาดที่ผมไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน ผมตัดสินใจซุกมันไว้ในกระเป๋ากางเกงเพราะอย่างไรผมก็ไม่ค่อยชอบขนมหวานอยู่แล้ว ก่อนจะมองเด็กทั้งสองแบกกล่องสมบัติที่ค้นเจอจากในห้องนอนของแม่มดเดินออกจากบ้านไป
“รีบออกมาเร็ว!”
ไม่นานนักบ้านขนมหวานก็สั่นไหวคล้ายจะพังลงมา ผมรีบก้าวตามคุณกระต่ายไป พอพ้นออกจากบ้านมันถึงได้ถล่มลงมาเหลือแต่เพียงเศษซากขนมที่ตอนนี้ไม่น่าพิศสมัยอีกต่อไปแล้ว
ผมเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งหล่นอยู่เลยหยิบขึ้นมาดู ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่เจอตอนสำรวจบ้าน พอลองพลิกหน้ากระดาษไปก็เห็นว่าหน้าที่เคยว่างเปล่ากลับมีตัวหนังสือและภาพประกอบขึ้นมา เรื่องราวกับเด็กทั้งสองได้ดำเนินต่อและจบลงตรงที่พวกเขาได้พาความร่ำรวยกลับไปหาพ่อและพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
“หนังสือนั่นก็คือเรื่องราวที่พวกเขาได้พบเจอมา การที่กระดาษว่างเปล่าก็เพราะพวกเขายังไม่ได้พบเหตุการณ์เหล่านั้นหน้าของมันจะปรากฎข้อความเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขา ถ้าหากพวกเขามีจุดจบที่น่าเศร้า หนังสือเล่มนี้ก็จะจารึกจุดจบที่น่าเศร้าเช่นกัน” คุณกระต่ายที่ชะโงกหน้ามามองหนังสือบอกแบบนั้นกับผม ผมตัดสินใจปิดหนังสือแล้ววางลงที่เดิม พอจะเริ่มเข้าใจโลกที่แฟนตาซีนี้มากขึ้นแล้วแฮะ
“ถ้าผมไม่บอกเธอ พวกเขาจะเป็นไงต่อ”
“ก็คงถูกแม่มดจับกินตามระเบียบ ที่นี่ไม่มีเรื่องราวที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนในนิทานที่พวกเจ้าอ่านเสมอไปหรอก นั่นก็แค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น ในความจริงน่ะมันโหดร้ายมาก..”
โหดร้ายเหรอ…
“รีบไปป่าที่สามกันเถอะ เจ้าหญิงสุดที่รักของข้าคงจะรอนานแล้วล่ะ!”Episode 2 : Hansel and Gretel----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
HAPPY ENDING
ทั้งที่เพิ่งผ่านมาป่าเดียวแต่กลับรู้สึกว่าเหนื่อยมาก อาจเป็นเพราะเดินไกลแถมขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงผมเลยต้องพักอยู่เป็นระยะ ถึงแม้จะมีนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่ไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงป่าต่อไป ผมลองกวาดตามองดูรอบกายก็ไม่ต่างอะไรกับป่าธรรมดาทั่วไป
หรือว่าที่นี่อาจจะไม่มีอะไรล่ะมั้ง? ผมคิดทั้งที่ไม่อาจรู้เลยว่าทางข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่…
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวพวกเราก็ได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้จากที่ไหนสักแห่งไม่ไกลนัก ผมกับคุณกระต่ายมองหน้ากันโดยอัตโนมัติก่อนจะช่วยกันตามหาเสียงร้องไห้นั้น คุณกระต่ายบอกว่าเบาะแสของทางออกจากป่านี้อาจจะอยู่กับเด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ก็ได้
หลังจากที่หาอยู่นานในที่สุดคุณกระต่ายก็หาเด็กสาวคนนั้นเจอ เธอก้มหน้าร้องไห้หลังพิงกับรูปปั้นจิ้งจอกที่ดูเก่าคร่ำครึรูปหนึ่ง เรือนผมสีน้ำตาลทรงเปียของเธอถูกปดปิดด้วยฮู้ดสีแดง ชุดกระโปรงที่เธอใส่อยู่ทำให้ผมนึกว่าสีแดงอาจจะเป็นสีที่เธอชอบก็ได้ จะว่าไปก็นึกถึงนิทานหนูน้อยหมวกแดงเลยแฮะ
“เป็นอะไรรึเจ้าหนู มานั่งร้องไห้ตรงนี้คนเดียวทำไม”
คุณกระต่ายเอ่ยถาม ในขณะที่เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นดวงตากลมโตสีช็อกโกแลตที่แดงก่ำ มือน้อยปัดป่ายน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวกๆ ก่อนจะตอบเสียงน้ำเสียงสั่นเครือ
“คุณแม่บอกให้หนูเอาขนมปังกับไวน์ไปให้คุณยายที่ป่วยหนัก แต่หนูหลงทางแล้วก็มีหมาป่าตามหนูมาด้วย”
เด็กสาวว่าพลางชูตะกร้าขึ้น ข้างในมีขนมปังจำนวนหนึ่ง ไวน์สองขวดและข้างๆ ก็มีหนังสือเล่มหนึ่งสอดอยู่ ผมสงสัยในหนังสือเล่มนั้นจึงขอเด็กสาวเปิดดู ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร
Little Red Riding Hood
จริงๆ ด้วย...เธอเป็นหนูน้อยหมวกแดง แต่ว่าเนื้อหาภายในหนังสือยังเขียนถึงแค่เด็กสาวเดินทางเข้ามาในป่าเพื่อไปเยี่ยมคุณยายที่กำลังป่วยและที่เหลือก็ยังเป็นกระดาษว่างเปล่ารอการเพิ่มเติมเนื้อเรื่องต่อไป…
...งั้นผมก็ต้องช่วยเธอสินะ เพื่อที่เรื่องราวของเธอจะได้ดำเนินไปจนถึงตอนจบ
“ไปหาคุณยายกัน…” ผมเอ่ยขึ้นก่อนจะส่งคืนหนังสือให้เด็กสาว
หนูน้อยหมวกแดงได้ฟังก็ถึงกับตาวาว เธอรีบลุกพรวดขึ้นแทบจะทันที “จริงเหรอคะ! ดีใจจังเลย!”
ว่าจบเด็กสาวก็เข้ามาเกาะแขนผมพร้อมกับส่งยิ้มทะเล้นให้ ถึงผมจะบอกไปแบบนั้นแต่จริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าบ้านคุญยายอยู่ที่ไหน
พวกเราเดินตามทางไปเรื่อยๆ ระหว่างทางคุณกระต่ายก็ช่วยระวังหมาป่าให้เพราะไม่รู้ว่ามันจะโผล่มาตอนไหน...
“กรี้ดดดดดดด!!”
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของเด็กสาวก็ดังขึ้น ทำให้ผมที่เหม่อลอยอยู่สะดุ้ง ก่อนจะเห็นว่ามีหมาป่าขนสีเทาตัวหนึ่งกำลังยืนขวางทางพวกเราอยู่ มันส่งเสียงคำรามก้องไปทั่งป่า ปากที่เปิดกว้างของมันมีน้ำลายไหลหยดย้อยลงมา ดวงตาสีแดงฉานที่จ้องมองมายังพวกเราทำให้สัญชาตญาณของผมเตือนว่าอยู่ตรงนี้นานคงไม่ดีแน่
“สวัสดีจ้ะ หนูน้อยหมวกแดง เธอกำลังจะไปไหนเหรอจ้ะ”
สักพักเสียงแหบแห้งของหมาป่าก็ดังขึ้น เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็รีบถอยมาอยู่ข้างหลังผมทันที
“น..หนูกำลังจะไปเยี่ยมคุณยายค่ะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ ขอให้ได้เจอกับคุณยายเร็วๆ นะ”
ไม่ทันไรหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ก็เดินหายเข้าไปในพุ่มไม้โดยไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาทำร้ายพวกเราเลยสักนิด ผมมองด้วยความเคลือบแคลงใจแต่ก็เลือกที่จะเดินตามคุณกระต่ายกับหนูน้อยหมวกแดงไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งในที่สุดพวกเราก็ได้เจอบ้านคุณยายจากแผนที่ที่คุณกระรอกแถวนั้นให้มา ส่วนทางออกของป่านี้ก็อยู่ด้านหลังของบ้านคุณยายนี่เอง
“ขอบคุณที่พามาส่งนะคะ ตอนนี้หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
เด็กสาวก้าวออกไปข้างหน้า ก่อนจะหันกลับมามองผมและคุณกระต่าย เธอส่งยิ้มให้เพื่อแสดงความจริงใจและยืนยันว่าเธอไม่เป็นไรจริงๆ แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้ ด้วยความที่ผมเคยอ่านนิทานเรื่องนี้เมื่อตอนเด็กๆ ก็เลยคิดว่าข้างในบ้านคุณยายอาจจะมีหมาป่าซ่อนอยู่
ผมชำเลืองมองหนังสือที่อยู่ในตะกร้าของเด็กสาวแล้วก็ถอนหายใจหน่อยๆ สลับกับมองคุณกระต่ายที่พยักหน้าให้…
ถึงจะห้ามไม่ให้เด็กสาวเข้าไปข้างใน แต่เธอก็ยังยืนหยัดว่าจะเข้าไปหาคุณยายให้ได้ เห็นอย่างนั้นผมก็ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่บอกให้เธอรีบวิ่งหนีออกมาถ้าหากคนที่นอนอยู่บนเตียงจะเข้ามาทำร้าย
ปัง!
ทันทีที่ประตูปิดลงเด็กสาวก็เริ่มมีสีหน้ากังวลขึ้นมา เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาเจออะไรน่ากลัวแบบนี้ ถึงจะไม่แน่ใจว่าบนเตียงนั้นเป็นคุณยายหรือเปล่า แต่ปกติคุณยายจะชอบนั่งถักไหมพรมอยู่ข้างเตียงนี่นา…
เด็กสาวลอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ อย่างช้าๆ ..
“คุณยายคะ หนูเอาขนมปังกับไวน์มาฝากคุณยายค่ะ”
“เข้ามาใกล้กว่านี้สิจ๊ะ ยายมองไม่ค่อยเห็นหนูเลย”
หนูน้อยหมวกแดงยอมเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนได้เห็นหน้าตาของคุณยายชัดเจน เธอสงสัยในน้ำเสียงที่แปลกไปจึงได้เอ่ยถาม “ทำไมเสียงของคุณยายถึงได้แหบอย่างนี้ล่ะคะ”
“ยายเจ็บคอน่ะ ไมมีอะไรหรอกจ๊ะ”
แต่แล้วเด็กสาวถึงสงสัยขึ้นมาอีก ทันทีที่คุณยายลืมตามองเธอ
“ทำไมตาของคุณยายใหญ่จังเลยล่ะคะ”
“ก็จะได้มองเห็นหนูได้ชัดๆ ไงล่ะจ๊ะ”
“ทำไมจมูกของคุณยายใหญ่จังเลยล่ะคะ”
“ก็จะได้หอมแก้มหนูได้ง่ายๆ ไงล่ะจ๊ะ”
“แล้วทำไมฟันของคุณยายแหลมคมจังเลยล่ะคะ”
“ก็ได้กินหนูได้ถนัดๆ ไงล่ะจ๊ะ!!!”
ฉับพลันหมาป่าที่ปลอมตัวเป็นคุณยายก็กระโจนเข้าไปหาหนูน้อยหมวกแดงอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เด็กสาวตัวเล็กและสังเกตเห็นเธอจึงรีบหนีออกจากบ้านได้ทัน ในขณะที่สองเท้าวิ่งไปเสียงหวานของเธอก็ตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย
“ช..ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!”
ผมที่แอบอยู่หลังต้นไม้ซึ่งไม่ไกลจากบ้านคุณยายนักก็สะดุ้ง ประจวบกับที่คุณกระต่ายพานายพรานมาพอดี นายพรานจึงใช้ปืนยิงไปที่ขาข้างหนึ่งของหมาป่าตัวนั้นจนมันล้มลง เด็กสาวมองตามเสียงปืนก่อนจะวิ่งเข้ามาหาผมพร้อมสะอื้นไห้ ผมเลยทำได้เพียงแค่ลูบหัวปลอบเธอ ถ้าหากคุณกระต่ายพานายพรานมาไม่ทันเธอก็คงจะโดนจับกินไปซะแล้ว
“หมาป่า...ฮึก...หมาป่ากินคุณยายเข้าไปแล้ว ฮืออออ..”
พวกเราต่างเงียบ ผมคิดว่าคุณยายน่าจะหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงเมื่ออีกเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
“หนูน้อยหมวกแดง...ยายอยู่นี่จ้ะ”
พร้อมกับมือแห้งกรานที่กวักเรียกน้อยๆ จากด้านหลัง คุณยายเดินออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง คิดว่าคุณยายคงจะเห็นหมาป่าก่อนเลยรีบหนีออกมา เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหาคุณยายที่แท้จริงของเธอทันที สองยายหลานกอดกันกลมแล้วร่ำไห้ โดยที่ผมและคุณกระต่ายก็ยืนอยู่ตรงนั้น ส่วนนายพรานก็ลากหมาป่าตัวนั้นแล้วเดินหายไป
“ขอบคุณที่ช่วยหลานนะ ขอบคุณมากจริงๆ”
“ขอบคุณนะคะ”
ผมทำเพียงแค่พยักหน้ารับ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปไหนเด็กสาวก็วิ่งเข้ามาหา ก่อนที่เธอจะยื่นมงกุฏที่ทำจากดอกไม้สีสันสวยงามตาพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ ซึ่งเป็นเล่มเดียวกับที่อยู่ในตะกร้าของเธอ ผมลองเปิดดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิด เรื่องราวของเด็กสาวได้ดำเนินจนถึงตอนจบ เธอได้พบกับคุณยายที่แท้จริงและพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
“ขอให้ช่วยเจ้าหญิงได้สำเร็จนะคะ”
“ครับ...”
ภาพสุดท้ายที่เห็นภายในป่านี้คือภาพของคุณยายและหนูน้อยหมวกแดงที่กำลังโบกมือร่ำลาให้ ใบหน้าของพวกเขาประดับด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ตัวของพวกเขาจะห่างออกไปไกลเรื่อยๆ จนลับสายตา…Episode 3 : Little Red Riding Hood-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
HAPPY ENDING
- bluebearz
Bonita Blanchett
นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5
1263
+122 M 935 K 310
PASSPORT
:
(350/2125)
:
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sat 15 Jul 2017, 23:37
- The Story of The Prince 2:
- “ข้าเริ่มเห็นยอดปราสาทอยู่ลิบๆ แล้วล่ะ เจ้ายังไหวไหม”
“ค...ครับ”
ผมตอบหน้านิ่งกลับไปทั้งที่จริงๆ ข้างในเหนื่อยมาก ในที่สุดก็เหลือป่าสุดท้ายและตอนนี้ผมเริ่มที่จะทำใจได้บ้าง ไม่ค่อยคิดถึงโรงเรียนเหมือนตอนแรกแล้ว แต่ว่าหิวจังเลยแฮะ…
ป่าต่อไปเป็นป่าแห่งสวนแอปเปิ้ล ที่นี่มีแอปเปิ้ลผลสีแดงสดน่าทานเต็มไปหมดและสามารถปรุงทำเป็นอาหารได้ ระหว่างทางผมพยายามเก็บแอปเปิ้ลที่ติดอยู่บนกิ่งต้นไม้ ไม่รู้ว่าต้นไม้สูงไปหรือผมขาสั้นกันแน่ถึงเอื้อมเท่าไรก็ไม่ถึง คุณกระต่ายเลยอาสาขึ้นไปเก็บให้ หูของคุณกระต่ายแข็งแรงมากและก็นิ่มมากด้วยเช่นกัน
“เจ้าควรกินนมเยอะๆ หน่อยนะ”
“.....” ก็คนมันไม่ชอบนี่นา...ผมอยากจะเถียงออกไปแบบนั้นแต่เก็บเงียบไว้คงจะดีกว่า
ผลัก!
ตุบ!
ในขณะที่ผมกำลังยืนรอให้คุณกระต่ายเก็บแอปเปิ้ลจนพอใจ จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินชนผมจนทำให้แอปเปิ้ลในอ้อมแขนร่วงลงกับพื้นก่อนจะกลิ้งกระจัดกระจายไปคนละทาง
“ขอโทษนะ ฉันไม่ทันได้เห็นเธอน่ะ”
ผมหันไปมองคู่กรณีซึ่งเป็นผู้หญิงวัยชราคนหนึ่ง เธอสวมเสื้อคลุมสีดำและชุดกระโปรงยาวมีรอยขาดนิดหน่อย ในมือของเธอถือตะกร้าใบหนึ่งไว้ เพราะผ้าสีขาวที่คลุมบนฝาตะกร้าทำให้ผมไม่รู้ว่าข้างในนั้นมีอะไร แต่ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนักแล้วช่วยเธอเก็บแอปเปิ้ลอย่างเงียบๆ
“ขอบคุณครับ” ผมโค้งหัวให้หน่อยๆ นึกขอบคุณที่อย่างน้อยเธอก็มีน้ำใจช่วยเก็บแอปเปิ้ลให้ หญิงสาวทำเพียงแค่ยิ้ม...ด้วยรอยยิ้มที่ออกจะแสยะยิ้มไปหน่อย
“ฉันขอโทษจริงๆ นะ แต่ว่าแอปเปิ้ลพวกนั้นน่ะสวยไม่ได้ครึ่งของแอปเปิ้ลของฉันเลยสักนิด”
“เอ๊ะ…” ผมทำหน้างง เพราะมัวแต่เก็บแอปเปิ้ลอยู่เลยฟังไม่ค่อยถนัด
“อ๋อเปล่า! ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะ งั้นฉันไปก่อนนะต้องเอาแอปเปิ้ลนี่ไปขายที่บ้านหลังนั้น”
ผมแอบมองตามหญิงสาวที่เดินไป ข้างหน้าไม่ไกลมากนักมีบ้านเล็กหลังหนึ่ง ถึงจะดูเสียมารยาทแต่พอรู้สึกตัวอีกทีผมก็เดินตามหญิงชราคนนั้นไปซะแล้ว
ผมแอบดูอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่นานหญิงชราคนนั้นก็เดินออกมาจากบ้าน ไม่รู้ว่าคิดเองหรือเปล่าที่ใบหน้าของเธอดูเหมือนกำลังสะใจกับอะไรสักอย่างก่อนที่เธอจะเดินผ่านผมไป อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นเป็นแน่ ผมเดินไปหยุดอยู่หน้าบ้านและได้เจอกับหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ เลยแอบหยิบขึ้นมาเปิดดู
Snow White and the Seven Dwarfs
สโนว์ไวท์เหรอ...เคยอ่านแต่จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้วสิ…
ผมครุ่นคิด ในขณะที่ประตูตรงหน้าก็แง้มออกอย่างช้าๆ เพราะแรงลม
แอดดดด
ทันทีผมผลักประตูเข้าไป ตรงหน้าของผมก็มีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้นใกล้กับโต๊ะทานอาหาร ผมรีบเข้าไปดูก็เห็นว่าเธอกำลังทำหน้าคล้ายทรมานกับอะไรสักอย่าง ผมพยายามเขย่าตัวเธอเผื่อจะตื่นแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“เจ้าหญิง!”
ในขณะที่กำลังคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป ที่ประตูก็มีเงาของผู้มาเยือนใหม่หลายคนโผล่มา ซึ่งเป็นคนแคระทั้งเจ็ดกำลังจ้องมองผมสลับกับมองหญิงสาวบนพื้น ก่อนที่พวกเขาจะรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างของสโนว์ไวท์แล้วสะอื้นไห้ด้วยอาลัยอาวรณ์ ผมก้มมองหนังสือในมือก็เห็นว่าหน้าถัดไปมีข้อความขึ้นมาแล้ว…
สโนว์ไวท์ได้กัดแอปเปิ้ลอาบยาพิษของหญิงชราเข้าไป เพียงคำเดียวเธอก็ล้มลง
หลังจากนั้นเหล่าคนแคระก็ปรึกษาหารือกันว่าควรจะทำอย่างไรกับสโนว์ไวท์ดี ผมพอจะนึกนิทานเรื่องนี้ออกก็เลยแนะนำพวกเขาไปว่าให้ใส่เธอไว้ในโลงแก้ว นำไปไว้ในป่าเพื่อรอให้เจ้าชายผ่านทางมาจุมพิตเธอ เธอจึงจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาก็ทำตามแล้วสุดท้ายสโนว์ไวท์ก็ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ผมโล่งอกเพราะนึกว่าเรื่องราวนี้จะกลายเป็นแบดเอนดิ้งซะแล้ว
……
….
…
..
.
.
.
“ขอบคุณที่ช่วยฉันนะ ขอบคุณมากจริงๆ”
ก่อนที่ม้าสีขาวจะเดินจากไป สโนว์ไวท์ซึ่งนั่งอยู่บนนั้นก็หันมาเอ่ยขอบคุณให้ผมและคนแคระทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ผมทำเพียงแค่ยืนเงียบในขณะที่คนแคระทั้งเจ็ดกลับพากันน้ำตาคลอเบ้า พวกเขาคงจะเสียใจที่ต้องส่งคืนเจ้าหญิงสู่ดินแดนที่เธอจากมา แต่พวกเขาก็เลือกทำเพียงแค่โบกมือลาและพยายามไม่ร้องไห้ให้เจ้าหญิงเห็น
เจ้าชายได้พาเจ้าหญิงกลับปราสาท เมื่อพระราชาได้รู้ข่าวจึงสั่งประหารชีวิตราชินีใจร้าย เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้ครองรักกันและพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
“นี่หนังสือของเจ้าหญิงครับ...”
ผมยื่นหนังสือที่เจอตรงหน้าบ้านให้กับคนแคระคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็มองมันอย่างหวั่นๆ แต่ก็ยอมรับโดยดี เขาช้อนตาขึ้นมองผมที่ตัวสูงกว่าก่อนจะเอ่ยถาม “ขอบคุณนายนะ ถ้านายไม่บอกพวกเราก็คงเอาเจ้าหญิงไปฝังแล้ว”
“ว่าแต่นายกำลังจะไปไหนเหรอ” คนแคระอีกคนถาม
“ไปปราสาทครับ แต่หาทางออกที่นี่ไม่เจอ”
“งั้นเพื่อเป็นการตอบแทนพวกเราจะนำทางนายไปเอง พวกเราอยู่ที่นี่มานานเลยรู้จักเส้นทางดี”
ยังไม่ทันให้ผมได้ตอบอะไรเหล่าคนแคระก็รีบดึงแขนให้เดินตามไป ส่วนคุณกระต่ายก็เข้ามาเกาะไหล่ของผม ก่อนที่พวกเราจะเดินลัดเลาะไปตามทาง ผ่านต้นแอปเปิ้ลและสรรพสัตว์มากมาย ในขณะที่ท้องฟ้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนสี
พอหันกลับไปมองทางที่จากมา โลงแก้วของสโนว์ไวท์ก็ไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว…Episode 4 : Snow White and the Seven Dwarfs-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
HAPPY ENDING
“พวกเราคงส่งนายได้เพียงเท่านี้ล่ะ ขอให้นายปลอดภัยนะ”
“เดินตรงไปอีกหน่อยก็จะถึงปราสาทของปีศาจแล้วล่ะ”
“พยายามเข้านะ! ขอให้ได้เจอเจ้าหญิงไวๆ นะ!”
“..ขอบคุณครับ”
ผมโค้งหัวขอบคุณเหล่าคนแคระหน่อยๆ ทันทีที่พวกเขากลับไปทางเดิมผมก็เพิ่งสังเกตว่าบรรยากาศที่นี่ไม่ใช่ป่าเหมือน อย่างที่ผ่านมา มันคล้ายป่าปีศาจแต่ว่าน่ากลัวกว่า ผมลอบกลืนน้ำลายฝืดลงคอ สัมผัสได้ถึงออร่าทะมึนแปลกๆ มาจากปราสาทหลังใหญ่เบื้องหน้า
“นายได้เจอเรื่องราวของคนอื่นมามากมายแล้ว คราวนี้เจ้าต้องเจอเรื่องราวของ ข้า บ้างแล้วล่ะ”
เสียงเล็กของคุณกระต่ายดังขึ้น น้ำเสียงที่ออกจะระแวงหน่อยๆ ทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็หวั่นใจไม่แพ้กัน แต่ว่านี่เป็นเรื่องราวสุดท้ายแล้วและในที่สุดผมก็จะได้กลับบ้านสักที พอคิดแบบนั้นใจเจ้ากรรมก็อดเต้นแรงเสียไม่ได้
จะไหวไหมนะ...ร่างกายนี้
ผมคิดว่าคงเตรียมใจไม่ทันแล้วล่ะ เพราะคุณกระต่ายพาเดินเข้าไปในปราสาทซะแล้ว…
“ในที่สุดก็มาสักทีนะ เจ้าชาย”
ทันทีที่ผลักประตูบานหนาเข้าไปความมืดภายในก็เข้ามารุมเร้าจนมองอะไรไม่เห็นเลย ราวกับผมกลายเป็นคนตาบอด...มีเพียงแค่เสียงน่าเกรงขามของใครบางคนเท่านั้นที่ดังขึ้นและรับรู้ได้ มือของผมพยายามคว้าคุณกระต่ายเอาไว้ แต่ก็ได้เพียงแค่อากาศและความว่างเปล่า
“ข้ามารับเจ้าหญิงคืนแล้ว!”
นั่นเสียงคุณกระต่ายนิ...ตอนนี้อยู่ไหนกันนะ
“แกคงจะหาตัวแทนเพื่อมาสู้กับข้าได้แล้วสินะ งั้นก็ดี...บอกให้เจ้านั่นลุยเข้ามาเลยสิ!”
หมับ!
จู่ๆ ที่หลังของผมก็สัมผัสได้ถึงแรงดันของอะไรบางอย่าง เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นความมืด แต่ฟังจากเสียงเล็กที่ดังตามมาแล้วคงจะเป็นคุณกระต่ายแน่ๆ ที่กำลังดันหลังผมอยู่
“ข้าไม่คิดจะให้เจ้าไปสู้กับปีศาจหรอกนะ แต่ข้าจะช่วยถ่วงเวลาสู้กับเจ้านั่นให้แล้วเจ้าก็วิ่งขึ้นไปบนยอดปราสาทซะ เจ้าหญิงจะรออยู่ที่นั่น”
“แต่ผม..มองอะไรไม่เห็น”
“ข้ารู้ เพราะเจ้าปีศาจจะเสกให้เจ้าชายทุกคนที่ข้าพามาตาบอดชั่วขณะ เจ้าแค่วิ่งไปข้างหน้าจะมีบันไดอยู่ รีบไปเถอะ!
ถ้าเราไม่ช่วยเจ้าหญิงให้ทันก่อนจันทราจะวนมาอีกครั้ง เราจะแพ้!”
ว่าจบคุณกระต่ายก็ผลักผมไปข้างหน้าแรงเสียจนเกือบล้มหน้าคะมำ ผมได้ยินเสียงอะไรสักอย่างเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เร็วมากแต่ก็ถูกกันออกไป ผมรีบก้าวไปข้างหน้า ขึ้นบันไดขั้นแล้วขั้นเล่า ในขณะที่หูก็รับรู้ได้ถึงเสียงขู่และเสียงปะทะกันจากด้านหลัง
คุณกระต่ายจะสู้ไหวไหมนะ...ผมคิดแต่ทว่าไม่อาจหันหลังกลับไปได้แล้ว
สุริยันเริ่มคล้อยลงต่ำจนเจียนจะหายลับเข้าไปในทะเล แสงจ้าของมันบางลงเรื่อยๆ จนผมไม่เห็นอีก พระจันทร์จะขึ้นแล้วเหรอ...ผมถามตัวเองหลังจากที่ขาเริ่มอ่อนล้าจนเดินต่อไม่ไหว นี่ผมกำลังอยู่ที่ไหนกันนะ
ปังๆๆๆ!!
จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงทุบประตูดังระรัวมาจากทางข้างหน้า วินาทีนั้นผมไม่นึกสงสัยอะไรอีกแล้ว รีบก้าวตามเสียงนั้นไปจนไปหยุดอยู่ที่หนึ่ง ผมยื่นมือออกไปอย่างสะเปะสะปะแต่ก็ดันจับลูกบิดได้พอดิบพอดี เสียงกริ๊กดังตามมาก่อนที่เสียงประตูเปิดจะดังขึ้น
สักพักก็มีอะไรสักอย่างกระโจนเข้ามาหาแล้วกอดตัวผมเอาไว้ ผมเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ กำลังจะถามออกไปแต่ทว่าเสียงหวานของใครอีกคนก็แทรกขึ้นซะก่อน…
“เจ้าชายบอกให้เจ้ามาช่วยข้าใช่ไหม!”
“เอ่อ...ครับ..”
“งั้นเรารีบไปกันเถอะ! อีกไม่นานจันทราจะขึ้นแล้วเราต้องรีบออกจากปราสาทนี่!”
ว่าแล้วคนที่คาดว่าเป็นเจ้าหญิงก็คว้าหมับที่ข้อมือของผม เธอลากให้ผมวิ่งตามไป ผมพยายามจะทักท้วงเรื่องของคุณกระต่ายที่ยังอยู่ในที่ไหนสักแห่งปราสาทนี้ แต่เจ้าหญิงก็บอกให้ผมเลิกสนใจเรื่องนั้นแล้วรีบออกจากปราสาทให้ได้ก่อน เพราะปราสาทเริ่มสั่นไหวแล้ว!
…..
…
..
.
.
.
ผมไม่รู้ว่าตัวเองพ้นออกมาหรือยัง ได้ยินเพียงแค่เสียงของปราสาทที่พังโครมลงมา เกิดควันและฝุ่นละอองกระจายท่ามกลางอากาศทำให้ผมไอออกมา ไม่นานนักความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง ในเวลานี้ผมควรจะโล่งอกที่ตัวเองช่วยเจ้าหญิงได้และจะได้กลับบ้านสักที แต่ทำไมนะมันถึงได้รู้สึกโหวงเหวงราวกับว่าสูญเสียอะไรสักอย่างไป
ถ้าหากนี่เป็นนิทานเรื่องต่อไปก็คงจะเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยอ่าน
และจบแบบเบดเอนดิ้ง…
“เป็นอะไรทำไมทำหน้าเหมือนกำลังอมทุกข์อย่างนั้น?”
เจ้าหญิงเอ่ยถามผมด้วยความสงสัย ซึ่งผมก็ทำเพียงแค่ส่ายหน้ากลับไปก่อนจะสัมผัสได้ถึงแสงสว่างของพระอาทิตย์ที่ส่องจ้าอีกครั้ง ถึงจะยังมองไม่เห็นแต่มันก็แทรกเข้ามาในความมืดจนแทบแสบตา
“เจ้าคงกำลังคิดถึงคุณกระต่ายอยู่สินะ”
เจ้าหญิงว่าด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแต่ยังคงนุ่มนวลทุกครั้งที่ได้ยิน เธอจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเอาไว้แน่นแล้วจับหมุนตัวหนึ่งที ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหันไปทางไหนแต่รู้สึกได้ถึงแสงสว่างคล้ายแสงของหิ่งห้อยอยู่ด้านหน้า สักพักก็มีฝ่ามือของใครสักคนที่ทั้งใหญ่ ทั้งหนาและดูมีอำนาจอย่างประหลาดวางลงบนหัวของผม ก่อนจะลูบไปมา
ผมยืนนิ่ง ทำไมถึงได้นึกถึงฝ่ามือของคุณไทก็ไม่รู้…
“น่าเสียดายนะที่เจ้าดันอดเห็นข้าในร่างเจ้าชาย รู้ไหมตัวจริงของข้าหล่อมากเลยล่ะ”
ผมได้ฟังประโยคเมื่อครู่ก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา หรือว่า… “...นั่นคุณกระต่ายเหรอ”
“ใช่” เสียงทุ้มเข้มนั้นตอบ “แต่ตอนนี้ข้าไม่ใช่กระต่ายแล้วนะ หลังจากที่ปีศาจหายไปคำสาปของข้าก็หมดฤทธิ์แล้ว”
“ขอบใจเจ้ามากนะ ต้องขอโทษด้วยที่ให้เจ้าฝืนร่างกายอยู่ตั้งนาน ถึงเวลาที่เจ้าต้องกลับแล้วล่ะ”
“ขอบคุณที่ทำให้เรื่องราวนี้จบลงสักทีนะ พวกเรารอคอยเวลานี้มานานมาก”
“ด..เดี๋ยวก่อนครับ” ผมรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะล้วงเอาลูกกวาดที่ได้มาจากฮันเซลและมงกุฏดอกไม้ของหนูน้อยหมวกแดงยื่นให้คนตรงหน้า “ให้เจ้าหญิงครับ”
ผมจำตอนที่คุณกระต่ายเคยบอกได้ว่าเจ้าหญิงชอบของหวานมาก และก็คิดว่ามงกุฏดอกไม้ยังไงก็ต้องคู่กับผู้หญิง ผมคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรลงไปกันนะ จะทำให้พวกเขาขำหรือเปล่า...แต่ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาคือมือนุ่มนิ่มของเจ้าหญิงที่หยิบมันไป
“ขอบคุณนะจ๊ะ ดีใจจังที่เจ้ารู้ว่าด้วยว่าข้าชอบลูกกวาด”
ผมรีบพยักหน้ารับ ถ้าให้เดาตอนนี้เจ้าหญิงคงกำลังยิ้มอยู่แน่ๆ
…..
…
..
.
.
.
ใช้เวลาไม่นานคุณกระต่ายก็พาผมมาส่งที่ป่าเดียวกับที่ที่ผมตื่นขึ้นมา คุณกระต่ายบอกว่าถ้าผมกลับไปแล้วก็จะสามารถมองเห็นได้เหมือนเดิม ผมได้ยินเสียงพึมพำของคุณกระต่ายซึ่งเป็นภาษาที่ผมไม่รู้เรื่อง จู่ๆ เปลือกตาของผมก็หนักอึ้งจึงหลับตาลง และแล้วต่อจากนั้นผมก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเลย...
“ในยามที่เจ้าตื่นอีกครั้ง เจ้าจะได้เจอข้าอีกแน่นอน…”
“อ...อือ”
จู่ๆ ตัวของผมก็สั่นไหวเหมือนกำลังถูกเขย่าโดยใครสักคน ผมลืมตาตื่นขึ้นก่อนจะขยี้ตาไปมาไล่ความงัวเงีย ในที่สุดผมก็มองเห็นซะที...ภาพที่เบลอค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนเห็นว่าแม็ซกำลังจ้องมองผมอยู่ ใบหน้าของเขาแสดงความกังวลออกมาหน่อยๆ
‘ผมนึกว่าพี่สุภะจะไม่ตื่นซะแล้ว’
ผมอ่านข้อความโน๊ตของอีกฝ่าย รู้สึกว่าตัวเองยังเบลอไม่หายเลยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นั่นสินะ...ผมก็คิดว่าตัวเองจะไม่ตื่นซะแล้ว ผมทำท่าจะลุกขึ้นแต่ทว่าก็มีเสียงของอะไรบางอย่างหล่นลงพื้นดังตุบซะก่อน เมื่อก้มมองดูก็เห็นว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง จากที่มันเคยวางอยู่บนตักกลับลงไปนอนอยู่ข้างล่างซะได้
The Story of The Prince
...เรื่องราวของเจ้าชาย ผมอ่านข้อความที่ถูกเขียนบนปกก่อนจะเลื่อนมือไปพลิกหน้ากระดาษออก ในนั้นเขียนถึงเรื่องราวของเจ้าชายที่ถูกปีศาจสาปให้เป็นตุ๊กตากระต่าย และเจ้าหญิงก็ถูกลักพาตัวไปขังไว้บนยอดปราสาททำให้เจ้าชายต้องเดินทางไปช่วยก่อนที่พระจันทร์ขึ้น ระหว่างทางเขาได้พบกับเรื่องราวมากมาย จนกระทั่งในที่สุดเจ้าชายก็เดินทางมาถึงปราสาทและช่วยเจ้าหญิงได้สำเร็จ ปราสาทพังทลายลง ปีศาจเป็นผู้พ่ายแพ้พร้อมกับที่พระอาทิตย์ขึ้นฉายแสงอีกครั้ง เจ้าชายได้กลับคืนร่างและพาเจ้าหญิงกลับสู่เมืองเดิม พระราชาจึงให้พวกเขาได้แต่งงานกัน
เมื่อพลิกไปหน้าสุดท้ายก็เห็นว่ามีรูปของเจ้าชายและเจ้าหญิงยืนจับมือกัน เพิ่งรู้ว่าเจ้าชายกับเจ้าหญิงมีหน้าตาแบบนี้นี่เอง..ผมคิดก่อนจะปิดหนังสือลงดังปุบ นึกหวนถึง ฝัน ในตอนนั้นที่รู้สึกว่าช่างยาวนานเหลือเกิน
ผมวางหนังสือลงบนโต๊ะ เหลือบมองนาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลาหกโมงเย็น เย็นแล้วเหรอ...ชักจะหิวแล้วล่ะ ว่าแล้วผมก็รีบเดินตามแม็ซออกจากห้องไปโดยทิ้งไว้เพียงแค่ความเงียบสงัดไว้ข้างหลัง
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในห้อง หนังสือบนโต๊ะที่เคยปิดสนิทกลับเปิดออกด้วยแรงลม มันถูกพัดแรงจนเปิดไปหน้าสุดท้ายซึ่งเด็กหนุ่มยังไม่ได้เห็นมัน หน้าสุดท้ายถูกเขียนเอาไว้ว่า...
...และพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขEpisode 5 : The Story of The Prince-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
HAPPY ENDING
✎ ผู้ที่ทำภารกิจได้เพอร์เฟ็คสูงกว่ามาตรฐานมาก (100%)
S - CLASS STAMP ตราประทับระดับสูงสุดในหมวดภารกิจทั่วไป มีลักษณะเป็นดาวสีนิลสุดแสนจะคลาสสิก มีมูลค่า +100 Grade Exp. จะได้รับเมื่อปฎิบัติภารกิจได้เพอร์เฟ็คเป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้อำนวยการโรงเรียน |
+1,500,000 Spirit Point ไอเทมเพิ่มแต้มสะสม Spirit Point ตามปริมาณที่กำหนด สามารถนำไปใช้ในการแลกเปลี่ยนเป็น CHIPS ได้ในภายหลัง |
GOLDEN HONOR DEGREE TROPHY ถ้วยเกียรติยศทองคำแท้ มอบให้แด่ผู้ที่สามารถปฎิบัติภารกิจหรือร่วมกิจกรรมต่างๆที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นได้น่าประทับใจผู้อำนวยการเป็นอย่างมาก |
- ผู้มาเยือนผู้มาเยือน
Re: Lesson 61 : In your dreams
Sun 16 Jul 2017, 00:02
- บันทึก 30 วินาที ตอนที่ 5:
ความฝัน..
คือโลกอีกใบที่เกิดขึ้นมายามที่หลับตา
ในโลกใบนั้นทุกสิ่งอาจเหมือนกันหรือต่างออกไป
อาจเป็นสิ่งที่ปรารถนาสุดหัวใจ หรือบางอย่างพยายามหลีกเลี่ยงแทบตาย
อาจเป็นเศษเสี้ยวของความทรงจำ หรือคำทำนายทายทักถึงอนาคต
อาจเป็นความสุขอันหอมหวาน หรือความสยองขวัญอันน่าหวาดหวั่น
บางความฝันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด
บางความฝันแสนสั้นจนน่าใจหาย
บางความฝันช่างน่ายินดีเสียจนไม่อยากลืมตา
บางความฝันกลับโหดร้ายจนอยากรีบตื่นเสียที
แล้วฝันดีคืออะไรกันนะ?
บางคน.. อาจจะเป็นความฝันที่ได้โลดแล่นในโลกเหนือจินตนาการ
บางคน.. อาจจะเป็นความฝันที่ได้พบกับใครคนหนึ่งที่ไม่มีทางได้พบเจอ
หลาย ๆ ครั้งที่ความฝันนั้น.. คือสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง
ความฝันที่เธอนึกฝัน และสงสัยมาตลอด
คือวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ใช่ หากเปลี่ยนอดีตได้จะดีสักแค่ไหนกัน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่คิดเช่นนี้ และคงไม่มีทางเป็นครั้งสุดท้าย
ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดจะนึกฝันถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป
ถ้าย้อนอดีตไปได้ล่ะก็..
จะรีบทำสิ่งนั้น
จะไปพบคน ๆ นั้น
จะพูดแบบนี้
จะไม่ไปที่นั้น
เธอเคยฝันหรือเปล่านะ
จำไม่ได้หรอก
มันยากที่จะจดจำความฝัน
ยิ่งความทรงจำเธอเป็นเช่นนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
แต่เธอคิดนะ
ว่าหากมันเป็นความปรารถนาเบื้องลึกของหัวใจ
เธออาจจะเคยฝันสักครั้ง
ฝันเรื่องอะไรน่ะหรือ?
ฝันถึงอนาคตที่แตกต่าง
หากวันนั้นรถยนต์ไม่เกิดอุบัติเหตุ วันพรุ่งนี้จะต่างออกไปสักแค่ไหน
คือสิ่งที่เธอเฝ้าคิดถึงเสมอมา
.
.
.
พอรู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ตรงหน้าโรงเรียนเก่า
ความฝันนี่น่าประหลาดนัก ไม่รู้ตัวว่าจะเริ่มตอนนั้น แต่รู้เสมอว่ามันเกิดขึ้นแล้ว
มองไปรอบ ๆ อ่า บรรยากาศน่ากลัวอย่างกับหนังผีแน่ะ ไม่ชอบเลย!
อ่า ใช่แล้ว ใช่แล้ว จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยฝันด้วยนี่นา ว่าโดนฆาตกรไล่ล่า ไปโผล่ตรงนู้นที่ตรงนี้ที
จำได้ว่ากลัวแทบตายน่ะ แต่พอตื่นมาก็รู้ว่าอาจจะดูหนังลึกลับที่พี่สาวซื้อมามากไปจนเก็บไปฝัน
หวังว่าคราวนี้จะไม่ใช่แบบเดิมอีกนะ..
‘อ่า แย่แฮะ’
เสียงนุ่มนวลที่ก้องไปมาอย่างประหลาดหนึ่งดังขึ้น พอหันไปตามต้นเสียงก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวสะอาดตายืนอยู่ ใบหน้าดูเป็นกังวล
ครั้นอีกฝ่ายเห็นเธอก็เดินตรงเข้ามา..
... ไม่เอาน่า คงไม่ใช่หนังสยองขวัญอีกนะ
แต่ดูเหมือนเธอจะคาดผิดไปไกลโข เพราะหญิงสาวหาได้หยิบมีดขึ้นมาไล่ล่า หรือโชว์ใบหน้าบิดเบี้ยว พร้อมเลือดไหลเต็มตัวไม่
ที่จริงแล้ว ผู้หญิงคนนั้น..
‘หมับ’
กำลังกอดเธอซะแน่นเลยล่ะนะ
‘อ่า คิดถึงจังเลย’
‘เหมือนว่าก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดเรื่องประมาณนี้เหมือนกันหรือเปล่านะ’
‘ฮ่ะ ๆ จำไม่ได้แล้วสิ ก็เป็นซะแบบนี้ล่ะนะ’
‘แต่ว่าต้องเคยเกิดขึ้นแน่ ๆ เลย’
เธอเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่กำลังพูดคนเดียวอย่างงุนงง .. หากแต่หญิงสาวคนนั้นเพียงแต่ยิ้มให้ก็เท่านั้น
‘หนูน้อย ช่วยพี่สาวหน่อยได้หรือเปล่า’ เธอยกมือขึ้นโชว์ข้อมือขาว
‘พี่สาวเพิ่งจะทำของสำคัญหายไปน่ะ ช่วยหาหน่อยสิ’
‘ถ้าช่วยหาจนเจอล่ะก็’
‘จะทำให้คำขอเป็นจริงหนึ่งอย่างล่ะ’
ว่าแล้วหญิงสาวก็ยิ้มกริ่ม
แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็เดินตามหญิงสาวคนนั้นไป พลางช่วยมองรอบ ๆ ไปด้วย
พอได้ลองดูดี ๆ จะว่าเป็นโรงเรียนเก่าก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะดูเหมือนสถานที่หลาย ๆ อย่างที่เคยไปผสมกันเสียมากกว่า
มือเรียวของหญิงสาวข้าง ๆ เดินนำเข้าไปในตึกแห่งหนึ่งซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นอาคารวิทยาศาตร์ ครั้นเปิดประตูมีตัวเลขติดอยู่ด้านหน้าว่า ‘47’ ทั้งคู่ก็พบกับโถงกว้างแห่งหนึ่ง ซึ่งแอนน์จดจำได้ดีว่าเป็นโรงแสดงละครที่เธอเคยไปดูกับพี่สาวในวันเกิดปีที่ 10
‘เอ จำได้ว่าตอนนั้นเจอที่นี่หรือเปล่านะ’ หญิงสาวยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากราวกับกำลังครุ่นคิด ก่อนจะหันมาหาแอนน์
‘ที่พี่ตามหาเป็นสร้อยข้อมือสีเงิน ประดับด้วยพลอยสีม่วงรูปผีเสื้อน่ะ ขนาดประมาณนี้น่ะ’ มือขาวขยับเป็นรูปวงกลมขนาดไม่ใหญ่นัก
‘พี่ได้เป็นของขวัญจากคุณพ่อ เป็นของสำคัญมากเลยล่ะ’
หลังจากเดินหาอยู่รอบหนึ่ง ทั้งสองก็ตัดสินใจแยกกันหาตามที่นั่งผู้ชม หญิงสาวปริศนายังคงพูดต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็หันมาถามเรื่องของเธอบ้างเป็นระยะ ดูจะเป็นคนช่างพูดไม่น้อยทีเดียว
‘เธอน่ะ ยังเป็นนักเรียนอยู่สินะ’
‘ใช่ค่ะ’ แม้จะดูงุนงงกับรูปประโยคที่แปลประหลาดหากแต่แอนน์ก็พยักหน้ารับ
‘งั้นหรือ? หืม ชวนให้คิดถึงจังเลยนะ’ เจ้าของเรือนผมสีเฮเซล ก้มลองไปมองใต้เบาะที่หมายเลข 12 ‘ทุกคนจะยังสบายดีไหมนะ ถึงจะจำไม่ค่อยได้แล้วก็เถอะ’
เพราะเห็นว่าให้อีกฝ่ายชวนคุยเพียงคนเดียวคงไม่ดีนัก จึงเงยหน้าถามบ้าง ‘แล้ว.. คุณล่ะคะ’
‘หืม’
‘คุณทำอะไรอยู่งั้นเหรอคะ’
ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝันก็เถอะนะ
แต่น่าประหลาดที่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ เหมือนกับว่าเคยเจอที่ไหนซักแห่งมาก่อน
‘ฉันเหรอ อืม’
‘ฉันเป็นนักดนตรีจ้ะ’ ก่อนเสียงนุ่มนวลนั้นจะหัวเราะอย่างแผ่วเบา ‘แต่แค่พาร์ทไทม์ล่ะนะ’
‘ปกติฉันทำงานเป็นล่ามให้คนรู้จักน่ะ ในวันหยุดหรือเวลาว่างถึงจะรับเล่นดนตรีตามสถานที่ต่าง ๆ น่ะ เช่น โบสถ์ หรือว่างานมงคลของคนรู้จัก’
‘สนุกดีนะ ได้ทำสิ่งที่ชอบ ได้เจอผู้คน ถึงบางครั้งการซ้อมจะลำบากบ้างก็เถอะ’
เธอเงยหน้าขึ้นมองเพดานก่อนจะยิ้ม
‘.. ที่จริงฉันกำลังจะแต่งงานน่ะ’
แอนน์เงยหน้าขึ้นจากเบาะขึ้นมองอีกฝ่ายที่บัดนี้หันมายิ้มให้เธอ
‘สาเหตุที่ฉันอยากให้เธอช่วยหา เพราะว่าฉันอยากจะใส่สร้อยข้อมือนั้นในวันแต่งงาน แต่ดันทำหายไปก่อนนี่ล่ะ แฮะ ๆ’ เธอเกาแก้มเล็ก ๆ
‘แล้วก็ฉันคิดว่าบางทีการที่ฉันได้พบเธออาจจะเป็น.. อะไรกันนะ โชคชะตาก็ได้ล่ะมั้ง’
‘เพราะว่าฉัน.. กำลังกลุ้มนิดหน่อยน่ะ’ เธอยิ้มบางพลางก้มหน้าหาของต่อ ‘ที่จะต้องแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก’
‘คนที่คุณไม่รู้จักเหรอคะ’ เด็กสาวเลิกคิ้วมอง คลุมถุงชนอะไรทำนองนั้นน่ะเหรอ
‘จะว่าไม่รู้จักก็เกินไปน้า เพราะทางทฤษฎีก็ถือว่าฉันรู้จักกับเขาล่ะ.. น่าจะเป็นแบบนั้น’
‘...’
‘ฉันน่ะไม่มีความทรงจำเลยล่ะ ไม่ว่าจะตอนที่เราพบกัน หรือว่าตอนที่ตกหลุมรัก
และช่วงเวลาหลังจากนั้น กระทั้งตอนที่ตอบตกลงยังจำไม่ได้เลยล่ะ
ช่วงเวลาที่ควรจะน่าประทับใจที่สุด น่าจดจำที่สุด..
กลับไม่มีอยู่ในหัวของฉันเลย มีเพียงความว่างเปล่า’
‘แม้จะมีรูปถ่าย บันทึก หรือคำบอกเล่าของคนรอบข้างก็ตาม แต่ก็นะ มันชวนให้รู้สึกกลัวเหมือนกัน’
‘ถ้าหากทุกอย่างเป็นเพียงของปลอมที่ถูกสร้างขึ้นมา ถ้าหากว่าจริง ๆ แล้วฉันถูกหลอกล่ะ’
‘พอคิดแบบนั้น ทุกอย่างก็ดูน่ากลัวขึ้นมา’
‘เหมือนกับว่าทุกคนดูไม่น่าเชื่อถือขึ้นมาเสียอย่างนั้น’
‘แต่ว่าพอเห็นเธอฉันก็รู้สึกเหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมานิดหน่อยแล้วล่ะ’
‘เธอน่ะ มีคนที่รู้สึกว่าคือเพื่อน คือคนสำคัญอยู่เหมือนกันใช่ไหม’
‘…’
‘ตอนที่เธอพูดคุย จับมือ หรือว่ายิ้มให้’
‘แม้ว่าจะไม่สามารถ.. จดจำช่วงเวลาที่เคยมีร่วมกันได้ก็ตาม’
‘แต่ว่าเธอก็รู้สึกใช่ไหม ว่าคน ๆ นี้คือคนที่เธอวางใจได้ คือเพื่อนของเธอ’
‘ถึงจะจำไม่ได้ ถึงจะไม่แน่ใจ หรือมีช่วงที่สับสนบ้าง’
‘แต่เวลาที่ได้เห็นคน ๆ นั้นฉันก็แน่ใจแล้วล่ะ’
‘.. ว่านี่เป็นความรัก’
‘…’
ไม่นานนักหญิงสาวกันหันมายิ้มกว้างให้กับเธอ ก่อนจะชูสร้อยข้อมูลขึ้นมา พลอยสีม่วงส่องแสงประกายในความมืด ‘เจอแล้วล่ะ!’
พอเดินออกมาจากประตูก็กลับมาเจอบ้านของเธอ
อ่า โลกแห่งความฝันนี้น่าประหลาดจริง ๆ
‘เอาล่ะ เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยหา
ฉันจะช่วยทำให้สิ่งที่เธอสงสัยมาตลอดเป็นจริงนะ!’
แต่ว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ.. แม้จะนึกแย้งเบา ๆ ในใจเล็กน้อยก็ตาม แต่แอนน์ก็ไม่ได้ขัดอะไร อาจจะเพราะส่วนหนึ่งสงสัยว่าสิ่งที่คนตรงหน้าพูดหมายถึงอะไรเสียมากกว่า
‘ดูตรงนั้นสิ’ นิ้วเรียวชี้ไปด้านหลัง เด็กสาวหันไปมองตาม ที่พบคือประตูบ้าน
ไม่นานนักก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น เสียงพูดคุยเจี๊ยวจาวดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ก่อนที่ประตูไม้สีน้ำเงินจะถูกเปิดออก พร้อมกับ..
ภาพของครอบครัว และตัวเธออีกคนที่ดูเหมือนเพิ่งจะกลับมาจากการแสดงละครเวที..
ในโลกอีกใบนี้มีตัวเธออีกคน
เธอคนนั้นไม่พิการ และรถที่นั่งกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
มีวันหยุดสุดสัปดาห์อันแสนสนุก เข้าร่วมกิจกรรมตามปกติ
พอหมดวันหยุดคริสมาสต์ก็กลับมาเรียน คุยกับกลุ่มเพื่อนสนิทตามปกติ
จดจำทุกความทรงจำที่ผ่านเข้ามา..
โลกใบนั้นเธอไม่พิการ
โลกใบนั้น
โลกใบนั้นคุณพ่อกับคุณแม่ไม่แยกทางกัน
.. โลกใบนั้นชีวิตที่เคยมียังคงดำเนินไปอย่างปกติสุข
โลกที่เคยฝันหามาตลอด
‘แต่ว่านะ แบบนี้น่ะดีแล้วจริง ๆ งั้นหรือ’ เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวไร้ชื่อดังขึ้นอีกครา
และในทันใดนั้นตัวเธอก็ถูกย้ายไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่แตกต่างตรงที่โครงสร้างดูบิดเบี้ยวผิดเพี้ยนไป
เธอพบ..
กับเด็กผู้หญิงมัดผมจุก พูดคุยกับเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนกำลังเหม่อลอย และประธานนักเรียนผู้ร่าเริง
กับผู้อำนวยการที่เดินหลับตา ข้าง ๆ นั้นคือครูสอนอักษรเบลล์ผู้ใจดี กับคุณเลขาที่มีแขนเทียม
กับรุ่นพี่ผมเปียที่แสนร่าเริงกำลังหยอกล้อ กับรุ่นพี่ที่ปิดตาข้างหนึ่ง และเด็กสาวที่ใช้เครื่องแปลเสียง
เธอรู้จักพวกเขา ใช่แล้วล่ะ เธอจำพวกเขาได้
แต่พอจะร้องเรียกเสียงก็ไม่ออกมา
พร้อมกับที่จู่ ๆ ชื่อของพวกเขาเลือนหายไป
ถึงจะพยายามจะเข้าไปพูดคุยกับพวกเขา
แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครเห็นเธอเลย
ในตอนนั้นเองที่ความฝันที่เคยคิดว่าดีกลับกลายเป็นฝันร้าย
พอหันกลับไปมอง หญิงสาวคนนั้นที่เธอไม่รู้ว่าเป็นใครก็ยิ้มอ่อนโยนกลับมาให้
‘เธอรู้แล้วใช่ไหม’
หญิงสาวเดินมาหาเธอ พอรู้ตัวอีกทีทั้งคู่ก็มาอยู่ในลานโล่งสีขาวสะอาดตาเสียแล้ว
‘บางความฝันอาจจะดูดีตอนต้น
แต่ฝันนั้นอาจมีตอนจบอันโหดร้ายรออยู่’
‘บางความฝันอาจแลดูทุกข์ระทม
แต่ความสุขอันพึงปรารถนาอาจรอคอยอยู่ในบั้นปลาย’
‘แม้ว่าบางความฝันจะดีกว่าความเป็นจริง
... แต่หากไร้ซึ่งความจริงที่เคยผ่านบางความฝันอาจไม่เกิดขึ้นมา’
‘บางความฝัน.. อาจจะดีกว่าที่มันเป็นแค่ความฝัน’
หญิงสาวที่คุ้นเคยในความรู้สึกเดินเข้ามาใกล้ เธอกุมมือของเด็กสาวเอาไว้
‘ก่อนที่เราจะจากกันฉันอยากจะบอกอะไรกับเธอ’
‘ถึงสุดท้ายเราทั้งคู่อาจจะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร’
‘แต่ว่านะ ฉันอยากจะส่งต่อข้อความนี้ที่ได้รับมาให้เธอ’
‘ถึงแม้ว่าตัวเธอจะไม่สามารถที่จะคาดการณ์อะไรได้
ถึงแม้บางครั้งจะพบเจอความผิดพลาดที่อยากจะแก้ไข
และถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้ที่เข้ามาจะไม่พึงปรารถนา’
‘.. แต่โปรดจำไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น
ใช่ แม้จะเป็นความผิดผลาดอันงี่เง่า
เรื่องน่าละอาย หรือสิ่งไร้สาระ
ทุกอย่างนั้นสร้างตัวเธอ ‘คนนี้’ ขึ้นมา’
‘ความสุขที่เธอมี..
อาจจะเกิดจากน้ำตาที่หลั่งรินในวันที่ผ่านมา
และช่วงเวลาที่ล้ำค่า
บางครั้งก็ต้องแลกด้วยความโหดร้าย’
‘ถ้าหากในวันนั้นอุบัติเหตุทุกอย่างไม่เกิดขึ้น
ในวันนี้เธออาจจะได้มีรอยยิ้มอยู่ในสถานที่ที่ต่างออกไปก็จริง’
‘แต่ว่าเธอ.. ก็ไม่ได้เกลียด.. ช่วงเวลาที่ได้รับจากสถานที่แห่งนี้ใช่หรือเปล่า?’
‘พระเจ้าไม่เคย.. เอาอะไรไปโดยไม่มอบสิ่งตอบแทนอีกอย่างกลับมาให้กับเรา ทุกสิ่งได้มาพร้อมกับการเสียไปของบางสิ่งเสมอ’
‘มันไม่ผิดหรอกที่จะนึกเสียใจบ้างในบางครั้ง’
‘แต่อย่าปล่อย.. ให้ความเสียใจนั้นทำให้เธอหลงลืม
ความสุขที่เธอมีอยู่ในปัจจุบันไปนะ’
ใบหน้าอ่อนโยนยิ้มบางก่อนจะลูบหัวคนตรงหน้า
‘เพราะเธอก็รู้ใช่ไหมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด
ไม่ใช่อดีตอาจจะเลือนหายไปตามกาลเวลา
หรืออนาคตที่เกินคาดเดา ’
‘แต่เป็นความรู้สึกในขณะนี้ของเธอ’
เธอมองหญิงสาวตรงหน้า คนที่เธอไม่รู้ชื่อ แต่คน ๆ นี้กลับรู้เรื่องของเธอดีราวกับเป็นตัวเธอเอง
คน ๆ นี้น่ะ.. คือใครกันแน่นะ
ไม่นานนักเธอก็รู้สึกถึงแรงสั่นไหวน้อย ๆ
ร่างสูงตรงหน้าก็ดูเหมือนจะรู้สึกเช่นกัน เธอหันมายิ้มให้
‘ต้องจากกันแล้วนะ’
‘เราจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าคะ’ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เธอถามคนตรงหน้า อาจเพราะเมื่อถึงยามต้องจากลาเข้าจริง ๆ ความผูกพันบางอย่างได้เกิดขึ้นมาในความรู้สึกเสียแล้ว
หญิงสาวยิ้มบาง ‘นั้นสินะ..’
‘นี่คือโลกแห่งความฝันนี่นาอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ’
พร้อม ๆ กับที่ภาพตรงหน้าเริ่มมืดลง เสียงนุ่มนวลนั้นก็เอ่ยขึ้น
‘เราจะได้พบกันแน่นอน แอนน์’
พอลืมตาขึ้นมาก็รู้ถึงบางสิ่งที่สั่นไหวน้อย ๆ ใต้หมอน
นาฬิกาปลุกบนมือถือบอกเวลา 6 นาฬิกา
เด็กสาวหันไปมองเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงหลับอยู่ด้วยความรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
เธอเดินเข้าไป เขย่าตัวปลุกดั่งที่ทำประจำ
“ตื่นได้แล้วนาคา สอน ต้องไปเรียนแล้ว’
เลิกเรียนวันนี้เด็กสาวยังไม่ออกจากห้องในทันที
เธอหยิบมือถือขึ้นดู และเข้าไปเช็คหน้าเฟสบุ๊คเล่น ๆ
ก่อนจะสังเกตเห็นโพสต์ ๆ หนึ่ง เป็นเพื่อนของคุณแม่ที่โพสต์รูปพร้อมกับแท็กแม่ของเธอไว้
บนโพสต์เขียนว่า ‘ดูสิว่าค้นเจออะไร #SummerBallYr13’
ภาพของคุณแม่สมัยสาว ๆ เหรอ..?
เหมือนเคย.. เห็นภาพแบบนี้ที่ไหนกันนะ
“กำลังดูอะไรอยู่เหรอ” เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาดูในมือถือ “สวยจัง พี่สาวของแอนน์เหรอ”
“ไม่ใช่หรอก คิดว่าเป็นคุณแม่สมัยเรียนน่ะ”
“คุณแม่แอนน์น่ารักจัง แอนน์โตขึ้นไปคงจะเหมือนคุณแม่เนอะ”
“.. อืม”
.
.
ร่างสูงโปร่งเดินไปตามทางเดิน ไม่นานนักก็มาถึงห้องที่มีป้ายกำกับว่า ‘ห้องเตรียมตัว’
เธอเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะส่งเสียงเรียก แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มีการตอบรับ จึงตัดสินใจเปิดประตู และชะโงกหน้าเข้าไป
“พร้อมหรือยัง ได้เวลาแล้วนะ”
“อืม” หญิงสาวด้านในยิ้มรับก่อนจะลุกขึ้น
“เฮ้อ เรียกตั้งนานไม่ตอบ เป็นห่วงแทบแย่แน่ะ นึกว่าเป็นอะไรไปซะอีก” อีกฝ่ายบ่นขณะเข้ามาช่วยตรวจความเรียบร้อยให้
“แฮะ ๆ คือว่าเผลอหลับนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“วันแบบนี้ยังหลับได้อีกน้า” ผู้เป็นพี่ถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นเดินนำไป “เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว”
“ค่ะ ๆ” หญิงสาวยิ้มรับ ก่อนจะหยิบ ‘สร้อยข้อมือรูปผีเสื้อ’ ขึ้นมาสวม
เธอจดจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบาง
“.. ไม่ใช่แค่พบเฉย ๆ หรอกนะ แต่จะได้เป็นต่างหากล่ะ”
ร่างในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตาเดินออกไปก่อนประตูจะปิดลง..
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|